เจ้าสาวมือสองของคุณชายเย่

บทที่ 1320 ก็แค่รื้อฟื้นความหลัง



บทที่ 1320 ก็แค่รื้อฟื้นความหลัง

ทันใดนั้น หาน จื่อยื่นมือออกมากอดไหล่ของเย่ ไม่เป็น จากนั้น ค่อยๆเอาศีรษะตัวเองซบลงบนไหล่เขา

“คุณไม่ต้องตื่นตระหนก และก็ไม่ต้องกลัว ความทรงจำก็คือ ความทรงจำ นอกจากทำความสับสนในใจคุณแล้ว มันก็ไม่มี พลังที่จะทำอะไรได้อีก เรื่องในอดีตมันผ่านไปแล้ว ตอนนี้ฉันอยู่ ข้างกายคุณ พวกเรายังมีเสี่ยวหมี่โต้วและเสียวโต้วหยา คุณตา ของคุณก็ยังอยู่ข้างๆคุณนะ”

คำพูดที่อ่อนโยนของหาน จื่อค่อยๆปลอบประโลมจิตใจของ เย่ไม่เป็น ปลายนิ้วเขาขยับเล็กน้อย กอดเสียวโต้วหยาใน อ้อมอกแน่น มุมปากค่อยๆกระดกขึ้นเป็นรอยยิ้ม

ใช่แล้ว มู่จื่อของเขาพูดถูก

แม้ว่าจะผ่านลมพายุฝน แต่ตอนนี้คนสำคัญล้วนอยู่ข้างกาย เขา และถึงแม้เขาจะต้องเผชิญหน้ากับความเป็นความตาย แต่ สุดท้ายแล้วเขาก็ไม่ได้ตายไม่ใช่เหรอ

แต่ เย่โม่เซินขมวดคิ้วที่คุณพูดแบบนี้ คือหวังว่าต่อไปผมไม่

ต้องตามคุณอีกใช่มั้ย

หานมู่จื่อกระแอมเบาๆ สีหน้าท่าทางกระอักกระอ่วนเล็ก น้อย : “ฉันไม่ได้หมายความอย่างนั้น ฉันก็แค่เห็นคุณมีท่าทาง หดหู่เมื่อกี้ ดังนั้นก็เลยปลอบคุณหน่อย เกิดวันไหนคุณอยู่คนเตียวคิดมากจนธาตุไฟเข้าแทรกจะทำยังไง”

เย่ ไม่เซ็นชำเลืองมองเธอ ยื่นมือมาบีบจมูกของเธอ พูดเบาๆ ว่า: “แสบ”

ทั้งสองคนดูเหมือนเป็นแฟนที่เพิ่งคบกันกำลังทะเลาะกัน

นับตั้งแต่วันนั้นที่หลินสวี่เจิ้งพบกับสวี่เย็นหวั่นที่บริษัทตระกูล หานนั้น ภายในใจก็มักจะเกิดความรู้สึกไม่ค่อยสบายใจบาง อย่าง

ดังนั้นเขาจึงให้คนไปสืบประวัติก่อนหน้านี้ของสวีเย็นหวั่น เพราะจู่ๆเธอก็บอกเขาว่าตนเองล้มละลายแล้ว ความจริงแล้ว ต้องมีสาเหตุอย่างแน่นอน

ดังนั้นหลินสวีเจิ้งตรวจสอบประวัติแล้วก็รู้ว่าบริษัทตระกูลส

จากบริษัทที่มีชื่อเสียง ในต่างประเทศจนเดินมาถึงจุดจบที่ล่ม

สลาย สุดท้ายก็หายสาบสูญ

หลังจากดูเอกสารเหล่านั้นแล้วหลินสวี่เพิ่งมีเพียงความใจหาย เพราะอย่างไรเขาก็คิดไม่ถึงว่าบริษัทตระกูลสวี่ที่เก่งกาจในตอน นั้น กลับหายสาบสูญไปอย่างนี้

เพียงชั่วข้ามคืน ตระกูลสวีก็เหลือเพียงสวี่เย็นหวั่นแค่คนเดียว

ต้องเอาใจเขามาใส่ใจเรา ต่อให้เป็นคนแปลกหน้า หลังจากที่ ได้รู้ว่าสวีเย็นหวั่นต้องผ่านอะไรมา ก็เกิดความเห็นอกเห็นใจ
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงพวกเขาสามคนที่รักใคร่เติบโตเล่นมาด้วยกัน ในวัยเด็ก

ความจริงแล้ว หลินสวี่เจิ้งเองก็เห็นสวีเย็นหวั่นเป็นน้องสาวแท้ และที่สำคัญที่สุดก็คือ ความรู้สึกของเธอต่อหานชิง หลินส เจิ้งรู้ดีมาตลอด

แต่ว่าหลินสวี่เจ๋งคิดว่าหานซึ่งจะครองตัวเป็นโสดไปตลอด ดัง นั้นความจริงใจของสวีเย็นหวั่นที่ทุ่มเทไปก็สูญเปล่า

