เจ้าสาวมือสองของคุณชายเย่

บทที่ 347 ชาตินี้ไม่ต้องเจอกันอีก



บทที่ 347 ชาตินี้ไม่ต้องเจอกันอีก

“หลังจากที่นี่ไปจากที่นี่แล้ว เธอก็จะไม่ใช่คนสกุล เสิ่นอีกต่อไป แล้วก็ไม่ได้ชื่อเสิ่นเฉียวด้วย ถ้าหาก…. ถ้าเธอสามารถรับมันได้ล่ะก็ ก็ไปเถอะ” หานชิงยิ้มและ ตรงไปที่เธอ แล้วก็พูดขึ้นอีกว่า: “แน่นอนว่าพี่น่ะ เคารพในการตัดสินใจของเธอ ไม่ว่าเธอจะเลือกแบบ ไหนก็ตาม”

เสิ่นเฉียวที่ถือบัตรผ่านสำหรับออกนอกประเทศไว้ อยู่นั้น ก็เอาบัตรผ่านออกนอกประเทศเก็บไป

“เดิมทีฉันก็อยากจะหนีไปจากที่นี่ มีตัวตนใหม่ ด้วยแบบนี้ก็ยิ่งดี ฉันเก็บเอาบัตรผ่านสำหรับออกนอก ประเทศกับตั๋วเครื่องบินนี้ไปล่ะนะ ขอบคุณมากเลขาซู …..พี่ชาย” ขอบคุณนะ…

“เลขาซูจะไปด้วยกันกับเธอ เธอจะช่วยจัดการ เรื่องต่าง ๆ แทนเธอเอง พอถึงที่นั่นแล้วก็ทำใจให้ สบายเถอะ เรื่องทางนี้เดี่ยวพอฉันจัดการเสร็จ เรียบร้อยแล้ว ก็จะตามไปอยู่กับเธอ”

เมื่อได้ยิน เสิ่นเฉียวมองตาค้างไปที่หานชิง: “คุณเองก็จะไปด้วยงั้นเหรอ?

“เอาล่ะ เวลาก็ไม่ใช่น้อย ๆ แล้ว เธอกับเลขาซูไป ต่อแถวผ่านการตรวจสอบความปลอดภัยเถอะ”

ซูจิ๋วพยักหน้า หยิบเอากระเป๋าที่อยู่ในมือของเสิ่นเฉียว: “ไปกันเถอะคุณหนูหาน”

คำว่าคุณหนูหานนั้น….ทำให้สติของเสิ่นเฉียวนั้น กลับมา

ใช่แล้ว นับตั้งแต่วันนี้ต่อไปเธอนั้นไม่ใช่เสิ่นเฉียว อีกต่อไปแล้ว เธอนั้นเป็นคนสกุลหาน ที่มีชื่อว่า…หา นมู่จื่อ.

หลังจากที่ผ่านด่านตรวจความปลอดภัยแล้ว เสิ่น เฉียวก็อดไม่ได้ที่หันกลับมามองหานชิงที่ยืนนิ่งอยู่ที่ เดิมตรงนั้น เขานั้นยืนอยู่ที่นั่นราวกับว่ากำลังยืนพิง แสงอยู่ พร้อมกับรอยยิ้มอันอบอุ่นที่ริมฝีปากของเขา

เอาล่ะ แล้วเจอกันใหม่นะเมืองเป่ย แล้วก็หานชิง….พี่ชายที่เพิ่งจะรู้จัก

รวมไปถึงทุก ๆ คนด้วย

สุดท้ายก็ลาก่อนนะเย่โม่เซิน หวังว่าชาตินี้ จะไม่ต้องเจอหน้ากันไปอีกเลย

ตลอดกาล

ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เธอคือหานมู่จื่อ ไม่ใช่เสิ่น

เฉียวอีกต่อไป

เธอนั้นต้องการที่จะไปมีชีวิตใหม่

*

5 ปีให้หลัง
ท้องฟ้าในเมืองซูเป็นสีฟ้าสดใส เมฆสีขาวทอด ยาว มีท้องฟ้าปลอดโปร่ง

“เสี่ยวหมี่โต้ว พอฉันนับถึงสามเธอจ้องกลับมาหา

ฉันทันทีนะ!

