แค้นรักสามีตัวร้าย

บทที่ 517 เมื่อเลือตกทุกข์ สุนัขก็รังแกเสือได้



บทที่ 517 เมื่อเลือตกทุกข์ สุนัขก็รังแกเสือได้

แน่นอนว่ากานต์จะต้องดีใจอยู่แล้ว แต่ว่าเด็กคนนั้นยังคง เขียนต่อไปอีกว่า “แต่ว่าของในห้องมืดนั้นส่วนใหญ่แทบจะเป็น ของพังทั้งนั้น เป็นของที่ข้างนอกไม่ใช้แล้วถึงได้โยนเข้าไป เมื่อ ก่อนได้ยินพวกเขาบอกว่า ห้องมืดเคยเป็นคลังเก็บของมาก่อน เพียงแต่ว่าตอนที่พวกเราโดนขังเข้าไปนั้นมองอะไรไม่เห็น แล้ว ก็ไม่รู้ว่าตกลงมันมีอะไรบ้าง อันนี้ก็เป็นเพราะว่าฉันบังเอิญคล เจอตอนที่โดนจับไปขังคราวก่อน จากนั้นก็แอบเอาออกมาด้วย แต่ก็ไม่รู้ว่าทําตกไปที่ไหนแล้ว”

พอเห็นสิ่งที่เด็กคนนี้เขียนมา กานต์ก็ขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย แต่ว่ากลับมองโลกในแง่ดีมาก

“ไม่เป็นไร ขอแค่มีของสิ่งนี้ ฉันก็จะมีวิธีพาทุกคนออกไป

จากที่นี่แล้ว แต่ว่าฉันยังต้องการไฟแช็กด้วย”

เขาไม่รู้ว่าข้างในห้องมืดมีอะไรที่ตัวเองต้องการหรือเปล่า แต่ว่าข้างในนั้นมืดเกินไปแล้วจริง ๆ แสงสว่างสักนิดก็ไม่มี ถ้า อยากจะหาของที่ตัวเองต้องการให้เจอก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย

เพราะว่าช่วงที่ผ่านมานี้มีเด็กตายไปอีกสองคน เพราะ ฉะนั้นพวกเด็ก ๆ ต่างก็หวังว่าจะได้ออกไป พอเห็นท่าทางที่ดีอก ดีใจอย่างนี้ของกานต์ พวกเขาก็มีความหวังเพิ่มขึ้นมาเสี้ยวหนึ่ง แล้ว

“ฉันสามารถเอาไฟแช็กมาได้” มีเด็กคนหนึ่งเข้ามามีส่วนร่วมด้วย

กานต์รู้ คนพวกนี้ต้องการความเป็นอิสระ ก็เหมือนกับตัวเอง ที่ต้องการกลับบ้าน

“ได้! พรุ่งนี้พวกเราร่วมมือกันหน่อย เดี๋ยวฉันจะหาเหตุผลสักอย่างให้โดนขังเข้าไปในห้องมืด ส่วนคนอื่น ๆ อย่าเปิดเผย ความลับอะไรออกไปก็พอแล้ว”

คําพูดของกานต์ทําให้ทุกคนสงบเงียบลง บางคนเหมือนกับ

ว่าจะตื่นเต้น และบางคนเหมือนกับว่าจะกังวลและกลัว เรนนี่จับมือของกานต์เอาไว้ แล้วเขียนว่า “ฉันจะเข้าไปใน ห้องมืดกับเธอด้วย

พอนึกถึงคราวที่แล้วที่เรนนี่โดนตีเพราะเขาแล้ว หลายวัน มานี้ก็ยังไออยู่ตลอด แล้วกานต์ก็รีบส่ายหน้า

“ไม่ได้ ฉันเข้าไปคนเดียวก็พอแล้ว เธอจะมาโดนตีอีกไม่ได้

แล้ว”