ทว่าต่อมาแม้กระทั่งหลินสวี่เจิ้งก็ไม่เคยคิดมาก่อน อยู่ๆก็มี

เสี่ยวเหยียนโผล่มา จากนั้นก็ได้ครอบครองหานซึ่งไป

และเขาก็ไม่คิดไม่ฝันมาก่อนว่า บ้านของสวีเย็นหวั่นจะล้ม ละลาย เหลือเธอเพียงคนเดียว สุดท้ายมายังวิ่งมาที่บริษัท ตระกูลหาน

คิดๆแล้ว ก็รู้สึกทำให้ไม่สบายใจเล็กน้อย

แต่ไม่นาน มุมปากของหลินสวี่เจิ้งก็ยกขึ้นเป็นรอยยิ้มที่มี เลศนัยออกมา

หานชิงเพื่อนของเขาคนนั้นเป็นคนสุขุมเยือกเย็นมาโดยตลอด ถ้าต้องมาเจอผู้หญิงสองคนแย่งชิงเขาด้วยความหึงหวง คนหนึ่ง คือเพื่อนเล่นในวัยเด็ก อีกคนเป็นผู้หญิงที่เขารัก อย่างนั้นเขาจะ มีท่าทีอย่างไร

แน่นอนว่า หลินสวี่เจิ้งอยากเห็นว่าหานชิงจะมีปฏิกิริยา อย่างไร แต่ว่า…..ทำแบบนี้ผลลัพธ์ที่ได้อาจต้องแลกมาด้วยค่าตอบแทนที่สูงเกินไป

ดังนั้นหลินสวี่เจิ้งวางแผนนัดสวีเย็นหวั่นออกมาพูดคุยกันเสีย หน่อย

ตอนที่สวีเย็นหวั่นได้รับโทรศัพท์ของหลินสวี่เจ๋งไม่รู้สึกแปลก ใจเลยสักนิด หลังจากที่ได้พบกันที่บริษัทครั้งนั้น สวีเย็นหวั่นก็ เดาได้ว่าเขาจะต้องมาหาเธอ

“คิดไม่ถึงว่าคุณจะรวดเร็วขนาดนี้ ดูท่าหลายปีมานี้แม้คุณจะ ไม่ค่อยได้เข้าไปบริหารจัดการบริษัท แต่สถานะของบริษัท ตระกูลหลินที่เมืองเป่ย ก็ไม่ได้ลดน้อยด้อยลงไปเลย

ได้ยินอย่างนั้น หลินสวี่เจ๋งก็ค่อยๆคลี่ยิ้ม พูดเบาๆว่า “ดูท่า คุณคงเดาได้แต่แรกแล้วว่าผมจะมาหาคุณ

“อืม”สวีเย็นหวั่นพยักหน้า เอ่ยเรียบๆว่า “แต่ฉันคิดไม่ถึงว่า

คุณจะมาเร็วขนาดนี้”

หลินสวี่เจิ้งก็ไม่พูดอ้อมค้อม นัดเธอออกมาพบโดยทันที

ทั้งสองนัดพบกันที่ร้านกาแฟร้านหนึ่ง

หลินสวี่เจิ้งนั่งรออยู่ด้านในร้าน เพราะว่าอยู่ชั้นสอง ดังนั้น ระยะในการมองเห็นจึงกว้างขวางมากกว่า เขามองทะลุผ่าน หน้าต่างกระจกมองเห็นสวี่เย็นหวั่นอยู่ไกลกำลังเดินตรงมาทางนี้

เมื่อก่อนเวลาสวีเย็นหวั่นจะไปไหนมาไหน ก็ล้วนแต่มีรถคอย รับส่ง เสื้อผ้าที่สวมใส่ข้าวของที่ใช้ ล้วนเป็นของแบรนด์เนม
แต่ว่าตอนนี้ล่ะ เสื้อผ้าที่เธอสวมใส่อยู่นั้นกับชุดที่วันนั้นที่พบ เธอที่บริษัท แทบไม่มีอะไรต่างกันเลย

คงจะใส่ชุดพนักงานออกมา แล้วยังรองเท้าส้นสูงที่เท้าเธอคู่ นั้น ดูแล้วเห็นชัดว่าใส่ไม่พอดีเท้า

คุณหนู ในอดีต ปัจจุบันกลับตกกลายเป็นแบบนี้

หลินสวี่เจิ้งยกแก้วขึ้นจิบกาแฟจิบหนึ่ง ในใจบอกไม่ถูกว่า รสชาติแบบไหน

เมื่อก่อนทั้งสามคนตอนเด็กเป็นความรู้สึกที่ดีมากจริงๆ เพราะ ตอนนั้นทุกคนยังไร้เดียงสา ไม่มีความคิดมากมายซับซ้อนอะไร แต่หลังจากหลินสวี่เจิ้งมีแฟนแล้ว ก็ค่อยๆปลีกตัวไปจากกลุ่มนี้

หลังจากนั้น สวี่เย็นหวั่นก็อพยพไปพร้อมกับพ่อแม่

ตอนนี้……..

