วิวาห์หวาน นายซาตาน ที่รักของฉัน

บทที่150 เธอไม่เหมาะ



หลังจากที่ลู่หยั่นจือเข้าไปในออฟฟิศแล้วนั้นก็ เดินเข้าไปนั่งตรงโซฟาตัวหนังขาดตรงข้ามกับโต๊ะ ทํางานของเขา

หลินซูผ่านนั่งอยู่ด้านหลังโต๊ะทำงาน เหลือบ มองเขาแวบหนึ่งโดยไม่ได้พูดอะไรออกมา

ในมือเขานั้นไม่รู้ว่ากำลังขยับอะไรอยู่เคาะ คีย์บอร์ดดังแกร๊กแกร็กขึ้น ดูแล้วเหมือนจะกำลัง พิมพ์อยู่นั่นเอง

ลู่หยั่นจือเองก็ไม่ได้รบกวนเขา นั่งไขว่ห้างอยู่ ตรงนั้น แล้วจุดบุหรี่ให้ตัวเองขึ้นมาหนึ่งมวนแล้วรอ อยู่อย่างเงียบๆ

รอประมาณครึ่งชั่วโมง หลินซูผ่านถึงได้หยุด การเคลื่อนไหวลง เขาลุกขึ้นยืนแล้วเทน้ำใส่แก้ว “มาหาฉันมีอะไร? ว่ามาสิ”

เหลือบมองเขาที่มีน้ำเสียงไม่ได้มีความ เกรงใจเช่นนี้แล้ว ลู่หยั่นจือจึงรู้สึกโมโหขึ้นมาแล้ว เอ่ยขึ้น : “ฉันไม่มีธุระก็มาหาแกไม่ได้ใช่ไหม?” หลินซูผ่านยิ้มออกมาอย่างเยือกเย็น “แกไม่มี

ธุระก็คงไม่มาหาฉันหรอก”

ลู่หยั่นจือ “

ทั้งสองคนเป็นเพื่อนมหาวิทยาลัยเดียวกัน เป็น

เพื่อนสนิทกันตั้งแต่ตอนนั้น

ทั้งสองคนล้วนแต่เป็นคนที่มีความสามารถพิเศษทางด้านการประพันธ์ ในความเป็นเพื่อนกันนี่กั มีความชื่นชม งกันและกันอีกด้วย

เพียงแต่หากเทียบกับหลินซูผ่านแล้วนั้น ลู่ห ยื่นจือนั้นจะมีความปลิ้นปล้อนกว่าบ้าง ดังนั้นหลัง จากที่เข้าวงการมาแล้วจึงวนเวียนอยู่ในนี้ได้ดี ต่อมา ก็มีผลงานออกมา กลายเป็นหนึ่งในผู้กำกับที่มี อานาจในขณะนี้

ส่วนหลินซูผ่านนั้นกลับแตกต่างออกไป ตอนปี แรกๆนั้นเขามีโอกาส เพียงแต่เพราะนิสัยที่แข็งๆของ เขา ทำให้คนดังคนหนึ่งไม่พอใจเข้า หลังจากนั้นจึง ถูกแบนด์ออกจากวงการไป

หลายปีมานี้ถึงแม้จะมีลู่หยื่นจือคอยช่วยเหลือ อยู่ก็ตาม ก็ยังคงไม่สามารถหาโอกาสดีๆได้ ลู่หยั่นจือรู้นิสัยเพื่อนคนนี้ของตัวเองดี ดังนั้น จึงไม่ได้รู้สึกโกรธจริงๆ

เขาเอาข้อมูลที่อยู่ในมือโยนลงบนโต๊ะทำงาน พลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ทุ้มต่ำ : “นี่เป็นข้อมูลของ ทางฝ่ายผู้ลงทุนที่ต้องกรอก แกลองดูหน่อยแล้วกัน”

