วิวาห์หวาน นายซาตาน ที่รักของฉัน

บทที่ 915 พบความผิดปกติ



บทที่ 915 พบความผิดปกติ

เธอยกมือขึ้น พร้อมกับเหยียดแขน เหยียดขาขณะเดินไปด้วย ขณะที่เธอยืดเส้นยืดสาย เธอก็พูดว่า “ก็ดีนะ ไม่ได้รู้สึกอะไร เป็นพิเศษ”

จิ่งหนึ่งพูดขึ้นว่า “ฉันได้ยินกู้ซื้อเฉียนพูดว่า เมื่อคืนคุณหมอบ อกว่าร่างกายของคุณยังมีฤทธิ์ยานอนหลับตกค้างอยู่ น่าจะใช้ เวลาสองสามวันกว่าจะขับมันออกไปหมด”

“แบบนั้นเหรอ?” เธอคิดไปคิดมา ก่อนจะยิ้มขึ้น “อาจจะใช่ แหละ แต่ฉันก็ไม่ได้รู้สึกว่ามีอะไรพิเศษกว่าเดิม แค่รู้สึกง่วง แล้ว ก็อยากนอนตลอดเวลา”

“งั้นก็คง ใช่”

จิ่งหนิงพูด ก่อนจะชะงักไป แล้วถามขึ้นว่า “ใช่สิ ฉันยังไม่ได้ ถามเธอเลย ช่วงที่เธอถูกพวกมันขังไว้ พวกนั้นไม่ได้รังแกอะไร เธอใช่ไหม? เธอถูกขังไว้ในนั้นตลอดเวลาเลยเหรอ?”

ในตอนที่กู้ซื้อเฉียนไปช่วยเธอ เขาก็โทรมาเล่าสถานการณ์ คร่าว ๆ ให้ลู่วิ่งเซินกับจิ่งหนึ่งฟัง

อย่างแรกคือขอให้พวกเขาช่วยเตรียมหมอที่บ้านไว้ให้ทันที ส่วนอีกอย่างคือกู้ซื้อเนียนบอกพวกเขาว่า ประสบการณ์ที่พวก เขามีนั้นไม่น้อยไปกว่าตัวเอง เขากลัวว่าคนพวกนั้นอาจจะใช้วิธี การบางอย่างจัดการกับเฉียว เขาอาจจะไม่ทันสังเกตเห็น แต่แค่ได้บอกพวกเขาไว้ ก็อาจจะพอเป็นหลักประกันไว้ได้บ้าง เพราะงั้น จึงหนิงก็เลยได้รู้ว่าตอนนั้นเฉียวฉีถูกช่วยออกมา จากห้องแปลก ๆ

เฉียว พอได้ยิน ก็ตอบกลับไปว่า “ไม่มีใครรังแกอะไรนะ แต่ ฉันก็จําไม่ค่อยได้ เหมือนจะ….ไม่มีแหละ”

จิ่งหนึ่งเห็นท่าทีขมวดคิ้วครุ่นคิดของเธอ ก็รู้สึกแปลกใจ

“จำไม่ได้? ทำไมถึงไม่ได้ล่ะ?”

เฉียวฉีส่ายหน้าไปมา

“ฉันก็ไม่รู้”

เธอพูดขึ้น ราวกับอยู่ ๆ ก็รู้สึกเหมือนกับร่างกายของเธอมี อะไรไม่ถูกต้อง เธอจับไปที่หัวแล้วเขย่าเบา ๆ

“จะว่าไปแล้ว ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม ตั้งแต่กลับมาก็รู้สึก ตลอดเลยว่า ในหัวมันสับสนวุ่นวาย เหมือนเลอะเลือนอยู่เรื่อย เลย”

จิ่งหนิงขมวดคิ้วด้วยความเป็นห่วง

“รู้สึกไม่สบายมากรึเปล่า? นอกจากเลอะเลือนแล้ว ยังมี อาการอะไรอีกไหม?”

“อาการอื่น ๆ ….ก็ไม่มีนะ

เธอพูดขึ้น แล้วอยู่ ๆ ก็หยุดเดิน
จิ่งหนิงเองก็หยุดเดินเช่นกัน ทันใดนั้นสีหน้าของเดียวก เปลี่ยนเป็นสีขาวซีด ก่อนที่เธอจะเอามือกุมไว้ที่หัว จากนั้นก็ คุกเข่าลงไปด้วยท่าทางเจ็บปวด

จิ่งหนึ่งตกใจขึ้นมาทันที

และเพราะว่าตกใจ แม้แต่เชือกในมือเธอก็ปล่อยออก สุนัขทั้ง สองตัวจึงวิ่งไล่กันออกไปด้านหน้าทันที

ตอนนี้เธอไม่สนใจที่จะไล่ตามสุนัขแล้ว จึงหนึ่งคุกเข่าลงอย่าง ร้อนรน พร้อมกับถามขึ้นว่า “เฉียว เกิดอะไรขึ้น? คุณไม่เป็น อะไรใช่ไหม?”

