บทที่ 35 สู้กันจนพังทั้งสองฝ่าย
ลู่วิ่งเซ็นเผยอยิ้มมุมปาก แม้แต่คิ้วก็ยังเปื้อนด้วยรอยยิ้ม
“โอเค ฉันใกล้จะกลับแล้ว”
“งั้นเท่านี้นะ”
“ตกลง บ้ายบาย
หลังจากวางสายแล้ว เขาก็มองโทรศัพท์และยิ้มอย่างมี
ความสุข
ดวงอาทิตย์กำลังจะลับขอบฟ้า แสงสีทองสาดส่องจาก ขอบฟ้ามายังพื้นโลก เหมือนให้แสงสว่างที่อบอุ่นแก่โลก และแม้แต่หัวใจก็ถูกห่อหุ้มไปด้วยความอบอุ่น
เขาเก็บโทรศัพท์ หันหลัง และเดินเข้าไปในห้องประชุม
ผู้บริหารระดับสูงกำลังรอเขาอยู่ ผู้จัดการฝ่ายการตลาดที่ ยืนอยู่หน้าเครื่องโปรเจคเตอร์เตรียมที่จะรายงานแผนการ ดำเนินงานต่อไป แต่ถูกลู่จิ่งเซินพูดขัดจังหวะว่า
“โอเค วันนี้ทุกคนคงเหนื่อยกันแล้ว ประชุมถึงตรงนี้้พอ เมื่อกี้ที่ฉันได้บอกไปที่ต้องแก้ไขงานบางส่วน ให้พวกคุณนำ กลับไปแก้ไขทั้งหมดอีกครั้ง พรุ่งนี้เช้าค่อยเอามาให้ฉัน ตรวจใหม่ เอาละ เลิกการประชุมได้!”
เขาพูดจบ แล้วก็ก้าวเดินออกไปทันที
บรรดาผู้บริหารระดับสูงต่างตกตะลึง
นี่มันอะไรกัน..
แค่นี้ก็เลิกการประชุมแล้วเหรอ
เมื่อก่อนถ้าลู่จิ่งเซินเรียกการประชุม ไม่มีครั้งไหนที่การ ประชุมจะไม่ถึงสองสามทุ่ม
ช้ากว่านี้สักหน่อย ก็ห้าทุ่มเที่ยงคืน ก็เคยมีมาแล้ว!
แต่ทำไมวันนี้กลับเลิกเร็ว
ตอนนี้เพิ่งจะห้าโมงเท่านั้นเองนะเจ้านาย!
ไม่เพียงแต่ผู้บริการระดับสูงเท่านั้นที่ตกใจ แม้แต่ซูมู่ก็ยัง
ตกใจ
เมื่อกี้ที่ลู่จิ่งเซินออกไปรับโทรศัพท์ เขาบังเอิญเหลือบไป เห็นหมายเลขผู้โทรบนหน้าจอโทรศัพท์ เลยรู้ว่าเป็นจิ่งหนิงที่
โทรมา
แต่ไม่คิดว่า เธอจะมีเสน่ห์มากขนาดนี้!
ที่ทำให้เจ้านายของตัวเองที่ได้รับฉายาว่าเป็นคนบ้างาน กลับทิ้งงานไปได้ เพื่อที่จะกลับบ้านไปกินข้าวกับเธอ
ซูมู่คิดเงียบๆ ในใจ ดูเหมือนว่าต่อไปเขาจะต้องเปลี่ยน กลยุทธ์แล้วละ!
ไม่สำคัญว่าจะรับใช้เจ้านายดีหรือไม่ แต่จะต้องปฏิบัติต่อ นายหญิงให้เป็นอย่างดีก่อน!
หลังจากจิ่งหนิ่งโทรหาลู่จิ่งเขินเสร็จ ก็โทรหาหวังเสว่เหม
ยต่อ
ตระกูลจิ่งตอนนี้กำลังตกจมอยู่ในแรงกดดัน
มู่ยั่นเจ๋อถูกมู่เทียนหงเรียกตัวกลับไปแล้ว เขาจึงไม่อยู่ที่นี่ ก็มีแค่หวังเสว่เหมยกับจิ้งเสี่ยวหย่าและภรรยาของจิงเชี่ยว เต๋อนั่งอยู่ในห้องนั่งเล่น
บรรยากาศอืมครีมมาก และไม่มีใครพูดอะไร
ดังนั้น เมื่อเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น มันก็จะเสียงดังมากกว่า
ปกติ
หวังเสว่เหมยเหลือบมองไปอย่างหงุดหงิดที่พ่อบ้านหวังฝู หวังฝูจึงรีบเดินไปรับสาย
หลังจากนั้นไม่กี่วินาที เขาก็วิ่งกลับมา และกระซิบบอกว่า “คุณท่านครับ คุณหนูใหญ่โทรมา”
“เธอยังมีหน้าโทรกลับมาอีกเหรอ!”