หลินซูผ่านเหลือบตาขึ้นมองแวบหนึ่ง แม้แต่ พลิกดูก็ไม่พลิกดูเลยเสียด้วยซ้ำ เพียงแค่ อืม ตอบ รับอย่างเย็นชา แล้วก็ไม่ได้เอ่ยพูดอะไรต่อ

ลู่หยั่นจือเห็นแล้ว จึงรู้สึกโมโหขึ้นมาทันที

“ฉันว่า ไอ้แซ่หลิน ฉันติดหนี้อะไรแกอย่างนั้น หรือ? ฉันเอาข้อมูลมาให้แกเอง แกยังมีท่าทางแทบ ไม่อยากจะมองเลยด้วยเสียอย่างนั้น นี่มันของสปอน เซอร์เลยนะ แกมีความกระตือรือร้นขึ้นมาหน่อยได้ไหม? ต้องรู้ว่าบทละครพังๆของแก อยากจะดึงการ ลงทุนมันยากขนาดไหนในใจแกเองก็รู้ดีไม่ใช่หรือ?” หลินซูผ่านถูกเขาด่าว่า แต่ก็ไม่ได้โมโห

เก็บเอาข้อมูลปีกนั้นขึ้นมาตรวจและพลิกดู หลังจากนั้น ราวกับทำภารกิจสำเร็จแล้วจึงเอา

วางทิ้งไว้ทางด้านข้าง

“ฉันรู้แล้วน่า เดี๋ยวท่าหรอก”

หนอ ..….…….

เขากลอกตามองอย่างเงียบๆ : “เอาล่ะ นิสัย แย่ๆของแกฉันเปลี่ยนแปลงมันไม่ได้ ฉันเองก็ไม่ได้ คาดหวังอะไรกับแก นักแสดงนำหญิงครั้งนี้ หัวเหยา ไม่ได้ถ่ายนะ แต่นักแสดงใหญ่อย่างนั้นไม่มาก็คง เป็นเรื่องปกติ ถ้ามารับงานนี่สิถึงจะแปลก ตอนนี้ฉัน ให้แกสองตัวเลือก ถ้าไม่รอต่อไป ก็เลือกจิ้งเสี่ยว หย่า แกเลือกเองเถอะ!”

หลินซูผ่านชะงักไปเล็กน้อย เปลือกตาที่ดูขี้ เกียจทั้งสองข้างนั้นขยับเล็กน้อย หลังจากนั้นก็ ยืนยันออกมาสองคํา

“รอต่อ!”

ลู่หยั่นจือโมโหเสียจนอยากจะหยิบเอาที่เขี่ย บุหรี่บนโต๊ะมาเขวี้ยงใส่เขาเสียจริงๆ

“รอ? แถรอได้หรือ? ทางฝ่ายลงทุนเขาถอนตัว ไปแล้วจะทำยังไง? แกจะไปดึงคนลงทุนได้ที่ไหน อีก?”

หลินซูผ่านไม่ได้พูดออกมา
ลู่หยั่นจือรู้สึกปวดหัว

นี่อยู่ในฐานะเพื่อนจริงๆนะ เป็นห่วงและกังวล เขาเหมือนเป็นพ่อของเขาเสียอย่างนั้น

เขาวางแผนอะไรไว้กันแน่?

ในที่สุด เขาก็ถอนหายใจออกมา แล้วพูดเกลี้ย กล่อม “ซูผ่าน ตลาดนี้มันโหดร้ายนะ แกพยายามจน ได้ทําบทละครออกมาได้แล้ว คงไม่อยากจะเห็นมัน เละคามือแกหรอกใช่ไหม? ข้อมูลหัวข้อนี้ใช้เวลา สองปีเห็นจะได้ หากต้องผ่านไปอีกสองปี ก็คงจะ ไม่มีคนดูจริงๆแล้วนะ ถึงตอนนั้นแล้วแกจะทำยังไง? คิดถึงความฝันของแกบ้างสิ แกจะยอมปล่อยเวลา ผ่านไปอย่างไร้ประโยชน์แบบนี้ไปตลอดชีวิตอย่าง นั้นหรือ? บางอย่าง ก็พอจะไปต่อได้ มันยากขนาด นั้นจริงๆหรือ?”

