แค้นรักสามีตัวร้าย

บทที่ 436 นรมน โมโหแล้ว



บทที่ 436 นรมน โมโหแล้ว

ตนท์ไม่กล้าที่จะนิ่งอยู่กับที่อีกต่อไป เขารีบวิ่งไปยังห้องใต้ดิน ทันที

บุริศร์กับตังเมพัวพันกันอยู่ในห้องใต้ดิน ตอนที่เห็นว่าตนท์ รีบวิ่งเข้ามาอย่างร้อนใจนั้น ก็รู้สึกงงๆ อยู่ไม่น้อย

“เกิดอะไรขึ้น”

“พี่ออกมาก่อนเถอะ ผมมีเรื่องจะคุยด้วย

เป็นธรรมดาที่ตนท์จะไม่สามารถพูดอะไรต่อหน้ายังไม่ได้ เพราะว่าผู้หญิงคนนี้ฉลาดเกินไป ถ้าหากเธอรู้อะไรเข้า แล้วไป ด้วยยั่วยุต่อหน้านรมนสักหน่อย พี่ชายกับเขาคงจบเห่ตลอดกาล

แน่

เมื่อตังเมเห็นดรินทก็อดค่าไม่ได้

“ตรินท์ แกนี่มันชั่วจริงๆ! ลูกสาวของฉันต้องทุกข์ทรมาน เพราะแกตั้งมากมาย ต้องทำเรื่องผิดกฎหมายไปไม่น้อย ยอม กระทั่งคลอดเด็กมออกมาให้แก่คนหนึ่ง แล้วดูซิว่าแกทำ อะไรกับเธอ คิดไม่ถึงเลยว่าแกจะแกล้งตาย! ตลอดห้าปีมานี้แก เอาแต่หลบซ่อนเหมือนคนที่ตายไปแล้ว ปล่อยให้ผู้หญิงคนหนึ่ง ต้องพาเด็กไปเผชิญเคราะห์กรรมของโลก ใช้ชีวิตอยู่ในตระกูล โตเล็กด้วยความยากลำบากอย่าง ขลาดตาขาว ยังนับว่าตัวเอง เป็นผู้ชายอยู่อีกอย่างนั้นเหรอ”คำด่านของตังเม ให้สีหน้าของตนท์ไม่น่ามองขึ้นมาอยู่

หลายส่วน

“ใช้ชีวิตอย่างยากลำบากอยู่ในตระกูลโตเล็กงั้นเหรอ พูด ออกมาได้ดีเลย ถ้าไม่ใช่เพราะเห็นแก่หน้าของเด็กที่เกิดมา คิด ว่าธุรกิจของตระกูลศิริวัชรภัทรจะสามารถดำเนินต่อไปได้หรือยัง ไง คิดว่าคุณจะสามารถเช็ดหน้าชูตาอยู่ในแวดวงชนชั้นสูงต่อไป ได้อย่างนั้นเหรอ ตลอดห้าปีนั้นเธอได้รับอะไรไปจากตระกูลโต เล็กตั้งมากมาย ถ้าจะบอกว่าใครควรขอโทษใคร อย่างนั้นก็ต้อง ถามลูกสาวของคุณต่างหาก ตลอดเวลาที่เธออยู่กับฉัน เคยคิด อยากจะเป็นภรรยาของฉันจริงๆ บ้างหรือเปล่าเถอะ”

ตรินท์ไม่อยากพูดถึงเรื่องเก่าๆ และยิ่งไม่อยากจะเผชิญหน้า กับตังเม เพราะมันทำให้เหมือนว่าเขากำลังส่องกระจกที่สะท้อน เรื่องทั้งหมดที่เขาเคยทำ มันทำให้เขาเข้าใจได้อย่างชัดเจนว่า ตอนนั้นตัวเองโง่และปัญญาอ่อนแค่ไหน

ถ้าไม่ใช่เพราะอารมณ์ที่ผิดปกติของนรมน พูดให้ตายยังไง เขาก็ไม่มีวันเข้ามาในนี้

ขณะที่กำลังเผชิญหน้ากับตังเม ตัวเขาก็ยังมีร่องรอยของ ความเกลียดชัง

ถ้าไม่มีการยุยงหรือการเสี้ยมสอนตั้งแต่เด็กของผู้หญิงคนนี้ บางทีเขมิกาก็อาจจะไม่ทำเรื่องแบบนั้นก็ได้ และยิ่งไม่มีทางที่จะ เลือกเส้นทางที่จนตรอกเหมือนอย่างตอนนี้แน่นอน