“หนึ่ง!

“สอง!!

“สาม! ”

ทันทีที่สิ้นเสียง เด็กทารกชายตัวน้อย ๆ คนหนึ่งก็ รีบเดินไปทันที และไปอยู่ที่ข้าง ๆ ของเสี่ยวเหยียน

เสี่ยวเหยียนยกมือขึ้นไปหยิกหูของเขาอย่างไม่ เกรงใจ: “จริง ๆ เลยนะเธอเนี่ย ฉันละสายตาไปแค่ แป๊บเดียวก็ไปจีบสาวน้อยซะแล้ว? แถมยังไปโขมย จูบแก้มเค้าอีก? เธอไม่เห็นหรอว่าเด็กผู้หญิงคนอื่นน่ะ ถูกเธอแกล้งจนร้องไห้กันหมดแล้ว?

คำว่าเสี่ยวหมี่โต้วที่เสี่ยวเหยียนนั้นไม่ได้เรียก อย่างอ่อนหวาน : “โอ๊ยเจ็บ น้าเหยียนปล่อยมือนะ~ ไม่งั้นเดี๋ยวฉันจะไปฟ้องหม่ามี้ว่าน้าเหยียนแกล้งเด็กตัว น้อย ๆ

“เอาเลย เธอไปฟ้องเลยสิ คิดหรอว่าฉันจะกลัวแค่ เพราะเธอจะไปฟ้องน่ะ? อีกเดี่ยวพอหม่ามเธอมาแล้ว ฉันก็จะบอกหม่ามของเธอว่า หานยี่ซูเป็นเด็กไม่มี ยางอาย อยู่ ๆ ก็ไปขโมยจูบเด็ก ๆ คนอื่นซะแล้ว! ดูซิ ว่าแม่จะดัดนิสัยเธอยังไง! ”
“เหอะ! ” เสี่ยวหมีโต้วโกรธจนเท้าสะเอว และพูด ขึ้นด้วยความโกรธว่า: “หม่ามี๊น่ะเป็นคนอ่อนโยนมาก เพราะงั้นเขานะไม่ดัดนิสัยเด็กตัวน้อย ๆ หรอก แล้วก็ นะหม่ามน่ะฉลาดมาก เพราะงั้นเขาน่ะไม่โดนน้าเสี่ยว เหยียนหลอกเอาได้หรอก! ”

ระหว่างที่ทั้งสองพูดอยู่นั้น ก็มีเงาที่มีเรือนร่างสูง เพรียวดูดี ย่างก้าวเข้ามาพร้อมกับรองเท้าสันสูง

หญิงสาวนั้นใส่ชุดเดรสรัดรูปสีเหลืองอ่อน การ ออกแบบคอปกและคอเสื้อ และผ้าคล้องคออยู่รอบ ๆ นั้นทำให้เธอดูฉลาดหลักแหลม ด้านหนึ่งไม่เคยผ่าน การย้อมสีครามด้วยความร้อนมาก่อน แต่กลับมีความ อ่อนช้อยและตรงสลวย และนาบลงมาที่ไหล่ทั้งสอง ข้างอย่างอ่อนโยน เส้นไหมสีน้ำเงินนั้นช่วยทำให้ ใบหน้าของเธอนั้นดูโดดเด่นและงดงามยิ่งขึ้น แว่น กันแดดนั้นบังมิดไปกว่าครึ่งหน้า เหลือไว้เพียงริม ฝีปากสีแดงอันงดงามเท่านั้น

“ดูสิ หม่ามีของเธอมาแล้ว! อีกเดี่ยวฉันจะไปฟ้อง หม่ามีของเธอแล้ว! ”

“หม่าม! ” เจ้าเด็กชายตัวน้อย ๆ สะบัดมือของ เสี่ยวเหยียนทิ้งและวิ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว จับไปที่ แขนเสื้อของหานมู่จื่อแน่น: “หม่ามี้มาแล้วเหรอ เสี่ยว หมี่โต้วคนนี้รอมาตั้งนาน”

เสี่ยวเหยียนก็ก้าวตรงมาและพูดขึ้น : “ใช่แล้ว ๆ ระหว่างที่รอหม่ามี้ของเธออยู่ ก็ยังมีเวลาว่างพอที่จะไปแกล้งสาวน้อยน่ารักด้วย”