หลินซูผ่านได้ยินคำพูดเขาแล้ว ใบหน้าที่ ขมขื่นไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆนั้นก็นับว่ามีการขยับ ขึ้นมาบ้างแล้ว

เขาเงยหน้าขึ้นมา แล้วมองไปยังลู่หยั่นจือ ริม ฝีปากบางๆที่แหลมเหมือนกับใบมีดซ่อนอยู่ภายใต้ หนวดเคราที่รุงรังนั้น ผ่านไปซักพักหนึ่งถึงได้เปิด ออก

“คน เปลี่ยนได้ แต่ต้องไม่ใช่จึ่งเสี่ยวหย่า” ลู่หยั่นจือแบมือออกอย่างไม่เข้าใจ “ทำไม?” “เธอไม่เหมาะ”

“แล้วใครกันที่เหมาะ?”
“ไม่รู้”

“แก–!”

ลู่หยั่นจือแทบจะกระโดดขึ้นมาจากโซฟาด้วย ความโมโหอยู่แล้ว เขาประคองศีรษะของตัวเองเอา ไว้ พลางส่ายหน้า

“ช่างเถอะ แกจะยืนหยัดแบบนี้ ถ้าอย่างนั้นแก ก็ยืนหยัดต่อไปก็แล้วกัน ฉันจะดูว่าถึงตอนนั้นแล้วส ปอนเซอร์หนีไปหมด แล้วแกจะทำยังไง! ”

ว่าแล้ว ก็หยิบเอาเสื้อผ้าออกไปด้วยความ โมโห

แต่กลับคิดไม่ถึง เท้าที่ยังไม่ทันได้ก้าวพ้น ประตูออกไปนั้น ทางด้านหลังก็มีเสียงแข็งๆของหลิน ซูฝานดังขึ้นเสียก่อน

“เอาคอมพิวเตอร์แกมาให้ฉันยืมหน่อยสิ”

ลู่หยั่นจือว่าเขากลับไปด้วยความโมโห “ไม่ให้ แกไม่มีคอมพิวเตอร์รึไง? ถึงต้องมาใช้ของฉัน?”

“ของฉันเสียแล้ว”

เขาว่าแล้วก็เอาหน้าจอคอมพิวเตอร์หันมาทาง

เขา

เห็นเพียงแค่จอดำๆของหน้าจอที่ไม่รู้ว่าใช้มีกี่ ปีแล้วเครื่องนั้น ปรากฏรหัสยาวๆชุดหนึ่งอยู่ด้านบน

ลู่หยั่นจือถึงได้รู้ ว่าเสียงแกร๊กแกรักของเขา เมื่อครู่นี้ คงจะไม่ใช่เป็นการพิมพ์ตัวอักษร แต่กำลัง เคาะรหัสพวกนี้อยู่นั่นเอง
เขาโมโหเสียจนไม่รู้จะพูดอะไรดี ไปที่เขา ด้วยท่าทางที่ หวังจะให้เขา

ได้ “แกว่าฉันจะพูดยังไงกับแก ? ถ้าหากแกยอม ก้มหัวลงมาบ้าง ตอนนี้แม้แต่ละครแค่เรื่องเดียวจะ ถ่ายทำไม่เสร็จอย่างนั้นหรือ? ถ้าหากแกยอมเปลี่ยน ไอ้นิสัยหัวดื้อของแกบ้าง ตอนนี้แม้แต่คอมพิวเตอร์ เครื่องนึงแกจะซื้อไม่ได้เลยหรือ? น่าจะเผา…ไอ้พวก ที่ไม่รู้จักชั่วดีไปเสียเลย!”