เธอโตกว่าเขาและกมลทั้งสองปี แต่ว่ากลับผอมจนกระดูก เหมือนอย่างกับฟืน เนื้อทั้งตัวก็ยังไม่ถึงสามชั่ง ทำให้คนเห็นแล้ว ปวดใจจริง ๆ

แต่เรนนี่ยังคงยืนกราน

กานต์จึงพูดเสียงต่ำขึ้นว่า “ถ้าหากว่าเธอไม่ฟังที่ฉันพูด ตอนนี้ฉันก็จะออกไปบอกพวกเขาว่าฉันเป็นใคร พอถึงตอนนั้น ฉันก็คงจะต้องตายแน่นอน”

เขาไม่รู้ว่าทําไมตัวเองจะต้องเอาชีวิตของตัวเองมาข่มขู่เรน นี่ แต่ว่าวินาทีนี้ เขาไม่อยากจะเห็นเรนนี่โดนตีอีกจริง ๆ นิดหนึ่งก็ ไม่อยาก

นี่เป็นครั้งแรกที่กานต์รักและเอ็นดูคนอื่นนอกเหนือจาก คนในครอบครัวเลย

พอเรนนี่เห็นกานต์เป็นแบบนี้ ก็รีบหุบปาก แต่ว่ากลับโกรธ ขึ้นมาเล็กน้อย

พอกานต์เห็นเธอเป็นแบบนี้ ก็อดไม่ได้ที่จะคิดถึงกมลขึ้นมา เขาคิดถึงยัยคนชอบกินคนนั้นแล้วจริง ๆ อยากจะได้ยินเธอเรียกตัวเองว่าพี่ชาย คิดถึงท่าทางที่เธอกินของแล้วเอร็ดอร่อยแบบนั้น

แล้วกานต์ก็ยิ่งอยากจะออกไปมากขึ้นอีก

ตอนบ่ายตอนที่เริ่มต้นฝึกฝนนั้น กานต์ก็ตั้งใจหาเรื่องกับ

คนเฝ้ายาม แล้วก็โดนคนเฝ้ายามระดมตีไปรอบหนึ่ง เขากอดส่วนที่สําคัญของตัวเองไว้ แล้วก็ปล่อยให้หมัดที่ ราวกับหยดฝนกระทบลงบนร่างกายของตัวเอง รู้สึกว่าเจ็บจน

แทบจะตายอยู่แล้ว แต่ก็ได้แต่กัดฟันไว้แน่นและยืนหยัดต่อไป

แล้วก็ในตอนที่กานต์รู้สึกว่าตัวเองจะโดนตีตายแล้วนั้น คน ที่เฝ้ายามคนอื่นก็เดินเข้ามา แล้วมารั้งคนที่ตีคนเอาไว้

“เอาล่ะ เลิกตีเถอะ ในบรรดาเด็กชุดนี้ ฉันรู้สึกว่ามีแต่มันที่ หน่วยก้านไม่เลวสุดแล้ว ไม่ว่าจะพูดยังไงก็ถือได้ว่าต้นกล้าต้น หนึ่ง ถ้าตีจนพิการไปต่อไปก็ไม่มีสักคนแล้วนะ ถ้าเบื้องบนโกรธ เกรี้ยวลงมา ทั้งนายแล้วฉันต่างก็แบกรับไม่ไหวหรอกนะ เอามัน ไปโยนทิ้งไว้ในห้องมืดให้หิวสักวันสองวันดู ก็คงจะเชื่อฟังแล้ว”

“เจ้าเด็กตัวเหม็น ถือซะว่าแกดวงดีไปนะ!”

คนเฝ้ายามที่ตีคนคนนั้นจับกานต์หิ้วขึ้นมาเหมือนหิ้วลูกไก่ แล้วโยนเข้าไปในห้องมืดเลย

เด็กคนก่อนหน้านั้นรีบเข้ามาขวางเอาไว้ แล้วถือโอกาสเอา

ไฟแช็กโยนลงไปในกระเป๋าของกานต์ด้วย

“แมร่งนี้ นี่แกก็อยากจะตายด้วยใช่ไหม?”

