ผมได้สืบทอดมรดกร้อยพันล้าน

บทที่ 1901



บทที่ 1901

แต่ไหนแต่ไรมานายหญิงใหญ่เชียวไม่เคยเป็นอย่างวันนี้มา ก่อน กับการแค่กินอาหารมื้อเดียวจะต้องดีใจจนถึงขนาดตัวสั่น ไปทั้งตัว

เธอทำตามที่หัวหน้างานบอก วุ่นอยู่กับงานที่ซุปเปอร์มาเก็ต กระทั่งเวลาหนึ่งทุ่ม ในที่สุดเธอก็ได้คูปองอาหารที่เธอเฝ้ารอ คอยอยู่ตลอดเวลา

แม้ว่าตอนกลางวันเธอจะพยายามกินอาหารกลางวันจนอิ่ม หนึ่งมื้อแล้ว แต่ว่าอาหารเย็นมื้อนี้ นายหญิงใหญ่เซียวก็กิน อาหารราวกับสุนัขที่อดอาหารมาสามวัน กินอาหารที่โรงอาหาร จนท้องกลมโต กินจนลุกไม่ขึ้น

กินจนกระทั่งไม่สามารถยึดอาหารเข้าไปได้อีกแล้ว หลังจากที่ เธอนั่งพักอยู่ที่เดิมในโรงอาหารครึ่งชั่วโมง จากนั้นก็ใช้สองมือ พยุงที่โต๊ะอาหาร และพยายามลุกขึ้นอย่างอิดออด

เมื่อกินอิ่มแล้ว ดื่มเพียงพอแล้ว ก็ทำให้เธอดูมีชีวิตชีวามาก ขึ้น

นายหญิงใหญ่เชียวใช้หลังมือลูบที่ริมฝีปาก และใช้ฝ่ามือลูบ ที่ท้อง พูดความรู้สึกลึกๆของตนอย่างพึงพอใจว่า : “คิดไม่ถึง เลยว่า หลังจากออกแรงทำงานนี้แล้วจะกินข้าวอร่อยขนาดนี้! วันนี้กินคุ้มจริงๆ! ‘
ทันใดนั้นนายหญิงใหญ่ก็มองดูเวลา และพบว่าตอนนี้เป็น เวลาสองทุ่มกว่าแล้ว จึงวางแผนที่จะรีบกลับบ้านโดยเร็ว

แม้ว่าเธอจะเป็นคนเห็นแก่ตัวมาโดยตลอด แต่หลังจากที่เธอ ได้สัมผัสช่วงเวลาที่ยากลำบากต่างๆนานา ในช่วงระยะเวลานี้ ก็ ทำให้เธอใส่ใจลูกชายและหลานชายขึ้นมาบ้างไม่มากก็น้อย

เมื่อนึกถึงลูกชายและหลานชายที่นอนอยู่บนเตียงอย่าง หิวโหย นายหญิงใหญ่เซียวจึงรีบไปยังช่องหน้าต่างของโรง อาหารเอ่ยปากถามพนักงานที่กำลังเตรียมเลิกงานคนนั้นว่า “รบกวนถามหน่อยนะคะว่า กับข้าว หมั่นโถวและข้าวที่เหลือของ พวกเรายังต้องการอีกไหม? ”

คู่สนทนามองมาที่เธอ พลางพูดขึ้นด้วยสีหน้าจนปัญญาว่า “คงไม่มั่งนายหญิงใหญ่เชียว คุณคนเดียวกินข้าวเท่ากับปริมาณ คนสามคนกิน ยังไม่อิ่มอีกเหรอ? ”

นายหญิงใหญ่เซียวเช็ดปากอย่างเขินอาย ยิ้มและพูดอย่าง เกรงใจว่า “เฮ้อ ตัวฉันเองอิ่มแล้ว แต่เด็กๆ ที่บ้านยังหิ้วท้องรอ อยู่เลยคุณไม่รู้หรอกว่าพวกเขาไม่ได้กินอะไรเลยมาเกือบสองวัน สองคืนแล้ว”

คู่สนทนาถามขึ้นด้วยความตื่นตะลึงว่า: “จริงเหรอ? นี่มัน สมัยไหนแล้วยังมีคนที่ไม่มีข้าวจะกินอีกเหรอ? ”

สีหน้าของนายหญิงใหญ่เซียวร้อนผ่าวพักหนึ่ง พลางพูดขึ้น อย่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออกว่า “เฮ้อ คุณไม่รู้หรอกว่าช่วงเวลา นี้ที่บ้านของฉันเกิดเรื่องขึ้นบางอย่าง สะใภ้ใหญ่ของครอบครัวเป็นมะเร็งเต้านม พอตรวจเจอก็พบว่าเป็นระยะสุดท้าย ตอนนี้ ใกล้จะตายแล้ว เพื่อที่จะรักษาโรคให้กับหล่อน ลูกชายคนโต ของฉันใช้เงินทั้งหมดของครอบครัวไปหมดแล้ว….

