วิวาห์หวาน นายซาตาน ที่รักของฉัน

บทที่ 1040 หิมะพัดลอยในทะเลทราย



บทที่ 1040 หิมะพัดลอยในทะเลทราย

จิ่งหนึ่งก้มตัวลงกำหิมะขึ้นมา ยิ้มว่า “ฉันเพิ่งเคยเห็นหิมะใน ทะเลทรายครั้งแรก ฉันจะรอดูว่ามีอะไรไม่เหมือนที่นั่น

ลู่จึงเป็นเห็นแล้วก็ลากเธอขึ้นมา ปาดหิมะในมือเธอออก สีหน้าเคร่งและพูดว่า “อย่าโหยกเหยก ระวังหนาวจนไม่สบายย นะ”

จึงหนิงรู้สึกว่าตอนนี้ผู้ชายคนนี้ยุ่งกับเธอมากเกาไปแล้วจริงๆ

นี่ก็ห้ามจับ นั่นก็ห้ามจับ ทำอย่างกับเธอเป็นตุ๊กตาเต้าหู้ และ นิดแตะหน่อยก็จะแตกสลายอย่างนั้น

เธออดรู้สึกฆ่าและรำคาญนิดหน่อยไม่ไว้ “ฉันไม่เป็นอะไร หรอก คุณอย่าตื่นเต้นเกินไปเลย

ขณะที่พูดอยู่ยังคงยื่นมือออกไปรับเกล็ดหิมะมาอีกหลายเกล็ด

เกล็ดหิมะนั้นโดนมือก็ละลายแล้ว ความหนาวเย็นละลายอยู่ ตรงปลายเท้า ก็มีความรู้สึกอีกแบบหนึ่งเช่นกัน

ลู่วิ่งเซินเห็นแล้วก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี

เอาเธอไม่อยู่ สุดท้ายก็ได้แต่ปล่อยเธอไป

จิ่งหนิงเล่นหิมะได้สักพัก ไม่รู้เหมือนกันว่าอานอานก็ออกมา ตั้งแต่เมื่อไหร่แล้ว

วันนี้เธอห่อผ้าพันคอไว้ ใส่เสื้อนวมกันหนาวขนสัตว์สีขาวไว้บนตัว ทั้งคนดูเหมือนเป็นลูกข้าวเหนียวก้อนน้อยๆ ถึงแม้หน้า เล็กอันใสสะอาดยังไม่ได้เติบโตอย่างเต็มที่ แต่กลับสามารถมอง ออกความรู้สึกของสาวงามจากคิ้วตาอันสวยงามนั้นแล้ว

เธอก็เรียนแบบวิ่งหนึ่งถือหิมะในกำมือขึ้นมายิ้มเล่น

เหล่าคนใช้ที่อยู่ตรงไม่ไกล ตอนแรกที่เห็นพวกเขาออกมายัง รู้สึกตื่นเต้นอยู่

กลัวจะถูกพวกเขาเห็นตัวเองเล่นอยู่ตรงนี้จะถูกด่าว่า แต่ตอนนี้เห็นพวกเขาแล้วกลับไม่เพียงแค่ไม่ได้ด่าว่าพวกเขา แต่ตัวเองกลับเล่นด้วยคนแล้ว ทุกคนต่างหัวเราะขึ้นมาด้วยกัน

ถึงอย่างไรจึงหนิงก็ยังตั้งครรภ์อยู่ มีลู่จึงเป็นอยู่ข้างๆ ก็ไม่ อนุญาตให้เธอเล่นนานเกินไป

ดังนั้นก็แค่เวลาไม่กี่นาทีก็ถึงเธอเข้าบ้านแล้ว

แน่นอนว่าอานอ่านก็ถูกดึงเข้าไปแล้วเช่นกัน

เมื่อกลับเข้ามาในห้องนอน อุณหภูมิก็กลับมาสูงขึ้นทันที หลัง จากกี่คนนี้นั่งลงอยู่บนโซฟาแล้ว จึงเป็นเอามือน้อยของเธอไว้ ในฝ่ามือถูไปถูมา จึงจนมือของเธออุ่นขึ้นมานิดหนึ่ง

อานอานเห็นแล้วก็มาเข้าใกล้ เอาสองมือของตัวเองยัดเข้าไป ในอ้อมแขนของลู่จิ่งเซิน

“แด๊ดดี้ หนูก็อยากเอาแบบนี้

ลู่จิ่งเซินจำใจได้แต่ปล่อยให้เธอเอามือเย็นๆ ไว้ในอ้อมแขนของตัวเอง

โมไฉ่เวยยิ้ม“หิมะไม่อะไรน่าเลย แต่ที่มีภูเขาลูก หนึ่ง ปกตินั่นลมแรงและปลิวเดี๋ยวทานข้าวเที่ยงเสร็จ พวกเธอรู้สึกสนใจ เราสามารถด้วยกันหน่อย”

