แค้นรักสามีตัวร้าย

บทที่ 132 ต้องเกลียดเขาต่อไปไหม?



บทที่ 132 ต้องเกลียดเขาต่อไปไหม?

รเมศวางโทรศัพท์ไว้ข้างๆ ดวงตาค่อนข้างมืดมน ไม่ชัดเจน ดูเหมือนทั้งร่างปกคลุมไปด้วยฤดูหนาว ความกดอากาศต่ำทำให้ทั้งห้องทำงานเย็นจนน่ากลัว

ตอนที่เลขาเข้ามาก็อดตัวสั่นไม่ได้

“ประธานรเมศ คุณนายโทรมา ให้วันนี้คุณกลับไป บ้านหลังเก่าค่ะ” (คุณนายในตรงนี้คือแม่ของรเมศ)

“ออกไป”

รเมศอารมณ์ไม่ดีอย่างมาก

เขาไม่ได้สงบเหมือนตอนคุยโทรศัพท์ ถึงขั้นมี ความรุนแรงนิดหน่อย มันทำให้เลขาค่อนข้างหวาด กลัว รีบถอยออกมา และรีบปิดประตูใหญ่ห้องทำงาน

คุณแม่ของรเมศให้เขากลับไปทำไม รเมศรู้ดี

อย่างมาก

เขาจะสามสิบแล้ว ผู้ชายคนอื่นในอายุเท่านี้ ก็มี ลูกวิ่งเต็มไปหมดแล้ว แต่ตอนนี้เขาไม่มีคู่รักที่แต่งงาน ได้ และไม่แปลกใจที่ทำให้คุณแม่กังวล

แต่ตัวเลือกภรรยาของรเมศ นอกจากนรมนแล้ว

เขาก็ยอมให้คนอื่นไม่ได้จริงๆ

ยังจำครั้งแรกที่เจอนรมนได้ ผมเธอพลิ้วไหวตาม กระแสลมเดินเข้ามาในมหาวิทยาลัยด้วยความเยาว์วัยถามเขาด้วยรอยยิ้มว่า “รุ่นพี่ ขอโทษนะคะเอกภาษา จีนไปยังไง?”

ในตอนนั้น หัวใจเขาก็หายไปแล้ว

ตอนนี้มันผ่านไปสิบกว่าปีแล้ว เขาก็ยังไม่ปล่อยผู้ หญิงคนนี้ไป น่าเสียดายที่คนที่เธอรักไม่ใช่เขา!

รเมศทุบโต๊ะด้วยหมัด เกลียดที่โชคชะตาไม่ ยุติธรรม เกลียดตัวเองใจอ่อนในตอนแรก ถ้าไม่ปล่อย ให้นรมนกลับเมืองชลธี ตอนนี้เธอกับกานต์ก็ยังอยู่ เคียงข้างตนหรือเปล่า?

แต่ถ้าไม่ให้นรมนกลับไป เฝ้ามองเธอร้องไห้ทั้งวัน เพราะอาการป่วยของกมล รเมศก็ปวดใจอย่างมากเช่น

กัน

เขาควรทำอย่างไรดีล่ะ?

ปล่อยไป?

หรือพยายามอย่างเต็มที่?

รเมศรู้สึกสับสนวุ่นวายใจสุดขีด

เขาสูบบุหรี่น้อยมาก เพราะกานต์และกมล เขา เกือบจะเลิกบุหรี่แล้ว แต่ตอนนี้เขาต้องการนิโคติน อย่างมากในการทำให้อารมณ์ตัวเองสงบลง ไม่เช่นนั้น กลัวว่าตัวเองจะเป็นบ้า

กลิ่นบุหรี่ลอยอยู่ในอากาศ รเมศสำลักไอเล็กน้อย

น้ำตาไหลออกมา
ตอนแรกเขาพยายามอย่างเต็มที่เพื่อจะกลั้นมันไว้ แต่แล้วเขาก็ปกปิดอารมณ์ตัวเองไว้ไม่มิด ปล่อยให้ น้ำตาไหลลงมาจากหางตา

