แค้นรักสามีตัวร้าย

บทที่ 522 รู้ไหมว่าฉันเป็นใคร



บทที่ 522 รู้ไหมว่าฉันเป็นใคร

คุณนายตระกูลโตเล็กกลับไม่รู้ว่าตนเองควรจะตอบคำถามนี้ อย่างไร

กระทั่งเธอยังไม่เคยแม้แต่จะคิดถึงผลลัพธ์เช่นนี้มาก่อน

ทําไมเธอถึงไม่เคยคิดเลยว่าการคาดเดาของตัวเองจะกลาย เป็นจริงขึ้นมาได้

เป็นครินท์จริงๆ อย่างนั้นเหรอ

“พวกเธอไปกันก่อนเถอะ เรื่องนี้ฉันเองก็ไม่ค่อยแน่ใจเหมือน กัน”

คําตอบที่พยายามกลับหนักเป็นเบาของคุณนายตระกูลโต

เล็กทําให้ธรณีไม่พอใจเป็นอย่างมาก

“คุณนายตระกูลโตเล็ก ถึงแม้ว่านรมนจะไม่ยอมรับตระกูลทวี ทรัพย์ธาดาแล้ว แต่ถ้าจำเป็นจริงๆ ตระกูลทวีทรัพย์ธาดาของ พวกเราก็ไม่มีทางที่จะทอดทิ้งนรมนกับกานต์ ไม่ว่าคนคนนั้นจะ เป็นใคร ผมก็จะไม่ปล่อยเอาไว้แน่

เมื่อได้ยินคําพูดนี้ของธรณี คุณนายตระกูลโตเล็กก็ยิ่งพูดอะไร ไม่ออก

ถึงอย่างไรตระกูลโตเล็กของเธอก็นำอันตรายมาสู่นรมนมาก เกินไปแล้วจริงๆ
ทว่าเจตต์กลับไม่พูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว ทั้งยังผลัก ธรณีให้ออกไปอีกด้วย

ตอนที่ห้องพักฟื้นเหลือเพียงคุณนายตระกูลโตเล็กกับโพนี่ พวกเธอละทิ้งความสนใจไปจากเรนนี่อย่างสิ้นเชิง คุณนายตระกูลโตเล็กกล่าวกับโพนี่เสียงเบา

“ผอ.โพนี่ก็รู้เรื่องที่นรมนต้องการให้ฉันพักอยู่ที่นี่สินะ

“ฉันไม่รู้อะไรทั้งนั้นค่ะ นรมนไม่ได้พูดเรื่องนี้กับฉัน เพียงบอก ว่าคุณต้องอยู่ให้ห่างจากบ้านใหญ่ตระกูลโตเล็กมากที่สุดถึงจะ ปลอดภัย และเธอกับกมลก็จำเป็นต้องตั้งอยู่ที่นั่นเพื่อความ ปลอดภัยของคุณชายบุริศร์”

เมื่อได้ยินคำพูดของโพนี่ คุณนายตระกูลโตเล็กก็เข้าใจทุก อย่างได้ในทันที

“นรมนนี่นะ มักเป็นแบบนี้เสมอเลย เอาแต่คิดเพื่อตระกูลโต เล็กกับบุรีศร์ ทว่ากลับไม่เคยคิดถึงตัวเองเลยสักครั้ง ตอนนี้มา คิดๆ ดูแล้ว ถึงแม้ฉันจะดีกับเธอมากก็ตาม แต่เทียบไม่ได้กับการ ที่ตระกูลโตเล็กทําร้ายเธอเลยแม้แต่น้อย บางที่ธรณีอาจจะพูด ถูก การอยู่ในตระกูลโตเล็กทำให้นรมนต้องมารับความไม่เป็น ธรรมมากเกินไปจริงๆ ”

คุณนายตระกูลโตเล็กทั้งสงสารทั้งซาบซึ้งใจ

โพนี่กล่าวเสียงเบาว่า “ถ้าถึงขนาดทำให้นรมนสามารถทำ เรื่องพวกนี้ด้วยความเต็มใจได้ นั่นก็แปลว่าคุณกับคุณชายบุริศร์ดีต่อเธอมากยังไงล่ะ หัวใจคนเราสร้างขึ้นมาจากกล้ามเนื้อ พวก คุณดีต่อเธอ ก็เป็นธรรมดาที่เธอจะคิดเผื่อพวกคุณ คุณเองก็อย่า คิดให้มันมากนักเลย นมันไม่ใช่ผู้หญิงอ่อนแอ ในเมื่อเธอทำ แบบนี้ ย่อมสามารถช่วยบริศร์จัดการได้อย่างแน่นอน”