เฉียว ไม่ได้ตอบอะไร เธอเม้มริมฝีปากตัวเองแน่น สองมือกุม อยู่ที่หัว ใบหน้าของเธอขาวซีดไร้ร่องรอยของสีเลือด

เมื่อจิ่งหนิงเห็นดังนั้น เธอก็ยิ่งตื่นตระหนก

“เฉียว คุณอย่ามาทำให้ฉันตกใจนะ คุณไม่สบายตรงไหน?” เธอพูดขึ้น พร้อมกับควักโทรศัพท์ออกมา เพื่อโทรหากู้ซื้อ

เฉียน

แต่ยังไม่ทันที่จะได้กดโทรออก เธอก็ถูกเฉียวฉียงมือเอาไว้เสีย

ก่อน

จากนั้นก็ได้ยินเสียงเธอพูดอย่างอ่อนแรงว่า “ฉันไม่เป็นไร อย่าบอกเขานะ”

จิ่งหนึ่งหยุดการกระทําของเธอไปชั่วขณะ พร้อมกับขมวดคิ้วมองเฉียว

ผ่านไปสักพัก เจียวก็ค่อย ๆ ผ่อนคลายลง

ขณะนี้ เหงื่อเย็น ๆ แผ่กระจายอยู่เต็มหน้าผากเธอ ร่างของเธอ ทั้งร่างดูอ่อนแรงราวกับว่าเธอเพิ่งถูกอุ้มขึ้นมาจากน้ำ

เธอมองไปที่วิ่งหนึ่ง ก่อนจะบอกว่า “ฉันไม่เป็นไร คุณไม่ต้อง

เป็นห่วง”

จิ่งหนึ่งยังคงขมวดคิ้วแน่น พร้อมกับค่อย ๆ ประคองเธอลุกขึ้น “สรุปแล้วนี่มันเรื่องอะไร? เมื่อครู่คุณ…..

เธอตอบเสียงเรียบว่า “ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะอะไร ตั้งแต่เมื่อ คืนวานจนถึงวันนี้ อยู่ ๆ ฉันก็มีอาการปวดหัวขึ้นมาเป็นครั้งคราว แต่ว่าเวลาปวดแต่ละครั้งมันก็ไม่ค่อยนาน แค่ต้องปล่อยให้มัน ค่อย ๆ คลายไปเอง แค่นี้ก็ไม่เป็นไรแล้ว

ขณะที่พูด เฉียวฉีก็สังเกตเห็นใบหน้าที่เป็นกังวลของสิ่งหนึ่ง เธอเลยรีบยิ้มให้วิ่งหนึ่งอย่างอ่อนแรง

“คุณไม่ต้องห่วงหรอก เมื่อคืนวานคุณหมอก็มาตรวจร่างกาย ให้ฉันแล้ว ร่างกายของฉันไม่มีอะไรผิดปกติ ฉันเดาว่าอาการ ปวดหัวนี้ น่าจะเป็นผลมาจากการใช้ยาเกินตั้งแต่ก่อนหน้านี้ เท่านั้น พอผ่านไปสักพัก ยาถูกขับออกไปจนหมดแล้วอาการฉัน ก็คงจะดีขึ้น”

จิ่งหนิงไม่รู้ว่าสิ่งที่เธอพูดนั้นจริงรึเปล่า แต่เธอก็เลือกที่จะไม่ บอกกู้ซื้อเนียน เธอในตอนนี้จะเพิกเฉยต่อความต้องการของคนอื่นได้ยังไง

ดังนั้น จึงหนิงจึงพยักหน้ารับ ก่อนจะพูดขึ้นอย่างเป็นห่วงว่า “เรื่องนี้จะละเลยไม่ได้ ฉันว่าคุณขอให้คุณหมอมาตรวจให้อีก รอบดีกว่าไหม?”