คนเฝ้ายามที่ตีคนคนนั้นนิสัยไม่ดีเอามาก ๆ เลย ถึงแม้จะ หิ้วกานต์อยู่ แต่ก็ยังคงง้างหมัดขึ้นมา

เด็กคนนั้นตกใจจนรีบวิ่งหนีกลับไปเลย แล้วก็เริ่มฝึกฝน อย่างเชื่อฟังขึ้นมา

“เป็นกระดูกชั้นต่ำจริง ๆ”

คนเฝ้ายามที่ตีคนเอากานต์โยนเข้าไปในห้องมืดในตอนแรกก็โดนตีจนเจ็บไปหมดทั้งตัวแล้ว แล้วตอนนี้มา โดนโยนลงไปกับพื้นห้องกะทันหัน กานต์เกือบจะร้องเสียงหลง ออกไปแล้ว

พอคนเฝ้ายามไปแล้ว กานต์ก็คลานไปที่ข้างกำแพงและพิง เอาไว้ แล้วก็สูดหายใจหอบขึ้นมา

นี่มันเมื่อเลือตกทุกข์ สุนัขก็รังแกเสือจริง ๆ เลย จะช้าหรือเร็วเขาจะต้องทวงคืนกับคนพวกนี้แน่

กานต์รอให้ตัวเองหายใจได้สม่ำเสมอแล้ว ถึงได้เอาไฟแช็ก ออกมาแล้วก็มองซ้ายมองขวา เขาพบว่านี่เคยเป็นคลังมาก่อน จริง ๆ แถมยังใหญ่ด้วย แต่เพราะว่ามืดเกินไป ทุกครั้งที่เข้ามา ทุกคนต่างก็กลัว เพราะฉะนั้นก็เลยไม่เคยสังเกตที่นี่กันมาก่อน

เขาคลานเข้าไปเลย แล้วก็ค้นพบอย่างน่าประหลาดใจว่าที่ นี่นั้นมีของที่ตัวเองต้องการด้วย

กานต์หาของที่ตัวเองต้องการเจออย่างรวดเร็ว แล้วก็ถือ โอกาสใช้ช่วงเวลานี้ที่ไม่มีใครสนใจตัวเอง แล้วก็เริ่มประดิษฐ์ขึ้น มา

เขารู้สึกขอบคุณที่ห้องมืดไม่มีกล้องวงจรปิด และไม่มี อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อะไร

บางทีคนพวกนั้นอาจจะคิดว่าห้องมืดเป็นคลังที่โดนทอดทิ้ง ไปแล้ว แค่เอามาข่มขวัญเด็ก ๆ อย่างพวกเขาก็เพียงพอแล้ว ใน เมื่อพวกเขาก็ไม่สามารถคิดลูกเล่นอะไรออกมาได้

แต่ว่าพวกเขากลับมาเจอกับกานต์เข้า

กานต์รู้สึกเจ็บไปหมดทั้งตัว เจ็บจนไม่กล้าขยับ แต่ว่าพอ คิดถึงนรมน คิดถึงกมล คิดถึงบุริศร์ ยังมีเรนนี่และเด็ก ๆ พวกนั้น เขาก็มีความกล้าและความเชื่อมั่นขึ้นมาอีกครั้ง

ในระยะเวลาสี่วันมานี้ พวกบุริศร์และนรมนก็ไม่ได้หยุดนิ่ง เลยบุริศร์วิ่งตามรถโคชคันนั้นจนทัน แต่ว่าคนบนรถกลับบอก ว่าผู้หญิงพาเด็กลงตั้งแต่กลางทางแล้ว แล้วก็ไม่รู้ว่าไปแล้วด้วย

แล้วเขาก็ย้อนกลับไปหาอีก แต่ว่าหามาสองวัน ถึงได้เพิ่งจะ

พอมีเบาะแสมาเสี้ยวหนึ่ง ว่าเด็กถูกพาไปในพื้นที่ห่างไกลแล้ว แล้วบุริศรก็ตามเบาะแสไปไม่หยุด แล้วก็เจอกับการลอบฆ่า ไม่หยุดตลอดทางด้วย