หลินซูผ่านหัวเราะ แต่ก็ไม่ได้เอาคำพูดของ เขามาใส่ใจ

แต่กลับบิดขี้เกียจแล้วเอ่ยพูดขึ้นอย่างเรียบๆ “อย่าลืมให้คนเอาคอมพิวเตอร์มาให้ด้วยล่ะ ฉันต้อง ใช้ก่อนสี่โมง”

ว่าแล้ว ก็เดินกรีดกรายออกไปจากตรงหน้า

เขา

ลู่หยั่นจือมีความคิดที่อยากจะพุ่งเข้าไปจับเขา พับแล้วโยนออกนอกหน้าต่างไปเสียเลย!

แต่บ่ายสี่โมงเย็น คอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊คเครื่อง ใหม่ก็ถูกส่งมาที่ออฟฟิศของหลินซูผ่านอย่างตรง เวลา

ลู่หยั่นจือเอ่ยขึ้นมาอย่างร้ายกาจในโทรศัพท์ มือถือ : “ซูฝาน นั่นไม่เพียงเป็นคอมพิวเตอร์เครื่อง ใหม่ที่ฉันเพิ่งซื้อมานะ ยังให้เขาประกอบให้ขึ้นมา โดยเฉพาะอีกด้วย! แพงมาก! แกใช้ก็ระวังๆหน่อย แล้วกัน! ถ้าหากใช้พังหรือว่าลบข้อมูลอะไรไปโดย ไม่ทันได้ระวัง ฉันจะเอากล้วยไม้สุดที่รักของแกไปเผาให้หมด!

หลินซูฝานยังคงหัวเราะเช่นเดิม โดยขี้เกียจ จะตอบกลับเขาไป หลังจากที่ได้คอมพิวเตอร์แล้วจึง เริ่มทํางานของตัวเอง

เขาเอาคลิปวิดีโอย้ายมาจากฮาร์ดดิสก์เพื่อลง ในเครื่องใหม่ก่อน แล้วเปิดไฟล์หนึ่งขึ้นมาอย่างได้ ตั้งใจ เห็นเพียงแค่ว่าด้านในนั้นเป็นคลิปวิดีโอคลิป หนึ่ง

การโอนข้อมูลมานั้นต้องใช้เวลา รออยู่เฉยๆก็ น่าเบื่อ จึงคลิกเปิดดูไปเรื่อยๆ

คาดไม่ถึงว่า คลิปนั้นเพิ่งจะเล่นก็ทำให้เขา รู้สึกตกตะลึงอยู่ตรงนั้นแล้ว

เห็นว่าเป็นคลิปการแสดงบนเวทีช่วงหนึ่ง

เห็นฉากและอุปกรณ์ข้างๆแล้วคงจะเป็นการ ลองถ่ายทํา

ในฉากนั้น มีผู้หญิงคนหนึ่งที่สวมใส่ชุดเกราะสี ดำ และมีพู่สีแดงอยู่บนศีรษะยืนอยู่ตรงนั้น หอกยาว หนึ่งเล่มกับร่างที่ดูแข็งแกร่ง คิ้วที่ได้รูปคมชัด ดวงตาที่มีความทุกข์ ไม่ได้มีการเคลื่อนไหวใดๆ สามารถพรรณนาถึงความองอาจ ได้แล้ว

บนเวทีสูง ผู้หญิงคนหนึ่งที่สวมชุดในวังเอ่ยพูด ขึ้นด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ : “เจ้ามาแล้ว!”

เธอเงยหน้าขึ้นมาเล็กน้อย ดวงตามองทั่วทุก สารทิศ ลักษณะที่มองด้วยความดูถูก เมื่อยกหอกขึ้น มา ก็มีเสียงโยนลงไปที่พื้น“ใช่ ข้ามาแล้ว!”


เพื่อการอัปเดตบทที่เร็วขึ้น กรุณาบริจาคสำหรับเว็บไซต์เพื่อซื้อบทใหม่! ขอขอบคุณ
THB

เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