สวีเย็นหวั่นเดินเข้าร้านกาแฟมา บอกชื่อลูกค้ากับพนักงาน งานแล้ว พนักงานก็นำเธอเดินขึ้นไปที่ชั้นบน

“มาแล้วเหรอ” หลินสวี่เจิ้งลุกขึ้นมาลากเก้าอี้ให้สวีเย็นหวั่น สวี่เย็นหวั่นมองดูภาพนี้ กลับไม่ขยับเขยื้อนเลย พักใหญ่จึง พูดขึ้นว่า “ฉันไม่ใช่คุณหนูใหญ่ของตระกูลสวี่แล้ว ต่อไปคุณ ไม่ต้องทำอย่างนี้แล้ว

ได้ยินที่เธอพูด หลินสวี่เจิ้งขมวดคิ้ว : “สเย็นหวั่น คุณคิด ว่าที่ผมทำแบบนี้เพราะเห็นแก่สถานะของคุณเหรอ”
สวีเย็นหวั่นเม้มปาก ไม่ได้ตอบโต้อะไร

“นี่คือเห็นแก่ความสัมพันธ์เก่าแก่ของเรา ความสัมพันธ์ที่ เติบโตมาด้วยกัน เข้าใจมั้ย

ตอนที่พูดประโยคนี้ หลินสวีเจ๋งนิ้วชี้ดีดไปที่หน้าผากของส เย็นหวั่นเบาๆ : “บ้านล้มละลายแล้วก็ไม่ต้องถึงขนาดว่าไม่รู้จัก พี่ชายคนนี้แล้วก็ได้มั้ง

พี่ชายเหรอ

สีหน้าสวีเย็นหวั่นแสดงให้เห็นความแปลกประหลาดใจ มอง ไปยังหลินสวี่เจิ้ง

“พวกเราเติบโตมาด้วยกันตั้งแต่เด็ก ตอนนั้นตอนฉันพอจะรู้ เรื่องแล้ว เธอยังตัวเล็กกระจิดขนาดนี้อยู่เลย”หลินสวี่เจิ้งยังทำ ไม้ทํามือประกอบด้วย ตอนที่เธอยังเรียนหนังสือถูกผู้ชายตาม จีบอย่างบ้าคลั่ง พอเธอปฏิเสธก็ถูกสะกดรอยตามเรื่องนี้ไม่ใช่ ฉันที่แก้ปัญหาให้เธอเหรอ”

เมื่อเอ่ยถึงเรื่องนี้สวี่เย็นหวั่นก็ค่อยๆจมดิ่งเข้าไปในความทรง

ใช่แล้ว ตอนนั้นทั้งสามคนเติบโตมาด้วยกันเธอเป็นผู้หญิง หนึ่งเดียวในนั้น ดังนั้นจึงมักจะได้รับการดูแลเป็นพิเศษ

แต่ว่าการดูแลเป็นพิเศษส่วนมากก็มาจากหลินสวี่เจิ้ง ส่วน หานชิง…..มีน้อยมากๆ

นอกจากว่าเธอเอ่ยปากขอ หรือว่าถูกเขาพบเข้าโดยบังเอิญไม่อย่างนั้นต่อให้ตายเขาก็คงไม่ช่วย

“ไม่ใช่ล้มละลายหรอกหรือ เธอโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว ความยาก ลำบากนี้จะต้องผ่านมันไปให้ได้ ไม่มีอะไรที่ปล่อยวางไม่ได้

ได้ยินอย่างนั้น สวี่เย็นหวั่นหลบสายตา ยิ้มอ่อนๆพูดว่า

“ใช่สิ ไม่ใช่แค่ล้มละลาย…….

ก็แค่ล้มละลาย……

มีอะไรที่จะเลวร้ายนักหนา

ไม่มีอะไรเลวร้ายจนรับไม่ไหวจริงๆ ก็แค่สวี่เย็นหวั่นอยากจะ ร้องไห้เท่านั้น ในเมื่อสำหรับเธอ เวลานี้เธอไม่เหลืออะไรแล้ว

และหานชิงก็ดีเพียบพร้อมขนาดนั้น เธอกลับไม่เหลืออะไร

แล้ว……..

คิดมาถึงตรงนี้ ขอบตาของสวีเย็นหวั่นก็เปลี่ยนเป็นสีแดง “ผมไม่ได้มีความหมายอื่น วันนี้ที่เรียกคุณออกมาก็เพื่อมา รื้อฟื้นความหลัง”

สุดท้ายหลินสวี่เจิ้งเรียกให้เธอนั่งลง หลังจากสวีเย็นหวั่นนั่งลง มาแล้ว จึงเงยหน้าขึ้นมาใหม่ปรับอารมณ์ตนเองให้เป็นปกติแล้ว ก็เงยหน้าขึ้นมาใหม่


เพื่อการอัปเดตบทที่เร็วขึ้น กรุณาบริจาคสำหรับเว็บไซต์เพื่อซื้อบทใหม่! ขอขอบคุณ
THB

เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