ยิ่งเป็นพื้นที่ที่ห่างไกล การลอบฆ่าและอุบัติเหตุที่เขาเจอก็ ยิ่งมากยิ่งขึ้น

บริศ แทบจะเป็นบ้าแล้ว

เขาอยากจะโทรศัพท์กลับไปจริง ๆ อยากจะถามตรินท์ว่า ตกลงเขาอยากจะทําอะไรกันแน่ แต่ว่าเขาก็โทรศัพท์หานรม นก่อน

“ช่วงนี้ที่บ้านเป็นยังไงบ้าง?”

ที่จริงสิ่งที่บุริศร์อยากจะถามมากที่สุดก็คือนรมน

เขารู้ เวลาแบบนี้นรมนอยู่ที่บ้านนั้นถือว่าเป็นอันตรายมาก แต่ว่าเขาจะไม่ไปหาเบาะแสของกานต์เลยก็ไม่ได้

ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าตรินท์จะฆ่ากานต์แล้ว เขาคงจะไม่สามารถมอง ดูลูกเฉย ๆ โดยที่ไม่สนใจอะไร แล้วนั่งรอฝังศพได้หรอกมั้ง

นรมนไม่รู้ว่าในบ้านจะโดนตรินท์ใส่เครื่องดังฟังไว้หรือ เปล่า จึงพูดเสียงต่ำขึ้นว่า “ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ร่างกายของฉันนี่ไม่ ไหวอีกแล้ว ส่วนแม่ก็หัวใจไม่ค่อยดี โดนคุณหมอโพนี่รับไป นอนโรงพยาบาลแล้ว มีธิดาไปรับใช้เป็นเพื่อน ส่วนกมลหลาย วันมานี้ ก็เอาแต่งอแง บอกว่าจะหาพี่ชาย กิจจาก็เอาแต่ปลอบใจ เธอ ทางด้านคุณเป็นยังไงบ้างคะ? ยังโอเคหรือเปล่า? หากานต์ เจอหรือยังคะ? ”

บุริศร์อึ้งไปครู่หนึ่ง

การจัดแจงแบบนี้ทำให้เขารู้สึกแปลกใจอยู่บ้างสภาพร่างกายของคุณนายตระกูลโตเล็กนั้นไม่ใช่ว่าเขาจะ ไม่รู้ ครั้งที่แล้วเพราะเรื่องของสารพิษ เขาก็เลยตั้งใจขอยาบำรุง กับป้องส่วนหนึ่งมา ถึงแม้เรื่องที่กานต์หายตัวไปจะทำให้ คุณนายโรคหัวใจก่าเริบชั่วคราวได้ แต่ว่าจะบอกว่าร้อนใจจน อาการรุนแรงและต้องไปนอนโรงพยาบาลเลยนั้น บุริศร์ก็รู้สึกว่า มันเกินไปหน่อยแล้ว

แต่ว่าเมื่อกี้นรมนก็พูดแบบนี้นี่

และที่สําคัญร่างกายของนรมนก็ไม่ค่อยดีด้วย ถ้าพูดตาม หลักแล้วไม่ควรจะต้องไปนอนรักษาตัวที่โรงพยาบาลหรอกเห รอ? แต่เธอกลับอยู่ที่บ้าน

แล้วบริศ ก็เข้าใจอะไรขึ้นมาทันที

ผู้หญิงโง่คนนี้คงจะไม่ได้เอาตัวเองมาเป็นตัวประกัน แล้ว ตั้งใจอยู่ที่บ้านใหญ่เนี่ยนะ ?

เธอกลัวว่าตรินท์จะลงมือกับคุณนายตระกูลโตเล็ก เพราะ

ฉะนั้นก็เลยส่งคุณนายออกไปก่อนเหรอ?