*ให้บุรีศรจัดการเรื่องพวกนี้นั้นไม่ง่ายเลย น้ำใจระหว่างพี่น้อง แต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่ใช่เรื่องที่คนธรรมดาทั่วไปจะรับได้

เห็นได้ชัดว่าคุณนายตระกูลโตเล็กดูเหนื่อยล้ามากจริงๆ บางทีอาจเป็นเพราะเรื่องนี้ส่งผลกระทบกับเธอมากเกินไป ดังนั้น เธอจึงออกไปจากห้องพักฟื้น

โพนี่เห็นว่าเรนนี่เอาแต่มองกานต์อยู่ตลอด จึงอดไม่ได้ที่จะพูด ว่า “ตรงนี้มีเตียงอยู่นะจ๊ะ มาพักสักหน่อยดีไหม พอกานต์ฟื้นขึ้น มาแล้วก็จะสามารถเห็นหนูได้ทันทีเลย

ทว่าเด็กหญิงกับส่ายหน้า พยายามฝืนตัวเองที่จะเฝ้าดูแล กานต์เป็นอย่างมาก

โพนี่เห็นเรนนี่เป็นแบบนี้ก็ยิ่งรู้สึกปวดใจ เธอจึงส่งคนไปยกอาหารมาให้เด็กหญิง

เดิมทีนั้นเรนนี่ก็ยังคงมีท่าทีปฏิเสธอยู่บ้าง แต่เมื่อเห็นว่าโพนี่ ดีกับเธอขนาดนี้ และได้ยินว่าเหมือนโพนจะดีกับกานต์เอามากๆ จึงวางใจและเริ่มลงมือกินข้าว

แต่ในใจอะไรมาเธอไม่เคยกินอะไรที่ดีขนาดนี้มาก่อน จึงอด ไม่ได้ที่จะกินเร็วขึ้นอีกนิด แต่กลับต้องสลักอย่างน่าอนาถ
เรนนี่ไอออกมาอย่างต่อเนื่อง

โพนี่รีบส่งน้ำให้เธอ พลางลูบหลังเธอเบา ๆ อย่างอ่อนโยน แล้วกล่าวเสียงเบาว่า “กินช้าๆ ก็ได้จ่ะ ทั้งหมดนี้เป็นของหนู ไม่มี ใครมาแย่งหรอกนะ”

เรนนี่แอบเหลือบมองโพนแวบหนึ่ง เห็นว่าเธอมักจะอ่อนโยน อยู่เสมอ ดวงตาที่สามารถส่งผ่านความหมายออกมาได้คู่นั้น ทําให้เธออยากจะร้องไห้ไปชั่วขณะ

เธอก้มหน้ากินอาหารเงียบๆ โดยไม่พูดอะไรต่อ แต่ความจริง แล้วเธอพูดไม่ได้ต่างหาก

ตอนที่ป้องเข้ามาเห็นฉากนี้เข้า ก็รู้สึกเหมือนมีอะไรเสียดแทง หัวใจของเขาเช่นกัน

ถ้าไม่ใช่เพราะเขา บางทีลูกของเขากับโพนี่อาจจะโตเท่าเรนนี่

แล้วก็ได้

เมื่อนึกถึงเด็กที่ไร้บุพเพวาสนาคนนั้น ป้องก็กระแอมแล้วพูด ออกมาว่า “เห็นว่าใกล้จะได้เวลากินข้าวแล้วกลับหาตัวคุณไม่ เจอ ไม่คิดไว้เลยว่าคุณจะอยู่ที่นี่

เมื่อโพนี่ได้ยินเสียงป้องก็หันมาพูดทั้งรอยยิ้มว่า “ฉันต้องดูแล กานต์น่ะค่ะ เจ้าหนูนี่บาดเจ็บขนาดนี้ เลยกลัวว่าเขาจะเป็นไข้ ตอนนี้นรมนไม่อยู่ คุณชายบุริศร์ก็ไม่อยู่ ถ้าพวกเราไม่คอยดูแล แล้วเด็กๆ จะทำยังไงกัน

“ผมรู้ว่าคุณใจอ่อนเป็นที่สุด ทั้งยังไม่ชินตากับเรื่องแบบนี้ทาง ยกให้ผมเถอะ”

โพนี่กลับยิ้มแล้วพูดต่อว่า “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ฉันเป็นหมอนะ ทำไมจะไม่เคยเห็นกัน ก็แต่รู้สึกปวดใจนิดหน่อย คุณยายหนู สิคะ เธอชื่อว่าเรนนี่ ทว่ากลับถูกตัดลิ้น ไม่สามารถที่จะพูดอะไร ได้อีกต่อไป เธอเด็กขนาดนั้น ยังมีอนาคตอีกยืนยาว เธอ…..