คิดว่าเขามีอำนาจในการตัดสินใจในแวดวงการ เงินที่อเมริกา แต่กลับไม่สามารถเอาชนะใจผู้หญิงคน หนึ่งได้

เขารู้สึกว่าตัวเองเศร้าและน่าขำมาก

ด้านนอกมีเสียงเคาะประตูจากเลขาที่กล้าๆ กลัวๆ

“ออกไป”

รเมศกวาดของบนโต๊ะทั้งหมดลงบนพื้น เสียงดัง ทำให้เลขาตัวสั่นอีกครั้ง อยากจะหันตัววิ่งหนีออกไป แต่เธอลังเลสักพักหนึ่ง แล้วพูดขึ้นอย่างไม่ สบายใจ “ป-ประธานรเมศคะ โรงพยาบาลโทรมา คุณ กมลอาการไม่ค่อยดีค่ะ”

เมื่อประโยคนี้พูดออกมา รเมศก็ผลักเก้าอี้ทันที เปิดประตูใหญ่ห้องทำงาน

“คุณว่าไงนะ?”

ลมหายใจเขาถี่ ร่างกายยังมีกลิ่นบุหรี่ น้ำตาบน ใบหน้ายังไม่เหือดแห้ง เลขาที่ไม่เคยเห็นสภาพย่ำแย่ แบบนี้มาก่อนก็เผลอตกตะลึง

“ฉันถามว่าเมื่อกี้คุณว่าไงนะ?”

รเมศคำรามอย่างบ้าคลั่ง
เลขาถึงได้ตื่นจากฝัน

“โรงพยาบาลโทรมา บอกว่าคุณกมลอาการไม่ ค่อยดีค่ะ”

รเมศพุ่งตัวออกไปอย่างบ้าคลั่ง

“ประธานรเมศ หน้าคุณ…”

เลขาอยากบอกว่าใบหน้าคุณมีน้ำตา แต่เธอกลืน คำพูดด้านหลังลงไปทันที

รเมศเป็นใคร?

ผู้มีอำนาจและอิทธิพลแวดวงการเงินในอเมริกา เขาจะร้องไห้ได้อย่างไร?

และทั่วทั้งอเมริกา ใครจะมีความสามารถทำให้

ประธานรเมศร้องไห้ได้?

ดังนั้นเธอต้องมองผิดแน่ๆ

เลขาเตือนตัวเองไม่หยุด แต่ความตกใจของเธอ กวาดความรู้สึกทั้งหมดของเธอไปเหมือนทะเลที่มีพายุ

รเมศวิ่งออกไปเหมือนบ้าคลั่ง และวิ่งกลับมา เหมือนบ้าคลั่งอีกครั้ง ขณะที่เลขายังไม่ทันได้ตอบ สนอง ก็เห็นประธานพูดกับเธอด้วยใบหน้าบิ้งตึงเข้ม งวด “ถ้านักออกแบบนรมนโทรมา ไม่ต้องบอกเรื่อง อาการป่วยของกมลนะ ได้ยินไหม?”

“แต่เธอเป็นแม่ของกมลไม่ใช่เหรอคะ? ถ้า….”
“ไม่มีถ้า! กมลจะไม่เป็นอะไร ฉันก็ไม่มีทางให้ หล่อนเป็นอะไร เรื่องนี้ถ้านักออกแบบนรมนรู้แม้แต่คำ เดียว คุณโดนไล่ออกแน่”

รเมศในตอนนี้กลับมามีท่าทางที่เด็ดขาดอีกครั้ง ราวกับความอ่อนแอเมื่อครู่นี้เป็นแค่ภาพลวงตาของ เลขาเท่านั้น

เลขารีบพยักหน้า

มันเกี่ยวกับอนาคตของตัวเอง เธอจะกล้าพูดเห

รอ?