หวังฝู่ก้มหน้าไม่กล้าพูดอะไร
จึงเสี่ยวหย่าก็พูดขึ้นมาเบาๆว่า: “คุณย่าคะ พี่สาวคงรู้ตัวว่าครั้งนี้ทำเกินไปมาก จึงโทรมาขอโทษ”
จึงเชี่ยวเต่อก็ตะโกนออกมาด้วยความโกรธว่า “เธอคิดว่า ขอโทษแล้วเรื่องทุกอย่างจะจบงั้นสิ ทำให้บริษัทสูญเสียไป มาก เธอชดใช้ไหวเหรอ”
ไม่รู้ว่ากำลังคิดถึงอะไร ก็ลุกขึ้น และเดินไปรับโทรศัพท์
“มีอะไรไหม”
อีกฝั่ง จิ่งหนิงเม้มริมฝีปาก และพูด
“คุณนายจิง ผ่านไปหนึ่งวันหนึ่งคืนแล้ว เป็นยังไงบ้าง”
หวังเสว่เหมยหน้าขรึม และพูดอย่างเย็นชา: “แกไม่ต้อง โทรกลับมาเยาะเย้ยฉัน เกิดเรื่องจนมาถึงขั้นนี้ แม้ว่าตระกูล จึงจะอับอายขายขี้หน้า แต่ในฐานะคนของตระกูลจิ่ง แกเองก็ ขายขี้หน้าไปอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน!”
“งั้นเหรอ แต่ฉันรู้สึกประหลาดใจมากกว่า ว่าในความคิด ของของนายหญิงเนี่ย ฉันยังเป็นคนของตระกูลจิงอยู่!”
คำพูดเสียดสีนี้ ทำให้หวังเสว่เหมยเงียบลง
จนเกือบจะหลุดบางอย่างออกมา
แต่เธอกดมันไว้ และพูดเสียงขรึมว่า “แกต้องการจะพูด
อะไร”
“ก็ไม่มีอะไรหรอก ก็แค่มรดกที่แม่ฉันทิ้งไว้ เดิมทีต้องรอจนกว่าฉันจะแต่งงานก่อนถึงจะได้รับ และตอนนี้ฉันก็ แต่งงานแล้ว ดังนั้นคุณควรจะคืนมาให้ฉันได้แล้วใช่ไหม”
หวังเสว่เหมยกะพริบตาเล็กน้อย
เธอไม่ปฏิเสธ และถามต่ออย่างเย็นชาว่า : “แกต้องการ
เมื่อไหร่”
“ยิ่งเร็วยิ่งดี”
“เร็วที่สุดก็เป็นวันมะรืน ตอนนี้ทนายความรับรองไม่ใช่ เมืองจิ้น ฉันต้องการเวลาที่จะแจ้งให้เขาทราบ”
“ไม่มีปัญหา!”
การสนทนาก็จบลง และโทรศัพท์ก็เงียบลง
เมื่อจิ่งหนิงกำลังจะวางสาย ฝั่งตรงข้าง หวังเสว่เหมยก็ ถอนหายใจและพูดว่า
“จิ่งหนิง ฉันรู้ว่า ในช่วงห้าปีที่ผ่านมา ความขุ่นข้อง หมองใจของคุณที่มีต่อฉันและตระกูลจิ่งนั้นมีมากมาย และ ฉันยอมรับ ว่าเรื่องนี้ฉันไม่ได้คิดให้รอบคอบ
แต่อย่างไรก็ตามฉันก็เป็นย่าของแก พวกเขาก็เป็นพ่อกับ น้องสาวของแก แกจะเกลียดพวกเราก็ได้ เพราะมันเป็นเรื่อง ในครอบครัวตัวเอง แต่แกจะร่วมมือกับคนนอกเพื่อจัดการ กับพวกเราได้อย่างไรกัน”
จึงหนิงได้ฟังคำพูดเหล่านี้ ก็หัวเราะออกมา และพูดว่า
“นายหญิงจึง ตอนที่คุณขอให้เฉินหย่งตำมาทำร้ายฉัน คุณเคยคิดไหมว่าพวกเราเป็นครอบครัวเดียวกัน”
หวังเสว่เหมย: “.”
“ถ้าคุณจะหงายการ์ดความเป็นครอบครัวกับฉัน แล้วให้ ฉันพูดกล่อมลู่จิ่งเซินให้ปล่อยพวกคุณไป ขอโทษด้วยนะ ฉัน
ทำไม่ได้”
“แก!”