พูดไปพูดมาโพนี่ก็รู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาอีก

ป้องติงเธอเข้ามาในอ้อมกอดแล้วเอ่ยเสียงเบา “พวกเราออก ไปพูดข้างนอกกันเถอะ อย่าทำให้เด็กๆ กลัวเลย

เมื่อได้ยินคนรักพูดแบบนี้ โพนี่ก็เช็ดน้ำตาแล้วเดินออกไปข้าง นอกกับเขา

เรนนี่เห็นว่าทั้งที่ป้องออกไปจากห้องพักฟื้นแล้ว ก็ยังอดมอง

มาที่ตัวเองแวบหนึ่งไม่ได้ เธอไม่รู้ว่าแววตานั้นหมายความว่ายัง

ไง ทว่ากลับไม่รู้สึกกลัวสามีภรรยาคู่นี้แม้แต่น้อย

พวกเขาทำให้คนรู้สึกเหมือนได้เจอเทพยดาในชุดขาว

ถ้าหากเป็นไปได้ เธอก็หวังว่าเมื่อตัวเองโตขึ้นจะได้เป็นคุณ

หมอ

แต่เธอยังจะมีความหวังนั้นอยู่อีกงั้นเหรอ

โพนี่ถูกป้องพาตัวออกมาอย่างใจลอย เธอยังคงจมอยู่ในห้วง ของความสงสาร

ป้องทัดเส้นผมยาวไว้ที่หลังหูของเธอ ก่อนจะกล่าวเสียงเบาว่า”ผมได้ยินมาว่าเด็กพวกนี้ล้วนเป็นเด็กกำพร้าที่ถูกพวกค้ามนุษย์ ลักพาตัวไป บางคนจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าพ่อแม่ของตัวเองรูปร่าง หน้าตาเป็นยังไง

“น่าสงสารมากจริงๆ

โพนี่ยิ่งฟังก็ยิ่งรู้สึกทรมาน

ป้องยิ้มแล้วพูดว่า “ผมดูแล้วยายหนูนั่นก็ไม่เลวเลยนะ ยังช่วย ดูแลกานต์ใต้ด้วย นับได้ว่าร่วมเป็นร่วมตายมากับเจ้าหนูนั่น หากเธอยังคงหาครอบครัวของตัวเองไม่พบละก็ พวกเรารับเลี้ยง เธอเอาไว้ดีไหม นี่มันก็หลายปีแล้ว บ้านของพวกเราควรมีเด็กสัก คนได้แล้ว”

โพนี่ตะลึงไปชั่วขณะ ประกายเศร้าโศกพาดผ่านดวงตาเพียง ชั่ววูบ

เธอกลัวว่าถ้าป้องเห็นแล้วจะเสียใจ แต่เธอรู้สึกเจ็บปวดกับ เด็กที่ไร้วาสนาคนนั้นมากจริงๆ ตัวเองเป็นหมอแท้ๆ แต่ร่างกาย กลับไม่เหมาะที่จะมีลูกได้อีกต่อไป

ป้องอาจจะไม่สนใจเรื่องพวกนี้ แต่โพนี่ไม่สามารถที่จะทำเป็น ไม่สนใจมันได้

ท้ายที่สุดแล้วเธอก็ไม่สามารถให้กำเนิดผู้สืบทอดของตระกูล พรรณโรจน์ได้

ดังนั้นการที่ป้องพูดเรื่องนี้ขึ้นมา จึงทำให้โพนี่สับสนเป็นอย่าง

มาก
เธอชอบเรนนี่มากจริงๆ และอยากจะรับเด็กคนนั้นมาเป็น ลูกสาวของตัวเอง แต่นี่มันก็จะโหดร้ายสำหรับป้องจนเกินไป

“ป้องคะ คุณควรที่จะมีลูกของตัวเองได้แล้ว

“ผมมีแต่คุณก็พอแล้ว”

ป้องกอ โพนี่เอาไว้แน่น แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “ผมเห็นว่าเรนนี่เป็นเด็กที่ใจดีมีเมตตา ถ้าหากพวกเรารับเธอมา เลี้ยงละก็ พวกเราก็จะได้มีลูกสาวแล้ว ผมจำได้ว่าคุณชอบเด็กผู้ หญิงมากไปไหม หลังจากนี้เวลาผมเข้าเวรตอนดึก ก็จะได้มีเธอ อยู่เป็นเพื่อนคุณยังไงละ

