แค้นรักสามีตัวร้าย

บทที่ 1152 ตอนนี้เป็นปกติมาก



บทที่ 1152 ตอนนี้เป็นปกติมาก

สีหน้าของกานต์ขรึมลงเล็กน้อย

เทคนิคการสลับที่คุ้นเคยแบบนี้นอกจากทีมเล็กๆ ของพวกเขา แล้วยังจะมีใครได้อีก?

“นะโมเหรอ?”

กานต์รีบพิมพ์บันทึกการสนทนาไปอย่างฉับไว

ฝ่ายนั้นก็มีการตอบกลับมาอย่างรวดเร็วมาก

“หัวหน้า ผมเอง

พอตัวอักษรของนะโมพิมพ์เข้ามาแล้ว ทันใดนั้นกานต์ก็มี ความคิดถึงสมาชิกภายในกลุ่มเหล่านี้ขึ้นมาเล็กน้อย

“ไม่คุยกับฉันอย่างเอาจริงเอาจังจะได้ไหม? แฮกเข้าไปใน คอมพิวเตอร์ของฉันทำไม? อยากจะแข่งขันม้าโทรจันกับฉันสัก หน่อยอย่างนั้นเหรอ?”

กานต์กำลังพิมพ์ตัวอักษรอย่างรวดเร็ว

นะโมกลับหยุดชะงักไปครู่หนึ่ง หลังจากนั้นจึงตอบกลับไปว่า “หัวหน้า ผมมีข่าวร้ายข่าวหนึ่งจะมาบอกหัวหน้า

“ใกล้จะปีใหม่แล้ว บอกข่าวดีหน่อยไม่ได้เหรอ?”
กานต์รู้สึกว่านะโมคนนี้ยังคงเป็นคนที่ตลกมากจริงๆ

แต่ทว่านะโมกลับตั้งใจเปลี่ยนแบบตัวอักษรเป็นสีขาวดำ

แล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นว่า “หัวหน้าทวาที่อยู่ในทีมของ เราสละชีพไปแล้วครับ” ทันใดนั้นร่างกายของกานต์ก็ชะงักงันไปครู่หนึ่ง

“นายว่าอะไรนะ?”

ทิวาเป็นสมาชิกของทีม และเป็นผู้หญิงคนเดียวที่อายุมากกว่า สิบแปดปี ก่อนที่กานต์จะเข้ามาอยู่ในทีม ทิวาเคยเป็นหัวหน้าทีม ของพวกเขามาโดยตลอด แต่เนื่องจากทักษะด้านคอมพิวเตอร์ ของกานต์นั้นสูงมาก ทิวาจึงเป็นฝ่ายยกตำแหน่งหัวหน้าให้เขา แต่เธอก็ยังคงดูแลพวกเขาเป็นปกติ

ความประทับใจที่กานต์มีต่อทิวาก็คือพี่สาวบ้านใกล้เรือน เคียงที่อยู่ด้วยแล้วรู้สึกอบอุ่นเหมือนแม่และสบายใจเหมือนกมล

ทำไมเธอถึงสละชีพล่ะ?

“เกิดอะไรขึ้น?”

กานต์พบว่ามือของตัวเองสั่นเล็กน้อย
ทันใดนั้นนะโมก็ร้องไห้ออกมา แล้วเขาก็ตั้งใจส่งคำขอใช้งาน วิดีโอไปให้กานต์

เมื่อกานต์ได้เห็นนะโมร้องไห้น้ำตาไหลออกมาเป็นสาย ก็อด ไม่ได้ที่จะรู้สึกเศร้าใจเป็นอย่างมาก

“ไม่ต้องร้องแล้ว ตกลงมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?