ลูกชายของเขาต้องสูญเสียแม่ นี่เรียกได้ว่าเป็นความเจ็บปวดที่รุนแรงที่สุดของเด็ก

ทว่าผู้หญิงตรงหน้าเขายังพูดออกมาได้อย่างหน้าไม่อาย ไม่มี

สามัญสำนึกเลยสักนิต

คําถามของครินท์ทำให้ตั้งเมยิ่งโกรธ

“ไม่ว่าจะพูดยังไงแกก็แต่งงานกับเขมิกาแล้ว และฉันก็เป็นแม่ ของเขมิกา เป็นแม่เมียของแก! แกจะยืนมองพี่ชายตัวเองทำร้าย ฉันตาปริบๆ แบบนี้อย่างนั้นเหรอ ไม่กลัวว่าเขมิกาที่อยู่ใต้ดินจะ มองขึ้นมาบ้างหรือยังไง

“ขนาดคนที่มีชีวิตอยู่ยังผ่านไปไม่ได้ แล้วจะไปสนใจอะไรว่า คนที่อยู่ข้างใต้กำลังคิดยังไง

พูดจบตรินท์ก็หันตัวเดินออกไป เห็นได้ชัดว่าเขาไม่อยากที่จะ ต้องกระวนกระวายใจกับตังเมต่ออีก

“ตรินท์ แกกลับมาเดี๋ยวนี้นะ! กลับมา! ก่อนที่เขมิกาจะตาย เธอมีคำพูดทิ้งเอาไว้ให้แก แกไม่อยากจะฟังจริงๆ อย่างนั้นเห รอ”

คำพูดของตังเมทำให้ตนท์ชะงักฝีเท้าไปชั่วขณะ ทว่าเขาก็ไม่ ใต้หันหลังกลับไป เพียงพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งว่า “คนก็ ตายไปแล้ว ทิ้งคำพูดเอาไว้จะมีประโยชน์อะไรอีก ฉันก็รักษาคำ สั่งเสียงของเธอเอาไว้ในอีกครึ่งชีวิตที่เหลือแล้วไง

พูดจบครินท์ก็เดินออกมาจากห้องใต้ดินโดยไม่แม้แต่จะหยุด ตั้งเมยังคงไล่หลังตามมา ทว่าบุริศร์กลับให้คนปิดปากเธอเอาไว้

“รอเธอคิดได้เมื่อไหร่ก็ค่อยมาคุยกับฉันแล้วกัน พวกเราไว้คุย

กันใหม่”

บริศ พูดจบก็หมุนตัวเดินออกไปจากห้องใต้ดิน

ตังเมร้องเรียกเสียงฮือออ แต่น่าเสียดายที่ไม่มีใครคิดจะ สนใจเธอเลย

หลังจากบุริศร์ตามตรินท์ออกมาจากห้องใต้ดิน ก็ถามว่า “มี อะไร แล้วพี่สะใภ้อยู่ไหน

ตรินท์มองเขาแล้วพูดเสียงกระซิบว่า “พี่ยังไม่เห็นข้อความที่ ผมส่งไปอย่างนั้นเหรอ”

“ข้อความอะไร”

บุริศร์เผลอเอามือแตะไปที่กระเป๋า จึงพบว่าโทรศัพท์ไม่ได้อยู่

ที่ตัว

เขารีบไปหยิบโทรศัพท์ออกมาจากรถ และสีหน้าเปลี่ยนไป

ทันทีที่เห็นข้อความที่ครินทส่งมา

“พี่สะใภ้ของนายเข้าไปแล้วอย่างนั้นเหรอ”

“ก็เข้าไปแล้วน่ะสิ”

คำพูดของครินท์ทำให้สีหน้าของบริศร์ไม่น่ามองยิ่งกว่าเดิม

เขาไม่รู้ว่านอนได้ยินไปมากแค่ไหน แต่หัวใจของเขาเริ่มบุรีศร์คิดจะรีบขึ้นไปข้างบน ตนท์ก็พูดออกมาก่อนว่า “พี่ สะใภ้บอกว่าเธอเหนื่อยแล้ว อยากจะนอนกับกานต์ ไม่อยากให้ ใครก็ตามเข้ามารบกวน

เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ฝีเท้าของบริศร์ก็ชะงักไปในทันที

เขามองเวลาบนข้อความในโทรศัพท์ นึกถึงสิ่งที่เขาพูดกับ ตังเม ในช่วงเวลานั้นอย่างละเอียด จากนั้นก็อดไม่ได้ที่จะขมวด คิวแน่น

“ทำไมถึงไม่มีคนมาแจ้งฉันเลยว่าเธอลงไปห้องใต้ดิน

“น่าจะเป็นเพราะพี่สะใภ้บอกว่าไม่ให้แจ้ง พี่ก็รู้ดีว่า ใน ตระกูลโตเล็กนั้น พี่สะใภ้ก็มีฐานะเท่ากับพี่

คำพูดของตนท์ทำให้บริศ พูดไม่ออก

เขายังคงขึ้นไปข้างบนแล้วค่อยๆ เปิดประตูห้องของกานต์

เบาๆ ทว่าประตูกับล็อกจากข้างใน

นรมน โมโหแล้ว!

นี่เป็นความรู้สึกแรกที่บุริศร์สัมผัสได้

เขาอยากจะเข้าไปอธิบายกับนรมน ให้กระจ่าง แต่ตอนนี้จะให้

เขาอธิบายอะไรกันล่ะ

นอกจากนี้ท่าทีของนรมนก็ยังชัดเจนมาก ตอนนี้เธอไม่อยาก

เจรจาและไม่อยากที่จะคุยกับเขา

การให้เธอได้นอนหลับอย่างมีสงบเป็นสิ่งที่บุริศร์รอคอยมาตลอด แต่ตอนนี้นรมนหลับไปแล้วจริงๆ แต่เขากลับหลับไม่ลง

แล้ว

บริศ เดินวนหน้าประตูอยู่นาน ในที่สุดก็ถอนหายใจแล้วเดิน ลงไปดื่มชาที่ห้องรับแขกข้างล่างคนเดียว

ตรินท์เห็นเขาเป็นแบบนี้ก็กล่าวเสียงเบาว่า “พี่ ผมต้องขอโทษ ด้วย ผมไม่ได้ขวางพี่สะไภ้ไว้ ผม…

“ไม่เกี่ยวกับนายหรอก ไปพักก่อนเถอะ วันนี้ก็เหนื่อยมาทั้งวัน แล้ว

“ผมไม่เป็นไร ตั้งแต่กลับมาจากทางฝั่งของนาคร ก็ได้ข้อมูล มาเยอะมาก หลายปีมานี้นาครคอยจับตามองตระกูลโตเล็กของ พวกเรามาตลอด ทั้งยังเคยติดต่อกับป้าโอ ดังนั้นเขาน่าจะรู้อะไร หลายอย่าง เพียงแต่ตอนนี้ยังไม่ยอมพูดออกมา ผมคิดว่าอีกสัก พักคงสามารถทําให้เขาเปิดปากได้

บุริศร์กับตรินท์สอบปากคำนาครกับทั้งเมแยกกัน เพื่อกันไม่ ให้ทั้งสองคนอยู่ด้วยกัน จะได้ไม่สมรู้ร่วมคิดกันให้การเท็จ

เข้าใจแล้ว ลำบากนายแล้วละ

สมองของบุริศร์ในตอนนี้เต็มไปด้วยเรื่องของนรมน สิ่งที่ตร

นท์พูดไม่ได้เข้าหัวเขาเลยสักนิด

ครินท์ย่อมเข้าใจสภาพการณ์ของบุริศร์ในตอนนี้ดี จึงกล่าว

เสียงเบาว่า “ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง

“เรื่องอะไรอีก””เจตต์อยากเจอพี่สะใภ้ บอกว่ามีเรื่องอยากคุยกับพี่สะใภ้ ตามลำพัง ผมถามแล้วแต่เขาก็ไม่ยอมบอก ต้องพบพี่สะใภ้ให้ได้ ผมรู้สึกว่าตอนนี้ไม่เหมาะที่จะให้พี่สะใภ้ออกหน้า ดังนั้นก็เลยไม่ ได้รับปาก แต่พี่ก็รู้ดีว่าหมอนั่นมันเป็นสตอล์กเกอร์ แต่ถ้าเขา คิดอยากจะพบพี่สะใภ้จริงๆ ผมก็เกรงว่าคงจะขวางเอาไว้ไม่อยู่