“แต่ว่า…”

“ไม่มีแต่ว่าอะไรทั้งนั้น เรื่องนี้ก็ให้มันเป็นแบบนี้แหละ ถ้าหาก พระเจ้าเมตตาพวกเรา ให้เรนนี่ไม่เหลือคนในครอบครัวแล้ว อย่างนั้นพวกเราก็รับเธอมาเลี้ยง แต่ถ้าเธอยังคงเหลือคนใน ครอบครัวอยู่ พวกเราก็ไม่ต้องแย่งตัวเธอมา แบบนี้ดีไหม

“ค่ะ”

โพนี่นาตาไหลออกมาทันที

“เอาล่ะ ยายทีม นี่มันเรื่องดีนะ คุณจะร้องไห้ทำไมกัน พวกเรา ยังต้องถามความสมัครใจของยายหนูเรนนี่อีกนะ

ป้องกล่าวตอบพลางตบๆ หลังเธอเบาๆ ท่าทางรักและ ทะนุถนอมภรรยาประเภทนั้นทำให้พยาบาลที่อยู่โดยรอบพากัน รีบเดินอ้อมไปอย่างรวดเร็ว
ตอนทกานต์ตื่นขึ้นมาก็เห็นว่าเรนนี่กำลังมองตัวเองตาไม่

กะพริบ

“เรนนี”

กานต์คิดที่จะลุกขึ้น แต่ก็ต้องร้องซี้ดออกมา รู้สึกเจ็บไปทั่วทั้ง

ตอนนี้เองเขาถึงจำได้ว่าตนถูกช่วยออกมาแล้ว

และก็ไม่ได้มีเพียงแต่ตัวเองที่รอด เขายังพาเด็กพวกนั้นหนี

ออกมาได้อีกด้วย

เรนนี่เห็นกานต์พื้นแล้วก็รีบวิ่งออกไปทันที พอเห็นว่าป้องกอด โพนี่ที่กำลังร้องไห้อยู่ จึงคิดไปว่าทำไมเขาถึงได้รังแกโพนี่ล่ะ

เธอเดินเข้าไปเตะที่น่องขาของป้องโดยตรง

ชายหนุ่มตะลึงไปเล็กน้อย

เขาโตมาจนป่านนี้ เพิ่งจะเคยถูกตีครั้งแรก ที่สำคัญคนที่ยัง เป็นเด็กวัยกำลังโตอีก

ทว่าเด็กหญิงกลับไม่ถูกสายตาของเขาทำให้ตกใจกลัว เธอ ยังคงพยายามที่จะผลักเขาออกไป หลังจากนั้นก็ดึงตัวโพนี่มาปก ป้องไว้ข้างหลัง ท่าทางเหมือนกับลูกไก่ที่กำลังปกป้องแม่ไก่ อย่างไรอย่างนั้น

ถึงแม้ว่าเธอจะพูดไม่ได้ แต่สายตาของเธอก็เผยให้เห็นว่าจะ ไม่ยอมให้เขารังแกโพนโดยเด็ดขาด
ป้องกันโพนพากันตกใจไปชั่วขณะ ทันใดนั้น โพนี่ก็หัวเราะออกมา

“เรนนี่จ๊ะ เขาไม่ได้รังแกฉัน แต่กำลังปลอบฉันต่างหากล

เมื่อโพนี่ได้รับการปกป้องจากเด็กหญิงแบบนี้ อยู่ๆ ก็อดไม่ ได้ที่จะใจสั่นไหวขึ้นมา

ป้องเองก็ยิ้มแล้วพูดว่า “แม่หนูน้อย เธอรู้หรือเปล่าว่าฉันเป็น ใคร ฉันเป็นสามียังไงล่ะ จะยังสามารถรังแกหล่อนไม่ได้อีกเหรอ แต่เห็นว่า ในเมื่อเธอเป็นห่วงภรรยาของฉันขนาดนี้ ฉันจะไม่ ถือสาที่เธอแต่ฉันเมื่อกี้ก็แล้วกัน”

เมื่อเด็กหญิงได้ยินถึงความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขา ก็รู้สึก กระอักกระอ่วนขึ้นมาทันที

เธอคุณคิดอะไรอยู่พักหนึ่ง ก็รีบลุกขึ้นแล้วโค้งคำนับเก้าสิบ องศา ให้ป้องเพื่อเป็นการแสดงความขอโทษ