กานต์เปล่งเสียงคำรามที่หุ้มออกมา นะโมจึงหยุดร้องไห้ ทันที แล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือว่า “พ่อของพี่ทิวาเป็น สมาชิกของหน่วยรบพิเศษ ก่อนหน้านี้ไม่นานเขาเข้าร่วมปฏิบัติ การรักษาสันติภาพที่ต่างประเทศ แต่กลับถูกยิงขณะปฏิบัติการ ปกป้องและเคลื่อนย้ายมวลชน ผู้ก่อการร้ายจับเขาเป็นตัวประกัน และข่มขู่ให้เราถอนตัวจากสนามรบ พี่ทิวารู้เรื่องนี้เข้า เธอจึง แอบไปที่นั่นอย่างลับๆ ลับหลังทุกคน และใช้เทคนิคของ แฮกเกอร์ทําให้ศัตรูสับสนชั่วคราว แต่สุดท้ายก็ยืนหยัดเอาไว้ไม่ ได้นาน เพื่อช่วยพ่อของตัวเอง พี่ทิวาจึงถูกสังหารในที่เกิดเหตุ หัวหน้า พวกเขาบอกว่าพี่ทิวาเสียเลือดเยอะมากๆ เลย อีกสัก พักพี่ทิวาก็จะถูกส่งกลับมาทางอากาศแล้ว เฮียบอกว่าให้พวก เราทุกคนไปรับพี่ทิวากลับบ้านที่สนามบิน

นะโมพูดไปพลางร้องไห้ไปพลาง
นัยน์ตาของกานต์ก็มีความรู้สึกเศร้าโศกเสียใจเช่นกัน

เลือด!

ในดินแดนแห่งความฝันที่เขาได้หลับฝันในช่วงนี้นั้นล้วนเต็ม

ไปด้วยสิ่งของสีแดงสด แต่ทว่าถึงอย่างไรเขาก็ไม่เคยคิดถึงเพื่อนร่วมทีมของตัวเอง เลย คิดไม่ถึงเลยว่าเพื่อนร่วมรบของตัวเองก็มีเลือดนองไปทั่ว

สนามรบเช่นเดียวกัน

จากนั้นน้ำตาไหลก็ออกมาจากเบ้าตาโดยไม่รู้ตัว

“ฉันจะไปเดี๋ยวนี้ ในหุบปากซะ ไม่ต้องร้องไห้แล้ว! พี่ทิวาคือ ความภาคภูมิใจของทีมเรา เธอเป็นฮีโร่ เป็นผู้สละชีพ! เธอจะ กลับบ้านแล้ว พวกเราจะร้องไห้ในขณะที่ไปรับเธอกลับบ้านไม่ ได้”

เสียงของกานต์แหบแห้ง แต่ก็ต้องระงับเอาไว้

นะโมพยายามทำให้ตัวเองไม่ร้องไห้ แต่เขาก็กลั้นเอาไว้ไม่อยู่

จริงๆ

กานต์ตั้งใจตัดสายวิดีโอ แล้วทิ้งตัวนอนคว่ำหน้าอยู่บน คอมพิวเตอร์ และไหล่ของเขาก็สั่นไปมา

เพื่อนร่วมรบที่อยู่ด้วยกันมาโดยตลอดทั้งเช้าทั้งเย็นต่อไปนี้ก็ จะไม่ได้เจอกันอีกแล้ว
หลังจากที่ธงชาติหนึ่งผืนนำร่างของเธอเข้าไปส่งในสุสาน วีรบุรุษผู้สละชีพเพื่อชาติ ในโลกใบนี้ก็จะไม่เห็นพี่ทิวาที่ยังมีชีวิต อยู่อีกต่อไปแล้ว

หัวใจของกานต์หนักอึ้งอย่างสุดขีด

เขาไม่เคยรู้เลยว่าสงครามมันจะโหดร้ายถึงเพียงนี้ แม้แต่ใน ยุคที่สงบสุขอย่างทุกวันนี้ ก็ยังมีคนจำนวนไม่น้อยที่กำลังสละ ชีวิตตัวเองอยู่

เขานึกถึงความหวาดกลัวตอนที่ตัวเองยิงปืนขึ้นมา ในเวลานี้ กลับรู้สึกว่ามันไม่ได้น่ากลัวอะไรแล้ว

คนคนนั้นสมควรตาย

เขาละเมิดกฎหมายบ้านเมือง และข่มขู่พ่อกับแม่ เขาคือคน เลวที่ยกโทษให้ไม่ได้

แต่เขาเป็นทหารของประชาชน

ข้างหลังของเขามีคนที่ตัดผมทรงลานบินกำลังยืนอยู่นับไม่

ถ้วน

พวกเขายิงไม่ได้ และก็ไม่มีสิทธิ์ยิง เมื่อสงครามมาถึง พวกเขา จะเป็นกลุ่มที่เปราะบางที่สุด แต่เขาเป็นทหาร

ภาระหน้าที่ของเขาคือปกป้องประชาชน
ดังนั้นยิงไปแล้วยังไง?