จึงหนิงได้ยินดังนั้น รอหลังจากทุกทานข้าวเที่ยงตอนเที่ยงเสร็จออกบ้านแล้ว

มาถึงตีนดอยแล้ว เห็นว่าหิมะนี่หนักกว่า ยิ่งกว่าปิดทางเขาไว้แน่นเลย

คนกลุ่มหนึ่งได้แต่จำใจกลับ

ตอนที่กลับมา จึงหนิงจู่ก็นึกขึ้นมาได้ออกได้ของอะไรเลย

ไหนๆ ออกมาแล้ว พวกอยู่ไม่นาน อีกไม่กี่คงต้อง กลับไปแล้ว เพราะฉะนั้นถ้าเลือกหนึ่งก็เอาวันเลยกว่า วันนี้ก็จะไปซื้อของขวัญจะเอากลับไปเรียบร้อย

วิ่งเซินมีปัญหา ดังนั้นคนกลุ่มหนึ่งจึงไม่กลับบ้านต่อ แต่คือเดินทางห้าง

เมื่อเข้าไปห้างสรรพสินค้า วิ่งหนึ่งซื้อของตัวเองได้ เลือกซื้อของเล็กเอากลับ ง่าย
ไม่ใช่ว่าเธอไม่กล้าใช้เงิน แต่คือครั้งนี้เธอออกมาเพื่อซื้อของ ขวัญให้คนที่บ้าน เนื่องจากท่านย่าพวกเขาไม่ได้มาที่นี่ ยังไงก็ ต้องซื้อของกลับไปให้บ้าง

แต่ถ้าซื้อเยอะแล้วเอาไว้ที่นี่ โม่ไฉ่เวยพวกเขาก็ไม่ต้องการ เอากลับไปก็ยุ่งยาก อย่างนั้นก็เปลืองมากเลยไม่ใช่เหรอ

ถึงแม้ตระกูลมีธุรกิจอันใหญ่หลวง แต่ระเบียบของครอบครัว

ดีสุดๆ มาตลอด

ปกติจิ่งหนึ่งเพื่อที่จะสั่งสอนลูกๆ ก็ให้พวกเขาต้องขยันและ ประหยัดมาโดยตลอด ห้ามตั้งใจสิ้นเปลืองเพราะที่บ้านร่ำรวย เด็ดขาด

ยังดีที่ทั้งอานอานกับจิ้งเจ๋อน้อยเป็นเด็กที่เข้าใจง่ายมาก และ ยังเติบโต ในบรรยากาศแห่งความรักด้วย ดังนั้นด้านนี้ทำได้ดี มาก

คนกลุ่มหนึ่งหลังจากซื้อของเสร็จแล้ว เห็นว่าเวลายังเช้าอยู่จึง ไม่รีบกลับไป แต่คือหาสถานที่ทิวทัศน์ดีมาก ชมหิมะชมทิวทัศน์ ไปด้วย ทานอาหารว่างยามบ่ายไปด้วย

ตอนที่ทานอาหารว่างยามบ่ายอยู่ จู่ๆ เชาก็ได้รับสายจากคน หนึ่ง

ไม่รู้เหมือนกันว่าอีกฝ่ายเป็นใคร อะไรในมือถือ เห็นแต่ สีหน้าของเขามีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย

หลังจากวางสายลงแล้วก็พูดกับโม่ไฉ่เวยว่า “ห้องทดลองฝั่งนั้นเกิดเรื่องนิดหน่อย ผมจำเป็นต้องไปรอบหนึ่ง

ไม่ได้เลยเข้าใจคนมาโดยตลอด เห็นแล้วจึงเป็นห่วงมากว่า “เป็นเรื่องที่หนักมากเหรอ ยุ่งยากไหม

“ตอนนี้ยังไม่แน่ใจ

เซวซูพูดไปด้วย ลุกขึ้นไปด้วย ดูไปที่วิ่งหนึ่งกับลู่จึงเป็น

“พวกคุณเที่ยวต่อเลย ผมยังมีธุระ ขอตัวไปก่อนนะ

วิ่งหนึ่งพยักหน้า ทีนี้ไม่ไฉ่เวยจึงเป็นห่วงว่า “งั้นคุณไปดีๆ นะ อย่าลืมตอนเย็นกลับมาทานข้าวเช้าหน่อย