คำขอโทษนี้เช่นนี้จริงจังเป็นอย่างมาก

ชายหนุ่มคิดว่ายายหนูคนนี้ไม่เลวเลยจริงๆ

“เอาล่ะ ไม่เป็นไรแล้ว ทำไมเธอไม่อยู่เฝ้ากานต์ต่อแล้วล่ะ วิ่ง ออกมาทําไมกันหม

เมื่อได้ยินป้องถามแบบนี้ เธอถึงนึกเรื่องที่กานต์ฟื้นแล้วขึ้นมา

เด็กหญิงดึงมือโพนี่เข้าไปในห้องพักฟื้น

ได้
ป้องกับโพนี่เหมือนจะเข้าใจอะไรบางอย่าง เดาว่ากานต์คงจะ ฟื้นขึ้นมาแล้ว

ทั้งสองคนจึงรีบเข้าไปในห้องพักฟื้นอย่างรวดเร็ว เป็นตอนที่ กานต์พยายามฝืนลุกขึ้นมาพอดี

“อย่าเพิ่งขยับ

โพนี่รีบเข้าไปห้ามเด็กชายไว้

ป้องเห็นท่าทางแบบนี้ของกานต์แล้ว ก็ยิ้มออกมาพลางเอ่ยว่า “เป็นไงบ้างไอ้ลูกหมา

“สบายดีไหมครับคุณอาป้อง”

กานต์รู้จักป้อง บุริศร์เคยแนะนำผู้ชายคนนี้แล้ว แน่นอนว่าเขา สืบเรื่องของป้องไปจนถึงแก่น และรู้ด้วยว่าเขาเป็นเพื่อนสนิท ของบุริศร์ ดังนั้นจึงผ่อนคลายขึ้นมาบ้าง

“ฉันสบายดีนะ แต่ดูเหมือนว่าเธอจะไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ถ้าหาก สภาพบาดเจ็บแบบนี้ถูกหม่ามีของเธอเห็นเข้าละก็ จะไม่ปวดใจ จนตายเลยเหรอ ได้ยินว่าหนีออกจากบ้านมานี้ ใช้ได้เลยนี่เจ้า ลูกหมา! วันหลังคงไม่กล้าออกจากบ้านแล้วใช่ไหม

ตอนที่กานต์กำลังสลบอยู่นั้น ป้องก็ได้ตรวจสอบเรื่องนี้อย่าง ชัดเจนแล้ว ถึงแม้ว่าการอันจะต้องประสบกับอาชญากรรมร้าย แรง แต่ป้องก็คิดว่าจําเป็นที่จะต้องทำให้เจ้าเด็กนี่ตระหนักรู้ถึง ความผิดของตัวเอง

กานต์ก้มหน้าลงและพูดอย่างรู้สึกผิด: “ขอโทษนะครับ ผมไม่กล้าท้าอีกแล้ว”

“บทเรียนจะสอนให้คนเราเติบโตขึ้น ต้องให้ประสบการณ์ตรง คอยสั่งสอนเธอถึงจะดีที่สุด โลกภายนอกนั้นไม่ได้น่าตื่นเต้นและ สวยงามอย่างที่เธอเข้าใจหรอกนะ ไม่ใช่ว่าใครก็จะใจดีไปเสีย หมด ความจริงแล้วคำพูดที่ควรจะเป็นแด๊ดดี้ของเธอที่ต้องสอน เธอมากกว่า แต่เพราะว่าเธอออกมาจากบ้าน แด๊ดดี้ของเธอจึง ต้องวิ่งวุ่นเพื่อตามหาเบาะแสของเธอไปทั่ว ตอนนี้ฉันได้ยินมาว่า เส้นทางในการตามหาของแคดดี้ของเธอดูไม่ค่อยจะราบรื่นนัก

เมื่อป้องพูดประโยคนี้ออกมา กานต์ก็เงยหน้าขึ้นทันที

เขาไม่ใช่เด็กธรรมดาทั่วไป ย่อมเข้าใจความหมายที่แฝงอยู่ ในคําพูดของป้องได้ “ตอนนี้แดดดี้ของผมอยู่ที่ไหนอย่างนั้นเหรอครับ คุณอาป้อง

สามารถติดต่อเขาได้ไหม

กานต์กังวลเป็นอย่างมาก ทว่าป้องกลับส่ายหน้า

“ตอนนี้แด๊ดดี้ของเธอขาดการติดต่อไปแล้ว ไม่ใช่แค่ฉัน กระทั่งหม่ามีของเธอก็ยังติดต่อเขาไม่ได้ หวังว่าเขาจะสามารถ กลับมาได้อย่างปลอดภัย


เพื่อการอัปเดตบทที่เร็วขึ้น กรุณาบริจาคสำหรับเว็บไซต์เพื่อซื้อบทใหม่! ขอขอบคุณ
THB

เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