นั่นคือหน้าที่ของเขานะ!

ทันใดนั้นดูเหมือนว่ากานต์จะคิดหลายๆ เรื่องออกแล้ว ความ รู้สึกอัดอั้นตันใจเหล่านั้นก็ได้กลายเป็นแรงผลักดันให้เขาก้าวไป ข้างหน้าแล้วเช่นกัน

เขาเงยหน้าขึ้นมาเช็ดน้ำตาให้แห้ง แล้วเปลี่ยนชุดปกติออก

อย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ลงไปข้างล่าง

บุริศร์กับนรมนเพิ่งจะเก็บข้าวของเสร็จ และเมื่อพวกเขากำลัง จะไปเรียกกานต์ ก็เห็นเขาสวมเครื่องแบบทหารลงมาแล้ว พวก เขาจึงอดไม่ได้ที่จะตะลึงงันอยู่ครู่หนึ่ง

“กานต์ นี่ลูกจะไปทำอะไร?

“ไปสนามบินครับ หม่ามีไปส่งผมได้ไหม? หรือจะให้คุณบุริศร์ ไปส่งผมก็ได้ สมาชิกในทีมของผม เพื่อนร่วมรบของผมถูกขนส่ง กลับประเทศทางอากาศแล้ว ผมเป็นหัวหน้าทีม ผมจะต้องไป กลับเธอกลับบ้าน”

ดวงตาของกานต์ยังคงน้ำตาซึมอยู่ แต่สายตากลับแน่วแน่ และเคร่งขรึมเป็นอย่างมาก

นรมนรู้สึกว่าลูกชายของเธอมีบางอย่างที่แตกต่างออกไปจากเดิมแล้ว แต่เธอกลับไม่สามารถบอกได้ แต่ทว่า ริศ กลับมองออกแล้ว

กานต์โตขึ้นแล้ว

ดูเหมือนเขาจะได้เรียนรู้อะไรมากมายในชั่วข้ามคืน และ สามารถระงับอารมณ์เอาไว้ได้มากกว่าเดิมแล้ว

“เพื่อนร่วมรบสละชีพไปแล้ว?

บุริศร์เคยมีประสบการณ์เรื่องนี้อยู่บ้าง เขาจึงสามารถเข้าใจ ได้ถึงความเศร้าเสียใจที่ซ่อนอยู่ภายในสายตาของกานต์เป็น ธรรมดา

กานต์แทบจะอดกลั้นเอาไว้ไม่ไหว จึงรีบพยักหน้าอย่าง รวดเร็ว

“พ่อจะไปส่งลูกเอง”

บุริศร์ตั้งใจที่จะวางงานที่อยู่ในมือของเขาลง

ส่วนนรมนก็ไม่ค่อยสบายใจเล็กน้อย

“เดี๋ยวฉันจะตามไปนะคะ”

“ผมไปด้วยสิ”

กิจจาก็เอ่ยอากออกมาเช่นกัน

เมื่อบริศ เห็นพวกเขาร้องขอกันแบบนี้แล้ว จะทิ้งพวกเขาเอา ไว้ที่บ้านตัวเองก็ไม่ค่อยวางใจสักเท่าไหร่ เขาจึงพยักหน้าไปเสียเลย แล้วพาพวกเขาออกจากบ้าน ตระกูลโตเล็กไปด้วยกัน

กานต์ไม่ได้พูดอะไรเลยตลอดทาง

นรมน ใช้แขนไปสะกิดบริศร์หนึ่งที่ด้วยความกังวลใจเล็กน้อย แล้วใช้น้ำเสียงที่มีเพียงพวกเขาสองคนเท่านั้นที่ได้ยินถามออก ไปว่า “ตอนนี้กานต์คงไม่ได้เป็นบุคลิกที่สองอยู่ใช่ไหม?