รเมศเห็นเลขาพยักหน้า ถึงได้รีบออกไป

หลังจากเขาออกไปแล้ว เลขาก็นั่งเก้าอี้ รู้สึกเมื่อ ครู่นี้ตัวเองกำลังเดินไปรอบๆ ขอบความตาย

ประธานรเมศน่ากลัวเกินไปเมื่อเต็มไปด้วยอำนาจ

เธอลูบหน้าอกตัวเอง กำลังจะไปตั้งใจทำงาน ก็ได้ ยินเสียงโทรศัพท์บนโต๊ะดังขึ้น

“สวัสดีค่ะ ห้องทำงานของประธานบริษัทHJกรุ๊ป จำกัด ไม่ทราบว่าใครคะ?”

เลขาพยายามอย่างเต็มที่เพื่อให้ตัวเองอยู่ในการ ทำงานอีกครั้ง

นรมนกระแอมไอก่อนพูดขึ้น “เลขาหลิว ฉันเองค่ะ

นรมน”

เธอเพิ่งพูดชื่อตัวเองออกมา เลขาหลิวก็เกือบทำโทรศัพท์ในมือตก

ประธานรเมศสุดยอดเกินไปแล้วมั้ง?

เขาเพิ่งเดินออกไป นรมนก็โทรมาพอดี ถ้ารเมศไม่ ได้สั่งเธอล่วงหน้า เธอก็ไม่รู้จริงๆ ว่าควรตอบอย่างไร

“นักออกแบบนรมนเหรอคะ มีธุระอะไรคะ?”

“ตอนนี้ประธานรเมศทำอะไรอยู่คะ?”

นรมนรู้ว่าตัวเองถามค่อนข้างฉับพลัน แต่คำพูด เมื่อครู่นี้ทำร้ายจิตใจมากเกินไปจริงๆ เธอกลัวว่ารเมศ จะทนไม่ได้

เลขาหลิวกระแอมไอก่อนพูดขึ้น “เมื่อกี้ประธานร เมศได้รับเคสหนึ่ง เพิ่งเข้าห้องประชุมเพื่อพูดคุยเรื่อง ความเป็นไปได้กับผู้บริหาร อาจจะไม่ออกมาสักพักค่ะ นักออกแบบนรมนมีเรื่องอะไรต้องการให้ฉันรายงาน กับประธานรเมศไหมคะ? บอกฉันได้นะคะ เมื่อ ประธานรเมศประชุมเสร็จ ฉันจะบอกประธานรเมศอ

ย่างแน่นอน”

“ไม่ต้องค่ะ ฉันไม่มีอะไร

นรมนรีบหยุด

รู้ว่าเขาไปประชุม นรมนก็วางใจนิดหน่อย

ดูเหมือนรเมศกำลังทำงานอยู่

ก็ดีเหมือนกัน

ทำงานยุ่งนิดหน่อยอาจจะช่วยแบ่งเบาอารมณ์
“จริงสิ เลขาหลิว ฉันขอถามหน่อยว่าช่วงนี้กมล เป็นยังไงบ้างคะ?”

จริงๆ เรื่องนี้เธอถามรเมศได้ แต่ตอนนี้เธอไม่ค่อย สะดวกจริงๆ ที่จะโทรหารเมศ

เลขาก็ตกใจทันที

“ช่วงนี้คุณกมลให้ความร่วมมือกับแพทย์เพื่อรับ การรักษา ตอนนี้ทุกอย่างคงที่มาก ประธานรเมศไปอยู่ เป็นเพื่อนคุณกมลทุกวัน นักออกแบบนรมนวางใจได้

ค่ะ”

“งั้นก็ดีค่ะ เมื่อกี้ฉันวิดีโอคอลหากมล แต่เธอไม่รับ สาย ฉันเลยกังวลไปหน่อย”