ความรู้ใจกันระหว่างบุริศร์ละนรมนนั้นถือว่าเต็มเปี่ยมแล้ว

ในตอนที่เขารู้ถึงเหตุผลที่นรมนทําแบบนี้แล้ว ก็อดที่จะ ปวดใจขึ้นมาไม่ได้

“ร่างกายของคุณไม่ค่อยแข็งแรงก็พักผ่อนดี ๆ หน่อย ไม่ ต้องเป็นกังวลมาก ทางด้านกานต์ผมพอมีเบาะแสแล้ว อีกไม่กี่วัน ผมก็จะพาแกกลับไป คุณวางใจเถอะ”

คําพูดของบริศ นั้นพูดให้นรมนฟัง และในขณะเดียวกันก็

พูดให้ตรินท์ฟังด้วย

ถ้าหากว่าการคาดเดาของนรมนถูกต้อง ขั้นตอนนี้ตรินท์ก็ จะต้องสามารถได้ยินพวกเขาคุยโทรศัพท์กันแน่

นรมนรีบร้อนถามขึ้น “มีข่าวคราวแล้วจริง ๆ เหรอคะ?” “ใช่ มีข่าวแล้ว คุณอย่ากังวลไปเลย จะต้องเชื่อผู้ชายบ้านคุณเองซิ เข้าใจไหม?”

นรมนรู้สึกอยากจะร้องไห้แล้ว

“ฉันรู้ค่ะ ฉันเชื่อคุณ แต่ว่าคุณเป็นยังไงบ้าง? หลายวันมานี้ อยู่ข้างนอกยังสบายดีไหม? ฉันได้ยินพวกเขาบอกว่าคุณไม่ค่อย ได้พักผ่อนเท่าไหร่เลย

นรมนนั้นเป็นห่วงบุริศร์จริง ๆ

บริศ มองบาดแผลทั่วร่างกาย กลับยิ้มแล้วพูดว่า “ผมสบาย ดี ไม่มีอะไร ผมชายชาตรีทั้งคนจะไปเกิดอะไรขึ้นได้? นอกซะ จากว่าเหนื่อยหน่อย คุณไม่ต้องเป็นห่วงผมหรอก ผู้ชายบ้านของ คุณเป็นยังไงคุณยังไม่รู้อีกเหรอ? ตอนนี้ผมก็ขอแค่ว่าให้หา กานต์เจอให้เร็ว ๆ พอถึงตอนนั้นก็จะสามารถอยู่ด้วยกันพร้อม หน้าทั้งครอบครัวได้แล้ว”

“อืม ต้องล่ามากคุณแล้วนะคะ” นรมนกัดริมฝีปากล่างเอาไว้

ที่จริงเขายังมีคําพูด และเรื่องอีกมากมายที่อยากจะถาม แต่ตอนนี้กลับถามไม่ได้ แล้วก็ไม่สะดวกที่จะถามด้วย

พอรู้เรื่องที่บริศ ต้องเจอมาตลอดทางจากกิมจิมา ที่จริงนร มนเป็นห่วงมากจริง ๆ แต่ว่าตอนนี้ยังต้องแกล้งทําเป็นไม่รู้เรื่อง อะไร และแม้แต่ค่าพูดปลอบโยนคำเดียวก็พูดไม่ได้

ถ้าหากว่าเรื่องทั้งหมดนี้ตรินท์เป็นคนทําจริง ๆ นรมนจะ ไม่มีทางปล่อยเขาไปแน่!

ถึงเขาจะเป็นน้องชายของบุริศร์ก็เถอะ หนี้ก้อนนี้ต่อไปนร มนจะค่อย ๆ คิดกับเขาให้ชัดเจนแน่

บริศ เสียดายไม่อยากวางสายโทรศัพท์

ไม่ได้เจอหน้ากันมาสามสี่วันแล้ว เขารู้สึกคิดถึงมากจริง ๆ แล้วก็เป็นห่วงนรมนมาก แต่ว่าตอนนี้ไม่อยู่ข้างนอกก็ไม่ได้ ความ รู้สึกแบบนี้มันช่างโหดร้ายมากจริง ๆ“ดูแลตัวเองดี ๆ รอผมกลับไปนะ ไม่ว่าจะเจอกับเรื่องอะไร จะต้องไปหาตรินท์นะ เขาเป็นน้องชายแท้ๆ ของผม เขาจะต้อง ดูแลคุณดี ๆ แน่!”