เมื่อได้ยินริมฝีปากสีแดงของหานมู่จื่อก็โค้งงอลง หลังจากนั้นเธอก็ยกมือถอดแว่นกันแดดออก เผยให้ เห็นใบหน้าอันงดงามจนน่าตะลึง และก้มตัวลงมาเล็ก น้อย

“เสี่ยวหมี่โต้ว เธอแกล้งเด็กผู้หญิงอีกแล้วเหรอ? ” น้ำเสียงนั้นเป็นน้ำเสียงที่อ่อนโยนเป็นอย่างมาก แต่ว่า มันกลับทำให้ผู้ที่ฟังนั้นเสียวสันหลังขึ้นมาทีเดียว

เสี่ยวหมี่โต้วไม่สามารถเก็บสีหน้าไว้ได้อีกต่อไป ทำได้เพียงแค่เม้มริมฝีปากแน่น: “หม่าม ไม่จริงนะ น้าเหยียนน่ะเค้าพูดมั่ว ๆ ขึ้นมา”

หานมู่จื่อยิ้มเล็ก ๆ : “งั้นเหรอ? ”

เสี่ยวหมี่โต้วรู้สึกเริ่มเสียวสันหลังวาบ และไม่ สามารถคงรอยยิ้มบนใบหน้าได้อีกต่อไปแล้ว ก้มมอง ลงและพูดพึมพำ

“ผมไม่ได้ตั้งใจ นั่นน่ะเป็นเพราะว่าเด็กผู้หญิงคน นั้นเห็นว่าผมดูน่ารัก เอาแต่แรกผมว่าพี่ชาย…แล้วก็ บอกว่าอยากแต่งงานกับผม”

“เพราะงั้นเธอก็เลยจูบเขาเหรอ? ” เสี่ยวเหยียนที่ %3D อยู่ข้าง ๆ ก็พูดเติมเชื้อไฟเพิ่มด้วยท่าทีนิ่ง ๆ

เมื่อเสี่ยวหมีโต้วได้ยินก็ยิ่งร้อนรน รีบแก้ตัว อธิบายกับหานมู่จื่อขึ้นมา

“หม่าม้าผมไม่ได้ตั้งใจจะจูบเธอนะ แต่ว่า….”
“แต่ว่าอีกฝ่ายนะน่ารักมาก เธอก็เลยอดไม่ได้งั้น สินะ? ” หานมู่จื่อพูดประโยคหลังออกมาแทนเขา เมื่อ เสี่ยวหมี่โต้วได้ยินก็รีบทำตาเป็นประกายและพยักหน้า

วินาทีต่อมา หานมู่จื่อก็พูดขึ้น : “หลังจากกลับไป แล้วไปคัดกวีถังมา 10 รอบนะ”

เมื่อเสี่ยวหมี่โต้วได้ยินก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างสิ้น เชิง “หม่ามทำไมล่ะ? คัดกวีถัง 10 รอบมันเยอะมาก เลยนะ!

“ก็เพราะว่าเธอควบคุมตัวเองไม่ได้ไง” เสี่ยวเหยีย นที่อยู่อีกด้านยิ้มและพูดเสริมเข้าไปอีก: “เป็นลูก ผู้ชาย ก็ต้องรู้จักควบคุมตัวเองให้ได้มาก ๆ แค่เห็นว่า หญิงสาวน่ารักก็เข้าไปจูบซะแล้ว โตขึ้นไปก็จะไม่ กลายเป็นพวกผู้ชายที่ไม่ได้เรื่องเอาหรอกเหรอ? เพราะฉะนั้นเพื่อตัวเธอเอง พอกลับไปแล้วก็ไปคัดกวี ถัง 10 รอบแต่โดยดีเถอะ”

หานมู่จื่อลุกขึ้นและตรงไปข้างหน้า เสี่ยวหมี่โต้ว และเสี่ยวเหยียนที่อยู่ด้านหลังก็ทำท่าทางโต้เถียงกัน อยู่ด้านหลัง โดยที่ไม่สามารถส่งเสียงดังได้