“ไม่หรอก ตอนนี้เขาปกติดีมาก”

บริศ เหลือบมองกานต์ และพบว่ากานต์กำลังมองออกไปข้าง นอกด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความเศร้าโศกเสียใจ

เขาจึงถอนหายใจเบาๆ และพูดว่า “ในใจของกานต์รู้สึก เสียใจมาก ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าครั้งนี้เขาจะรู้สึกหมดอาลัยตาย อยากไปอีกนานแค่ไหน”

นรมนไม่เคยอยู่ในกองทัพ ดังนั้น โดยธรรมชาติแล้วเธอจึงไม่ เข้าใจมิตรภาพระหว่างเพื่อนร่วมรบว่ามันลึกซึ้งมากเพียงใด แต่ เมื่อเธอได้เห็นลูกชายเป็นแบบนี้ในตอนนี้ เธอก็มีความรู้สึกกังวล ใจอยู่บ้าง

“อาการสองบุคลิกนี้ยังไม่ได้รักษาให้หายดีเลย ตอนนี้ก็เกิด เรื่องเพื่อนร่วมรบของเขาสละชีพอีก ฉันกลัวว่าเกิดคนนี้จะรับไม่ ไหวจริงๆ “
“ไม่หรอกน่ะ”

บริศ พูดอย่างสงบเยือกเย็นมากว่า “บางทีหลังจากเหตุการณ์ นี้ อาการสองบุคลิกของกานต์ก็อาจจะดีขึ้นก็ได้นะ

“ยังไงเหรอคะ?”

นรมนรู้สึกงงงวยเป็นอย่างมาก

แต่บุริศร์กลับไม่ได้พูดอะไรอีก

คนกลุ่มหนึ่งขับรถไปถึงสนามบินแล้ว

เนื่องจากทิวาเป็นผู้เสียสละ ทางสนามบินจึงได้เปิดช่องทางให้ เหล่าทหารได้ใช้เป็นกรณีพิเศษ

ทหารที่เดินเข้าเดินออกล้วนกำลังแต่งกายด้วยชุดปกติ และ

ยืนเข้าแถวอยู่

ดังนั้นกานต์จึงมาที่นี่คนเดียวเพราะลางานชั่วคราว

นี่เป็นครั้งแรกที่นรมนได้เห็นเหตุการณ์ที่เคร่งขรึมจริงจังเช่นนี้ เธอจึงอดไม่ได้ที่จะตะลึงงันอยู่ครู่หนึ่ง

กานต์จัดเสื้อผ้าและหมวกให้เรียบร้อย จากนั้นก็เปิดประตูรถ แล้วเดินลงไป

ตอนนี้ขั้นตอนการปลดประจำการของบุริศร์ยังดำเนินการไม่เสร็จ โดยปกติเขาจึงยังมียศทหารอยู่ ในวันเช่นวัน นี้ เขาก็เลยสวมชุดทหารมาเช่นกัน แล้วพูดกับนรมนว่า “คุณกับ กิจจารอพวกผมอยู่บนรถก่อนนะ”

“ค่ะ”

นรมนพยักหน้า

แล้วบุริศร์ก็จูงมือกานต์เดินเข้าไปข้างใน

ทันใดนั้นกิจจาก็พูดขึ้นมาด้วยความอิจฉาเล็กน้อยว่า “หม่ามี จู่ๆ ผมก็รู้สึกว่าการเป็นแพทย์ทหารก็ไม่เลวเหมือนกันนะครับ อา ป้องก็เคยเป็นแพทย์ทหารมาก่อนไม่ใช่หรือครับ?”