นรมนเป็นห่วงกมลมากจริงๆ

เลขาหลิวได้ยินเธอพูดแบบนี้ก็รีบพูดขึ้น “อาจจะ เพราะพยาบาลพิเศษพาคุณกมลออกไปรับแสงแดด ก็ได้นะคะ คุณหมอบอกว่าคุณกมลควรได้รับแสงแดด มากหน่อยก็จะดี และสิ่งของพวกโทรศัพท์ก็มีรังสี ปก ติประธานรเมศก็อยากให้เธอเล่นน้อยลงด้วย”

“ก็จริง รบกวนพวกคุณมากเลย ฉันจะรีบกลับไป รับกมลกลับมาให้เร็วที่สุดนะคะ”

นรมนพูดจบก็วางสายไป

เธอยืนอยู่ที่มุมบันได มองเด็กๆ กำลังเล่นกันอย่าง สนุกด้านนอกผ่านหน้าต่าง รู้สึกหนักอึ้งนิดหน่อย
เมื่อไรกมลของเธอจะได้ใช้ชีวิตอยู่ใต้แสงแดด อย่างมีความสุขเหมือนเด็กพวกนี้ได้?

นรมนรู้สึกหนักอึ้งนิดหน่อย กลับได้ยินเสียงอุทาน ตกใจของพฤกษ์

“ประธานบุริศร์ออกมาแล้วเหรอ!”

นรมนรีบจัดการอารมณ์ของตัวเองให้ดี รีบวิ่งกลับ ไปที่หน้าประตูห้องผ่าตัด

“คุณหมอ เขาเป็นยังไงบ้างคะ?”

เพราะนรมนร้อนใจ เลยวิ่งจนหอบนิดหน่อย

คุณหมอพูดเสียงทุ้ม “สมรรถภาพทางกายของ ประธานบุริศร์ยังดีมาก แต่ครั้งนี้เสียเลือดเยอะเกินไป ต้องพักผ่อนจริงๆ ต่อไปถ้าไม่มีสำคัญเป็นพิเศษ อย่า ให้ประธานบุริศร์ขยับไปไหน”

“ได้ค่ะ”

ได้ยินว่าบุริศร์ไม่เป็นอะไรมาก หัวใจดวงนั้นของ

นรมนก็วางใจ

บุริศร์ถูกเข็นเข้าไปในห้องคนไข้ กานต์ยังไม่ตื่น คุณหมอเพิ่มเตียงให้หนึ่งเตียง ให้กานต์นอนเตียง ข้างๆ

พฤกษ์รู้ว่าบุริศร์ไม่เป็นอะไรแล้ว ก็ออกไปอย่าง เงียบๆ เหลือพื้นที่ทั้งหมดให้แก่นรมน

นรมนมองบุริศร์ที่หมดสติและกานต์ที่หลับปุ๋ย จู่ๆอารมณ์ก็สงบอย่างมาก

ชีวิตที่เธอต้องการไม่มีอะไรมากไปกว่านี้แล้ว

มือข้างหนึ่งของเธอจับมือบุริศร์ อีกข้างหนึ่งจับมือ เล็กของกานต์ มุมปากยกขึ้นเล็กน้อย แล้วฟุบขอบ เตียงบุริศร์แล้วผล็อยหลับไป

หนึ่งวันหนึ่งคืนนี้ เธอแทบไม่ได้พักผ่อนเลย สามารถยื้อมาจนถึงขีดสุดตอนนี้

เมื่อบุริศร์ตื่นขึ้นมา ก็เห็นนรมนนอนหลับปุ๋ยที่ขอบ เตียงเขา

เขาไม่กล้าขยับ กลัวว่าตัวเองจะทำให้นรมนตื่น หนึ่งวันหนึ่งคืน เธออดหลับอดนอนอย่างมาก บุริศร์ยื่นมืออีกข้างออกไปอย่างปวดใจ อยากจะ ลูบศีรษะนรมนเบาๆ แต่ได้ยินเสียงอ่อนโยนหนึ่งดังขึ้น

ข้างๆ

“อย่าขยับ หม่ามี๊จะตื่นนะฮะ”

บุริศร์ถึงได้เงยหน้าขึ้น ทันใดนั้นก็เห็นกานต์นอน ข้างตน และมือเล็กเขาก็ถูกนรมนกุมไว้อยู่ ตอนนี้เขา ไม่ขยับไปไหน แต่เห็นได้ชัดว่าร่างกายแข็งที่อนิด หน่อยแล้ว

“ลูกตื่นตั้งแต่เมื่อไร?”