หวังเสว่เหมยหน้าแดงด้วยความโกรธ กัดฟันพูดเสียงต่ำ “นี่ก็เป็นมรดกของแม่แก! แกจะทนดูพวกมันถูกทำลายลงได้
จริงๆเหรอ”
จึงหนิงตอบด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“ในเมื่อคุณรู้ว่ามันเป็นของของแม่ฉัน คุณก็ควรส่งคืนมา ให้ฉัน! มิฉะนั้น ก็สู้กันจนพังทั้งสองฝ่าย ฉันจะไม่ปล่อยให้ พวกคุณอยู่อย่างมีความสุขแน่นอน!”
พูดจบ เธอก็ตัดสายทันที
หวังเสว่เหมยกุมหน้าอก หายใจถี่ด้วยความโกรธ และ หน้าซีดเผือด
จึงเสี่ยวหย่าเห็นดังนั้น ก็รีบเข้าไปพยุงเธอไว้ และเรียกด้วยความตกใจ! “คุณย่า โอเคไหมคะ”
หยูทั่วเหลียนก็รีบเข้าไปช่วยพยุงเธอให้มานั่งที่โซฟา
และเอายามาให้เธอกิน
สหน้าหวังเสว่เหมยก็ดีขึ้น
เธอยันไม้เท้าด้วยความโกรธ และพูดด้วยสีหน้าไม่พอใจ ว่า “นังเวรนี่!”
จึงเชี่ยวเต่อได้ยินสิ่งที่พูดกันทางโทรศัพท์ แล้วถามอย่าง เป็นห่วงว่า: “แม่ ตอนนี้เราควรจะทำยังไงดี”
หวังเสว่เหมยสายหัว สีหน้าดูเหนื่อยล้า และตอบ
“อย่ามาถามฉัน ตอนนี้ฉันก็ไม่รู้ ดูไปทีละขั้นก็แล้วกัน!”
อีกด้านหนึ่ง จึงหนิงที่หลังจากวางสายไป ก็อารมณ์ดีขึ้น
มาก
ทำมือนับเวลาว่าลู่จิ่งเซินคงใกล้จะถึงบ้านแล้ว เธอก็ลง ไปชั้นล่าง
ตอนนี้เป็นเวลาหกโมงเย็นแล้ว เมื่อเธอลงมาถึงชั้นล่าง ก็ เห็นรถโรลส์-รอยซ์คันสีดำจอดอยู่ที่สนามตรงทางเข้าพอดี
ซูมู่เปิดประตูรถให้เขา และชายคนนั้นก็เดินลงมาจากรถ แสงของพระอาทิตย์ตกดินในยามพลบค่ำส่องไปที่ด้านหลังของเขา แสงสีทองปกคลุมร่างเพรียวบางของเขา ดูราวกับ
เทพเจ้า
สู่จึงเดินถือเสื้อคลุมไว้ในอ้อมแขน เห็นเธอยืนอยู่ที่ประตู สวมชุดอยู่บ้าน ท่าทางดูเหมือนสะใภ้ตัวน้อย เขาก็ยิ้มขึ้นมา
“รอฉันเหรอ”
เขาเดินเข้ามาถาม และเอื้อมมือลูบหัวเธอ
จึงหนิงตัวแข็งเล็กน้อย ไม่คุ้นชินกับท่าทางผ่อนคลายและ วิธีปฏิบัติต่อกันที่ใกล้ชิดของเขาแบบนี้
เธอจึงถอยหลังหลีกไปเล็กน้อย และตอบ “ฉันออกมาดู
พระอาทิตย์ตกน่ะ”
สู่จิงเซินยิ้มกว้างขึ้น
ไม่ต้องเจาะระเบียงชั้นบนเธอก็สามารถชมพระอาทิตย์ตก ได้ และวิวก็สวยงาม และเห็นได้ชัดกว่ามาก
เขาเพียงแค่ยิ้มและลูบผมของเธอ และก้มตัวเพื่อเปลี่ยน
รองเท้า
หลังจากเปลี่ยนรองเท้าแตะแล้ว ก็จับมือเธอและเดิน เข้าไปข้างใน
ในห้องครัวอาหารเย็นถูกจัดเตรียมไว้แล้ว เนื่องจากเป็น อาหารมื้อแรกที่จึงหนิงทานในคฤหาสน์บ้านลู่ ตังนั้นจึงต้องจัดเตรียมอาหารไว้มากเป็นพิเศษ
Please enter a description
Please enter a price
Please enter an Invoice ID
เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