“หมอนั่นคิดจะทำอะไร

“ใครจะไปรู้ล่ะ เจตต์ทำอะไรไม่เคยมีกฎเกณฑ์ตายตัว ล้วนแต่ ขึ้นอยู่กับอารมณ์ทั้งนั้น ผมก็แค่อยากรู้ว่าเขามีเรื่องอะไรที่ต้อง พูดกับพี่สะใภ้ให้ได้”

ข้อสงสัยของครินท์ก็เป็นข้อสงสัยของบุริศร์เช่นกัน แต่ตอนนี้ เขาไม่ได้สนใจมันมากขนาดนั้นแล้ว

“ไว้ฉันค่อยจัดการ หลัง นายไปพักผ่อนก่อนเถอะ”

“ได้ครับ พี่ก็รีบพักผ่อนนะ นี่ก็ดึกมากแล้ว พรุ่งนี้ยังมีเรื่องรอพี่ อีกเพียบ ยังต้องสร้างความกดดันทางธุรกิจกับตระกูลทวีทรัพย์ ธาดานั่นอยู่ไหม ผมได้ยินมาว่าตอนนี้บริษัทร่วมทุนของพี่เริ่มที่ จะตึงเครียดแล้ว”

เมื่อพูดถึงเรื่องนี้บุริศร์ซะงักไปเล็กน้อย

“หยุดไปก่อนแล้วกัน แต่ภายนอกต้องทำให้ดูเหมือนยังคง ดำเนินการอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ทำให้ช้าๆ หน่อย”

“เข้าใจแล้วครับ

ตอนที่ภายในห้องรับแขกเหลือบุริศร์เพียงแค่คนเดียว อยู่ๆเขาก็รู้สึกโดดเดี่ยวอ้างว้างเป็นพิเศษ

ห้องรับแขก ใหญ่ขนาดนี้ แต่กลับมีเขาแค่คนเดียว กระทั่งแสง

ไฟก็ยังมีเพียงสลัว

ทันใดนั้นบุริศร์ก็รู้สึกหนาวขึ้นมา

เขาหยิบเสื้อนอกมาคลุมไว้ ทว่าสายตายังคงมองไปที่ห้องของ กานต์ตลอดเวลา

นรมนไม่โวยวายเสียงดัง ไม่แม้แต่จะถามเขาด้วยซ้ำว่านี่มัน เรื่องอะไร ทั้งยังไม่ร้องไห้หากับกมล ความเงียบสงบเช่นนี้มัน ทําให้เขาไม่สบายใจและกระวนกระวาย

ต่อให้พรุ่งนี้ต้องไปเจรจาเรื่องโครงการมูลค่าหลายร้อยล้าน ก็ไม่เคยทำให้เขากังวลใจแบบนี้มาก่อน

ร่างกายที่อ่อนล้าจนถึงขีดสุดเรียกร้องให้เขาพักผ่อนแล้ว ทว่า สมองกลับยังคงแจ่มชัดจนน่าแปลกประหลาด จะทำอย่างไรก็ นอนไม่หลับเลยสักนิด

เขาไม่รู้ว่านรมนจะคิดยังไง เธอจะฟังเขาอธิบายหรือเปล่า แต่ ตอนนี้เขาอยากจะกอดนรมนเอาไว้ในอ้อมแขนมากจริงๆ จาก นั้นก็พูดกับเธอดีๆ

ก่อนหน้านี้ก็ไม่ใช่ว่าเขาจะไม่รู้ว่านรมนจะมีปฏิกิริยาอย่างไร เพียงแต่เขาคิดว่าตัวเองน่าจะพอรับมือได้ คิดว่าบรมนต้อง เข้าใจเขา แต่ตอนนี้เขาพบแล้วว่าความมั่นใจในตัวเองพวกนั้น ได้พังทลายไปหมดแล้ว กระเบื้องที่แหลกละเอียดไปแล้ว ไม่มีทางทีจะต่อติดกันได้อีก

เดิมทีเขาก็ไม่ได้มีความมั่นใจเหมือนอย่างที่ตัวเองคิดไว้

บุริศร์นั่งอยู่ในห้องรับแขกอย่างร้อนรนคนเดียว ราวกับว่าเป็น มดที่เดินอยู่บนหม้อร้อนๆ เขาร้อนใจจะตายอยู่แล้ว แต่ก็ไม่ อยากที่จะรบกวนการพักผ่อนของนรมน