“ไม่อนุญาตให้ไป

นรมนปฏิเสธออกไปตรงๆ และในใจของเธอก็กังวลเล็กน้อย

“ในบ้านมีกานต์ที่มากับลมไปกับฝนคนเดียวก็พอที่จะทำให้ นอนหลับไม่สนิทอยู่แล้ว ลูกอย่าถือโอกาสมาประสมโรงด้วยอีก คนเชียวนะ ถ้าลูกอยากเรียนหมอ แด๊ดดี้กับหม่ามีไม่ห้ามลูก หรอก แต่ถ้าลูกอยากเข้ากองทัพมันเป็นไปไม่ได้อย่างเด็ดขาด ครั้งนี้หม่ามีกับแด๊ดดี้ตัดสินใจแล้วว่าจะให้กานต์ทำธุรกิจ ดังนั้น ลูกก็อย่าได้คิดเลย”
นรมนถือโอกาสในช่วงเวลานี้ขัดขวางความคิดของกิจจาตั้ง แน่เนิ่นๆ

เป็นทหารอย่างนั้นเหรอ?

ตอนนี้นรมนรู้สึกเสียใจอย่างมากที่ให้กานต์ไปเป็นทหาร

กิจจาเป็นลูกชายคนเดียวของตนท์ ถ้าเกิดอะไรที่ไม่คาดคิด กับเขา ใครจะสามารถแบกรับความรับผิดชอบนี้เอาไว้ได้

นรมนอยากให้กิจจาเป็นคนธรรมดามากกว่า และก็ไม่อยาก ให้เขาไปบุกตะลุยโจมตีข้าศึกที่แนวหน้าเช่นกัน

เมื่อกิจจาได้ยินนรมนพูดแบบนี้ ก็อดไม่ได้ที่จะแลบลิ้นออกมา แล้วพูดว่า “หม่ามี้ หม่ามีอย่ากังวลไปเลย ผมก็แค่ลองคุยๆ ดู เท่านั้น”

“เป็นแบบนี้ได้จะดีที่สุดเลย”

นรมนยังคงไม่รู้สึกสบายใจเล็กน้อย

ไม่นาน ด้านในก็มีเพลงชาติดังขึ้น และทหารแปดนายก็กำลัง ยกแปลหามเดินออกมา

มีเด็กสาววัยสิบแปดปีคนหนึ่งกำลังนอนอยู่บนเปลหาม ใบหน้าของเธอขาวซีดมาก และบนร่างกายของเธอก็มีธงชาติ คลุมเอาไว้ ทหารทุกหน่วยที่อยู่โดยรอบถอดหมวกออกด้วยสีหน้าที่โศกเศร้าอาดูร

“นี่คือ……”

เป็นครั้งแรกที่นรมนรู้สึกได้ถึงเกียรติภูมิและความเคร่งขรึม ของความตาย

เธอเห็นสามีและลูกชายของตัวเองแล้ว บุริศร์และกานต์กำลังเดินอยู่ทางซ้ายและขวาของเปลหาม

ดวงตาของกานต์แดงก่ำ จมูกก็แดงเช่นเดียวกัน เด็กสองสาม คนที่อยู่ข้างหลังก็ร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่มานานแล้วเช่นกัน

ความโศกเศร้าเช่นนี้คือความรู้สึกที่นรมนไม่สามารถเข้าถึงได้

แต่ทันใดนั้นเองกลับบังเกิดความรู้สึกอิจฉาขึ้นมาเล็กน้อย คนเราใช้ชีวิตนี้มาทั้งชีวิต ถ้าหากสุดท้ายจะต้องตายแบบนี้ เช่นนั้นก็ถือว่าตายไม่เสียชาติเกิดแล้ว

น่าเสียดายสาวน้อยที่หน้าตาสวยมากคนหนึ่งจังเลย ทันใดนั้นหัวใจของนรมนก็รู้สึกเศร้าใจขึ้นมา รถทหารกำลังรออยู่ด้านนอก และทหารทุกนายกำลังยกทวาไปที่สุสานวีรบุรุษผู้สละชีพเพื่อชาติ

มีหญิงวัยกลางคนคนหนึ่งวิ่งเข้ามา ในเวลาชั่วพริบตาเดียว นั้นที่ได้เห็นทิวาความรู้สึกของเธอก็พังทลายลงในทันที

“ลูกแม่อ่า! ลูกรักของแม่!