“รู้แล้ว”

เชวซูพูดจบก็ไปแล้ว

จิ่งหนึ่งมองด้านหลังที่เขาจากไป ถามว่า “แม่ ในห้องทดลอง ของคุณอาเซวทำการวิจัยเกี่ยวกับอะไรเป็นหลักเหรอ”

ไม่ไฉ่เวยยิ้ม “ฉันก็ไม่ค่อยรู้รายละเอียดสักเท่าไหร่ แต่ก็คือ เกี่ยวกับพยาธิวิทยา เชื้อโรคอะไรพวกนั้นน่ะ

จิ่งหนิงพยักหน้า

“เมื่อก่อนฉันก็เคยได้ยินมาว่ามีหมอผีคนหนึ่งทักษะทางการ แพทย์ที่ยอดเยี่ยม บนโลกนี้ไม่มีโรคที่ท่านรักษาไม่ได้ ตอนนั้น ยังคิดอยู่ว่าเสียดายแล้วที่คนอย่างนี้อาศัยอยู่อย่างสันโดษ อยากจะหาก็หาไม่เจอ ตอนนี้เพิ่งรู้ว่าคนนั้นก็คือคุณอาเซว ต้อง บอกเลยว่าเรื่องพรหมลิขิตมันมหัศจรรย์จริงๆ
ไม่ได้เลยก็อุทานว่า “ก็ใช่ จริงๆ แล้วฉันก็รู้สึกขอบคุณมาก ที่ได้พบกับเขา ถ้าไม่ใช่เขา ฉันอาจจะเสียชีวิตเมื่อสิบปีก่อนแล้ว ก็ได้ จะมามีทุกวันนี้ได้ยังไง”

สองคนพูดคุยไปด้วย ดื่มชายามบ่ายไปด้วย จนถึงใกล้จะหกโมงเย็นถึงออกไปจากร้านน้ำชา ตอนออกไป โมไฉ่เวยได้รับสายที่เซวซูโทรมาอย่างกะทันหัน

ในมือถือ น้ำเสียงของเซวซูฟังดูตื่นเต้นมาก

“ไฉ่เวย จิ่งหนิงกับลู่วิ่งเซินยังอยู่กับคุณอยู่ไหม”

โมไฉ่เวยตะลึง หันหลังดูจิ่งหนึ่งกับลูจึงเป็นแวบหนึ่ง ถามว่า “อยู่นิ ทำไมเหรอ” โม่ไฉ่เวยอึ้ง หันหลังมองจึงหนิงกับลู่จึงเป็นแวบหนึ่ง ถามว่า

“อยู่ตรงนี้อยู่ ทำไมเหรอ”

“คุณให้เขาสองคนกลับไปบ้านรอผม ผมจะรีบกลับไป มีข่าวดี จะบอกเขาสองคน”

เชวซูพูดจบก็วางสายลงเลย

เนื่องจากยืนอยู่ใกล้กัน จริงๆ แล้วตอนที่ไม่ไฉ่เวยคุยโทรศัพท์ เมื่อกี้ จึงหนิงก็ได้ยินเนื้อหาในโทรศัพท์แล้ว

ดังนั้น ขณะนี้ยกคิ้วและถามว่า “คุณอาเซวมีเรื่องหาพวกเรา เหรอ”

โมไฉ่เวยพยักหน้า แต่ก็งงเหมือนกัน
“เขาก็ไม่ได้บอกในมือถือชัดเจนว่าเป็นเรื่องอะไร แต่ฟังจาก น้ำเสียงของเขา เหมือนจะเป็นเรื่องดีนะ”

จิ่งหนึ่งยิ้มพูด “ถ้าเป็นเรื่องดี งั้นเราก็รีบกลับไปเถอะ ไม่แน่ อาจจะมีข่าวดีอะไรกำลังรอเราอยู่นะ”

ไม่ไฉ่เวยพยักหน้า

ดังนั้น คนกลุ่มหนึ่งถึงขึ้นไปนั่งลงและขับรถกลับบ้าน

เมื่อกลับมาถึงปราสาท ก็เห็นเชวกลับมาถึงแล้ว

กี่คนนี้เข้าไปในประตูก็เห็นชายวัยกลางคนที่ไม่คุ้นเคยนั่งอยู่ บนโซฟาในห้องรับแขก


เพื่อการอัปเดตบทที่เร็วขึ้น กรุณาบริจาคสำหรับเว็บไซต์เพื่อซื้อบทใหม่! ขอขอบคุณ
THB

เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