เขารู้ว่านรมนเหนื่อยมากจริงๆ

วันนี้เธอทั้งไปตามหาคนที่ตระกูลทวีทรัพย์ธาดา ทั้งต้องไปจับ ตังเมที่ตอนใต้ของเมือง อารมณ์ยังตกอยู่ในความตึงเครียด ตลอดเวลา พอตอนนี้ได้ผ่อนคลายลงบ้างแล้ว ไม่รู้ว่าจะหลับไป นานแค่ไหน

เพียงแค่เธอไม่มองมาที่ตัวเขาพักหนึ่ง บุริศร์ก็สงบใจไม่ได้ไป อีกพักหนึ่ง ราวกับไร้ซึ่งที่ยึดเหนี่ยวทางใจ

แต่ไหนแต่ไรเขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองได้ทำหัวใจทั้งหมดหาย ไปกับนรมนแล้ว ให้ไปจนหมดสิ้น ไม่เหลือทางหนีทีไล่เอาไว้เลย สักนิด

ในช่วงเวลาที่ต้องปิดบังนรมน เขาเคยรู้สึกดีที่ไหนกัน

ทว่าคำพูดพวกนี้กลับไม่มีโอกาสที่จะได้พูดกับนรมน อย่าง น้อยก็ไม่ใช่ตอนนี้

สำหรับบริศร์แล้วแต่ละวินาทีที่ผ่านไป ก็รู้สึกเหมือนนานนับปี เขาปิดไฟ ติดไปเองว่าความมืดจะช่วยปลอบประโลมตัวเองได้สักนิด แต่น่าเสียดายที่นอกจากความเงียบเหงาแล้วก็มีเพียง ความโดดเดี่ยว

ในเมื่อทําอะไรไม่ได้ เขาก็เพียงต้องลุกขึ้น แล้วเดินออกไปคน เดียว

ครั้งนี้นรมนนอนหลับสบายมากจริงๆ อาจเป็นเพราะเธอรู้ดีว่า กมลปลอดภัยแล้ว จึงสามารถผ่อนคลายความกังวลพวกนั้นลง ไปได้ เมื่อความตึงเครียดพวกนั้นผ่อนคลายลง คนทั้งคนจึงหมด แรงข้าวต้ม

แต่เธอกลับไม่ได้หลับสนิทนัก ยังคงฝันอย่างรางเลื่อน ใน ความฝันนั้นมีคนหลายคนกับเรื่องราวหลายหลากพากันมา หลอกหลอนเธอ ทำให้เธอรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังร่วงหล่นลงไป ท่ามกลางเกลียวคลื่นที่คอยเอาแต่ดิ้นรนและพยายามฉุดลากคน อยู่ตลอดเวลา เป็นแบบนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าไม่จบไม่สิ้น

ตอนทกานต์ตื่นขึ้นมาก็เห็นว่านรมนปิดตาแน่น สีหน้าเต็มไป ด้วยความเจ็บปวด เขาตะลึงไปพักหนึ่ง ก่อนจะค่อยๆเขย่าตัวนร มน แต่คิดไม่ถึงเลยว่าจะได้ยินนรมนเลยเรียกชื่อของตนเบาๆ

“กานต์ กานต์วิ่งเร็วเข้า

เรากลับนรมนกำลังฝันถึงอะไรที่น่าหวาดผวา ร่างกายก กระตุก เสียงร้องด้วยจากริมฝีปากนั้นทำให้กานต์ทั้งสงสารและ ซาบซึ้งใจ

“ผมอยู่นี่ไงครับหม่า”กานต์ยื่นมือเล็กๆออกไปจับมือของนรมนเอาไว้แน่น ท้ายที่สุด ความอ่อนโยนกับเสียงร้องเรียกของกานต์ก็สามารถทำให้นรมน สงบลงได้ จากนั้นก็หลับลึกไปอีกครั้ง

ทว่าในตอนนั้นเองอยู่ๆ เสียงโทรศัพท์ของนรมนก็ดังขึ้นมา


เพื่อการอัปเดตบทที่เร็วขึ้น กรุณาบริจาคสำหรับเว็บไซต์เพื่อซื้อบทใหม่! ขอขอบคุณ
THB

เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