เมื่อได้พูดเช่นนี้ จู่ๆ ในใจของนายหญิงใหญ่เขียวก็รู้สึกโล่ง เป็นอย่างมาก

โล่งมากจริงๆ!

เฉียนหงเล่นขัดหูขัดตาเธอมาตั้งแต่แรกแล้ว หาก หากตอนนั้นอู่ตง ไฟไม่ขวางไว้ นายหญิงใหญ่ก็คงจะตีเฉียนหงเย็นจนเกือบตายไป แล้ว

ที่จริงแล้วเป็นเพราะว่าช่วงนี้ เฉียนหงเป็นทำเรื่องอกตัญญูต่อ เธอสารพัด แม้กระทั่งบีบบังคับให้เธอออกมาทำงาน ในใจของ เธอเกลียดเฉียนหงเล่นจนเข้ากระดูกดำตั้งแต่แรกแล้ว

ดังนั้น เวลาอยู่ต่อหน้าคนอื่นการแต่งเรื่องว่าเฉียนหงเป็นป่วย เป็นมะเร็งเต้านมจนใกล้จะตายแล้ว ทำให้เธอรู้สึกสะใจเหมือน เป็นการแก้แค้นอย่างหนึ่ง

เมื่อพนักงานของโรงอาหารได้ยินประโยคนี้ ทันใดนั้นก็ร้อง อย่างตกใจว่า : “อา? มะเร็งเต้านมระยะสุดท้าย น่าอนาถ จริงๆ…”

“นี่ยังไม่เท่าไหร่นะ! “นายหญิงใหญ่เชียวถอนหายใจ “เฮ้อ…สะใภ้ใหญ่เป็นมะเร็งเต้านมระยะสุดท้าย ส่วนสะใภ้รอง ยิ่งน่าอนาถกว่านี้อีก ! ”
พนักงานถามขึ้นด้วยความรีบร้อนว่า : “นายหญิงใหญ่ สะใภ้ รองของคุณเป็นอะไรเหรอคะ?

นายหญิงใหญ่เชียวพูดขึ้นด้วยสีหน้าโศกเศร้าว่า “เดิมที สะใภ้รองก็เป็นโรคยูรีเมียอยู่แล้ว ต้องอาศัยการล้างไตในการมี ชีวิตอยู่ แต่เมื่อไม่นานขณะที่กำลังเดินทางไปล้างไตที่โรง พยาบาลกลับถูกรถชน อวัยวะส่วนล่างตั้งแต่ตูดลงมาต้องตัดทิ้ง ออกหมด…”

พนักงานตกใจจนกลายเป็นคนโง่” “นี่…อนาถขนาดนี้เลยเห รอ? “

นายหญิงใหญ่เซียวสีหน้าบึ้งตึง “นี่ไม่ขนาดนั้นหรอก? เรื่อง ที่น่าอนาถกว่านั้นคือเรื่องที่จะพูดต่อจากนี้ ”

พนักงานซักต่อว่า “ยังมีอะไรที่น่าอนาถกว่านี้อีกเหรอ? ”

นายหญิงใหญ่เซียว พูดขึ้นอย่างทอดถอนหายใจว่า “สะใภ้ รองคนนั้นของฉันแม้ว่าจะไม่มีขาแล้ว แต่ก็ยังต้องไปฟอกไต เดิมทีก็น่าอนาถมากแล้ว แต่สุดท้ายกลับเป็นโรคหลอดเลือดใน สมอง ตอนนี้วันๆได้แต่ปากเบี้ยวและมีอาการชักอยู่บ่อยๆ

ขณะที่พูดถึงหม่าหลัน นายหญิงใหญ่เซียวก็ยิ่งอยู่สึกว่าความ เกลียดที่อยู่ในใจได้รับการปลดปล่อย


เพื่อการอัปเดตบทที่เร็วขึ้น กรุณาบริจาคสำหรับเว็บไซต์เพื่อซื้อบทใหม่! ขอขอบคุณ
THB

เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