คำพูดของบุริศ ทำให้นรมนพยักหน้าเล็กน้อย

แล้วทั้งสองคนก็พูดค่าหวานกันอีกเล็กน้อย ถึงได้วางสาย โทรศัพท์ลง

ทางด้านตรินท์ก็กําลังดักฟังอยู่จริง ๆ

ในตอนที่เขาได้ยินบุริศร์พูดว่าถ้านรมนมีเรื่องอะไรให้มาหา ตัวเองนั้น เรียวปากที่เย็นเฉียบนั้นก็ค่อย ๆ คลี่ออก

“ตอนนี้รู้จักมาหาฉันแล้วเหรอ? รู้ว่าฉันเป็นน้องชายแท้ของ แกแล้วเหรอ? ในตอนที่แกเหยียบย่ำฉันแล้วโดนคนชื่นชมเคย คิดบ้างไหมว่าฉันเป็นน้องแท้ ๆ ? ในตอนที่แกบีบฉันจนฉันไม่ ออกไปจากตระกูลโตเล็กไม่ได้ แล้วไปที่ยูนนานนั้น เคยคิดบ้าง ไหมว่าฉันเป็นน้องแท้ ๆ ของแก? ในตอนที่แกเอาลูกของผู้หญิง ของฉันไปเลี้ยงไว้ข้างกาย แล้วบอกกับโลกภายนอกว่าลูกของ ฉันเป็นลูกแก แกเคยคิดบ้างไหมว่าฉันเป็นน้อยแท้ ๆ ของแก? แล้วตอนนี้มานึกได้ว่าฉันเป็นน้องชายแท้ ๆ ของแก มันสายไป แล้ว! บุริศร์ ชาติ สิ่งที่แกติดค้างฉัน เริ่มตั้งแต่ตอนนี้เป็นต้นไป แกจะต้องค่อย ๆ คืนให้ฉัน”

ตรินท์พูดขึ้นอย่างเยือกเย็น แล้วก็นึกถึงคำพูดที่บุริศร์เพิ่ง พูดไปเมื่อกี้

มีข่าวของกานต์แล้ว?

ดูท่าแล้วเขาก็จะมีเรื่องสนุกให้ได้ทำอีกแล้ว พอคิดไปแบบนี้ ตรินท์ก็โทรศัพท์ให้ผู้จัดการของชมรมยิง ปืน

“นายให้คนของนายหยุดชั่วคราวก่อน แล้วแอบตามบุริศร์ เงียบ ๆ ไว้ ดูซิว่าที่ต่อไปเขาจะไปไหน จะสามารถหากานต์เจอ หรือเปล่า ถ้าหากว่าหาเจอแล้วละก็ อย่าลงมือกับบุริศร์ ทางที่ดีที่สุดให้จัดการกานต์ต่อหน้าบุริศร์ซะ ฉันต้องการให้เขาเห็นกับ ตาตัวเองว่าลูกชายตายอยู่ตรงหน้าเขา ให้เขาได้ลิ้มลองรสชาติ การสูญเสียคนที่รักไปบ้าง

พอพูดจบ ตรินท์ก็ล้วงนาฬิกาพกอันหนึ่งออกมาจากกระเป๋า ตอนที่เปิดออกมานั้น เห็นได้ชัดว่าข้างในใส่รูปของเขมิกา เอาไว้!


เพื่อการอัปเดตบทที่เร็วขึ้น กรุณาบริจาคสำหรับเว็บไซต์เพื่อซื้อบทใหม่! ขอขอบคุณ
THB

เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