พฤติกรรมเอาใจใส่ลูกชายแบบนี้ บุริศร์รู้สึก ปลอบประโลมมาก แต่ก็ปวดใจมากเช่นกัน
กานต์เบี่ยงหน้าไปทางอื่นอย่างไม่สบอารมณ์และ ไม่พูดอะไร อาจจะเพราะไม่รู้ว่าควรเผชิญหน้ากับบุริ ศร์อย่างไร

ผู้ชายคนนี้ตอนนี้ก็ไม่ได้ดูน่ารำคาญขนาดนั้นแล้ว

ทำอย่างไรดี?

ต้องเกลียดเขาต่อไปไหม?

เห็นลูกชายมีท่าทางเอาใจยากแบบนี้ บุริศร์ก็อด ขำขึ้นมาไม่ได้

เขาไม่เคยรู้เลย แค่เห็นกานต์แบบนี้เขาก็รู้สึกมี โลกทั้งใบ

ความพึงพอใจนั้นไม่อาจเติมเต็มได้ด้วยสัญญา และธุรกิจมูลค่าร้อยล้าน

“หิวไหม?”

บุริศร์ยังจำได้ว่ากานต์เจออะไรมาบ้าง จึงรีบถาม

ขึ้น

กานต์อยากบอกว่าไม่หิว แต่ท้องเล็กของเขากรีด ร้องออกมาอย่างไม่อยากจะเชื่อ

รอยยิ้มบนใบหน้าบุริศร์สดใสยิ่งขึ้น กานต์เห็น แล้วก็รู้สึกอาย ก็พูดขึ้นอย่างกระฟัดกระเฟียด ทันที ไม่หิว”

“แต่พ่อหิวแล้ว ลูกกินเป็นเพื่อนหน่อยได้ไหม?” บุริศร์ไม่สนใจท่าทางของกานต์ พูดขึ้นด้วยเสียงอ่อนโยน

ดวงตากานต์สว่างขึ้นทันที แต่กลับพูดขึ้นอย่างไม่ สบอารมณ์ “เห็นว่าคุณช่วยผมไว้หรอกนะ ผมจะฝืน กินเป็นเพื่อนคุณแล้วกัน”

“งั้นพ่อก็ขอบคุณนะ”

ขณะที่บุริศร์พูด ก็เอาโทรศัพท์ตัวเองโยนให้ กานต์

“มือขวาลูกมีแรง เปิดโทรศัพท์แล้วโทรหาพฤกษ์

ให้เขาเอาอาหารเข้ามาหน่อย รหัสผ่านคือวันเกิดหม่ามี้ ลูก” กานต์ได้ยินก็ชะงัก จากนั้นก็เปิดโทรศัพท์ โทรหา

พฤกษ์

หลังจากโทรเสร็จแล้ว จู่ๆ กานต์ก็ไม่รู้ว่าควรพูด กับบุริศร์อย่างไร

ที่คิดมาตลอดว่าเป็นวายร้ายจู่ๆ นิสัยก็เปลี่ยนไป เขาไม่รู้ว่าควรเผชิญหน้ากับเขาอย่างไรในชั่วขณะ หนึ่ง ถึงขั้นทำให้บรรยากาศในห้องคนไข้

กระอักกระอ่วนขึ้นมาทันที


เพื่อการอัปเดตบทที่เร็วขึ้น กรุณาบริจาคสำหรับเว็บไซต์เพื่อซื้อบทใหม่! ขอขอบคุณ
THB

เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