เมื่อออกจากสนามบิน หานมู่จื่อก็สวมแว่นกันแดด เพื่อป้องกันแสงอันเจิดจ้า

มีนักข่าวจำนวนหนึ่งที่หยิบกล้องวิดีโอขึ้นมาและ

หันถ่ายไปทางพวกเขา หานมู่จื่อขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย “พวกเธอสวมหมวกกับแว่นตาซะ มีนักข่าว”

เมื่อได้ยิน เสี่ยวเหยียนก็ตกใจเล็กน้อย ก็รีบหยิบ เอาหมวกจากกระเป๋าตัวเองออกมาและสวมให้กับเสี่ยว หมีโต้ว หลังจากนั้นก็ยื่นแว่นให้เขา: “รีบใส่เร็วเข้า ถ้าชักช้าเดี๋ยวพรุ่งนี้หน้าเราก็ได้ลงหนังสือพิมพ์กัน พอดี”

สถานการณ์เช่นนั้นนั้นดูเหมือนว่าเสี่ยวหมี่โต้วจะ คุ้นชินมากพอตัว เมื่อได้แว่นมาแล้วก็รีบสวมลงบน ใบหน้าในทันที หลังจากนั้นก็เอามือทั้งสองข้างล้วง กระเป๋ากางเกง และเดินอยู่ข้าง ๆ หานมู่จื่อ ด้วย ท่าทางที่สง่าผ่าเผย

แม้ว่าจะได้เห็นมานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว แต่ว่าทุกครั้ง ที่เสี่ยวเหยียนได้เห็นกับภาพนี้ เธอก็อดไม่ได้ที่จะ อยากหัวเราะออกมาเสียทุกครั้ง

“เสี่ยวหมี่โต้ว ฉันบอกแล้วไม่ใช่รึไงว่าอย่าเปลี่ยน ท่าทีน่ะ? ทุกครั้งที่เจอสื่อหรือนักข่าวก็เอาแต่ทำท่าที แบบนี้ เลิกสักทีจะได้มั้ย?

เมื่อได้ยิน เสี่ยวหมี่โต้หัวก็รู้สึกเหมือนกับว่ามีเหตุผล จึงรีบเปลี่ยนท่าทางอย่างรวดเร็ว

“ฮ่า ๆ ๆ ๆเสี่ยวเหยียนอดไม่ได้ที่จะปิดปากและ หัวเราะออกมา

เสียงหัวเราะของเธอนั้นเป็นจุดสนใจของผู้คน เสิ่นเฉียวจึงอดไม่ได้ที่จะพูดขึ้น: “มีนักข่าวนะ เธอเบา ๆ หน่อย”

ทันใดนั้นเองเสี่ยวเหยียนกลั้นเสียงหัวเราะของตัว เองลง หลังจากนั้นก็ร้องเรียนขึ้นมาว่า: “เธอเองก็รู้ว่า ถ้าไม่ใช่เพราะเธอ พวกเราก็คงไม่ถูกตามหรอกใช่มั้ย ล่ะ? แต่ว่า….เธอน่ะยังเป็นจุดสนใจน้อยกว่าพวก ดาราดัง ๆ ตั้งเยอะ มีแค่นักข่าวไม่กี่คนเอง เทียบกับ ดาราดัง ๆ ไม่ได้สักนิด”

“ก็ฉันไม่ใช่ดาราสักหน่อย แล้วอีกอย่าง….ฉันเอง ก็ไม่ได้สนใจจะเป็นด้วย” หานมู่จื่อพูดด้วยเสียงเบา ๆ

“เธอไม่สนใจแล้วมันเกี่ยวอะไรกับนักข่าวล่ะ? พวกเขาน่ะสนแค่จะถ่ายเนื้อหาอะไรติดไม้ติดมือไปได้ บ้าง กลับไปจะได้ส่งบทความ”

“งั้นเหรอ? งั้นก็ปล่อยให้พวกเค้าถ่ายไปเถอะ แค่ ไม่ให้ถ่ายติดหน้าก็พอ”


เพื่อการอัปเดตบทที่เร็วขึ้น กรุณาบริจาคสำหรับเว็บไซต์เพื่อซื้อบทใหม่! ขอขอบคุณ
THB

เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