ผู้หญิงคนนั้นร้องไห้ด้วยความเจ็บปวดใจ ทำให้ผู้คนที่ได้ฟัง ต้องหลั่งนํ้าตาออกมาเลยทีเดียว

ทันใดนั้นนรมนก็รู้สึกกลัวเล็กน้อย กลัวว่าวันหนึ่งกานต์ก็จะถูกคนหามกลับมาแบบนี้เหมือนกัน พอคิดถึงฉากแบบนั้น นรมนก็รู้สึกเจ็บปวดใจจนทนไม่ไหว

แล้ว

ไม่!!

เธอไม่อยากให้ลูกชายเป็นแบบนี้

ไม่ได้อย่างเด็ดขาด!

มรมนตัดสินใจเด็ดขาดลงไปแล้วว่า จะต้องดึงกานต์กลับออก

มาจากกองทัพให้จงได้

เธอไม่มีความฝันเกี่ยวกับแผ่นดินและประเทศชาติเลย เธอ หวังเพียงว่าลูกชายของตัวเองจะอยู่เคียงข้างตัวเองอย่างปลอดภัยและมีสุขภาพแข็งแรงเท่านั้น

จะพูดว่าเธอเห็นแก่ตัวก็ดี หรือจะพูดว่าเธอไม่สมกับเป็นคนที่ อยู่ในครอบครัวทหารก็ช่าง อย่างไรก็ตามเธอก็ไม่สามารถให้ ลูกชายของตัวเองไปรบที่แนวหน้าที่อันตรายแบบนี้ได้

กิจจาเห็นสีหน้าของนรมนซีดเซียวเล็กน้อย จึงอดไม่ได้ที่จะ เอื้อมมือออกไปจับมือของนรมนเอาไว้

มือของเธอเย็นมาก ร่างกายก็เย็นมากเช่นกัน

กิจจาจึงถามด้วยความเป็นห่วงว่า “หม่ามี หม่ามีไม่เป็นไรใช่

ไหม?”

“ไม่เป็นไรจ๊ะ”

กิจจาหัวเราะออกมาอย่างแรง แต่กลับเห็นแม่ของทิวาร้องไห้

จนหมดสติลงไป

และทหารหลายคนต่างก็ตาแดงๆ กันหมด

บนถนนที่ไปสุสานวีรบุรุษผู้สละชีพเพื่อชาติ นอกจากทหาร แล้ว คนธรรมดาอย่างนรมนไม่สามารถเดินเขาไปด้วยได้เลย บุริศร์จึงส่งสัญญาณให้เธอพากิจจากลับไปก่อน นรมนไม่อยากจากไปไหน
เธอจึงให้กิจจานรถ แล้วตัวเองก็ขับรถตามหลังรถทหารไป แล้วมุ่งหน้าไปสู่สุสานวีรบุรุษผู้สละชีพเพื่อชาติอย่างยิ่งใหญ่ เกรียงไกร

ตอนที่ใกล้จะถึงสุสานวีรบุรุษผู้สละชีพเพื่อชาติ ทันใดนั้นรถ ของนรมนก็สั่นโคลงเคลงขึ้นมาทันใด และเธอก็ไม่ทันระวังจน เกือบชนกับกระจกหน้ารถเข้า

“หม่ามี้ เกิดอะไรขึ้นครับ?”

กิจจากังวลใจเล็กน้อย

นรมนจึงโบกมือ แล้วพูดว่า “บางทีรถอาจจะเสียแล้วนะ หม่ามี จะลงไปดูสักหน่อย”

พอพูดจบเธอก็ลงจากรถไปเลย แต่กิจจากลับรู้สึกได้ถึงความ ไม่ปลอดภัยบางอย่าง


เพื่อการอัปเดตบทที่เร็วขึ้น กรุณาบริจาคสำหรับเว็บไซต์เพื่อซื้อบทใหม่! ขอขอบคุณ
THB

เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