เฉียวฉีคิดไปคิดมา แล้วตอบว่า “ได้ งั้นตอนบ่ายค่อยเรียก คุณหมอมาตรวจ

พอเห็นเธอรับปาก จึงหนึ่งถึงจะวางใจได้

ทั้งสองคนค่อย ๆ เดินต่อไปข้างหน้าอีกครั้ง

พอเดินรอบสอนดอกไม้ไปได้สักพัก สองสาวจากที่ไม่ค่อยคุ้น เคยกัน ตอนนี้ทั้งคู่สนิทสนมกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

มิตรภาพระหว่างหญิงสาว มักจะรวดเร็วกว่ามิตรภาพระหว่าง ชายหนุ่มเสมอ ในช่วงเวลาสั้น ๆ เพียงไม่กี่ชั่วโมง ทั้งคู่ก็ดู เหมือนเพื่อนสนิทที่พร้อมจะคุยกันได้ทุกเรื่อง

อันที่จริง อาจเป็นเพราะทั้งสองมีบุคลิกที่คล้ายกันด้วย ซึ่งเป็น คนประเภทที่เห็นอะไรก็พูดไปอย่างนั้น ทั้งตรงไปตรงมาแล้วก็ไม่ โอ้อวด

ดังนั้น ถึงแม้พวกเขาจะเพิ่งรู้จักกัน แต่เวลาที่อยู่ด้วยกันกลับ เหมือนได้เจอเพื่อนเก่าที่ไม่ได้พบกันนาน

พอถึงตอนที่ทานข้าวกลางวัน ทั้งคู่ก็อยู่ด้วยกันตามปกติ กู้ซือเฉียนกับลู่จิ่งเซินสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจนเลยว่าความสัมพันธ์ของทั้งคู่ดีกว่าก่อนหน้านี้มาก พวกเขาจึงพากันอดยิ้มไม่ ได้

หลังจากทานข้าวเสร็จ สิ่งหนึ่งที่เคยชินกับการนอนกลางวัน ก็ ดึงลู่วิ่งเซินกลับห้องทันที

ส่วนเฉียว ที่ก่อนหน้านี้นอนไปเยอะแล้ว ตอนนี้เธอเลยดูมี ชีวิตชีวาขึ้น ทำยังไงก็นอนไม่หลับ

พอดีกับที่ช่วงนี้เธอไม่ค่อยรู้เรื่องที่เกิดขึ้นในปราสาทสักเท่าไร ก็เลยขอให้กู้อเนียนเข้ามาเล่าให้เธอฟังหน่อย

เมื่อเช้าวันนี้ตอนที่เธอตื่นขึ้นมา ซึ่งหนึ่งเข้ามาเล่าให้เธอฟังถึง เรื่องที่เกิดขึ้นแค่คร่าว ๆ เท่านั้น ส่วนรายละเอียดต่าง ๆ เธอก็ยัง ไม่รู้

ดังนั้น เธอจะต้องถามเขาให้ชัดเจน

เดิมทีกู้ซือเฉียนก็ไม่ค่อยอยากจะพูด แต่พอเห็นเธอตั้งมั่นแล้ว ว่าจะฟัง เขาก็เลยทำได้แค่ตามเข้ามาอย่างจนปัญญา

เขาไม่มีอะไรต้องปิดบังเธออยู่แล้ว เพราะทั้งคู่เติบโตมาด้วย กัน ทั้งยังรู้จักนิสัยใจคอของกันดีเกินไป ดังนั้น เพื่อหลีกเลี่ยง ความไม่สบายใจแล้วก็ความเข้าใจผิดมากมายที่ไม่จำเป็น

หลาย ๆ เรื่อง ถ้าพูดออกมายังไงก็ดีกว่าไม่พูด เพราะสุดท้าย แล้ว ถ้าพูดออกมาอีกฝ่ายก็อาจจะแค่กลัวสิ่งที่จะเกิดหลังจากนั้น แต่ถ้าไม่พูดอะไรเลย อีกฝ่ายก็จะจะคิดแล้วก็เป็นกังวลตลอด เวลา จนสุดท้ายมันอาจจะก่อให้เกิดการเข้าใจผิดกันได้
เขาเล่าเรื่องออกมาด้วยท่าทีนิ่งสงบ ส่วนเฉียวที่อยู่อีกฝั่งก็ นั่งฟังด้วยความสงบเช่นกัน

เธอเติมซาให้เขาบ้างบางครั้ง ก่อนจะรินชาให้ตัวเองด้วย ซึ่งก็ ใช้เวลากว่าครึ่งชั่วโมงกว่าเขาจะเล่าเรื่องทุกอย่างเสร็จ

กู้ซื้อเนียนขมวดคิ้วมองเธอ พร้อมกับพูดว่า “คร่าว ๆ ก็ ประมาณนี้ล่ะ ก่อนหน้านี้คุณยังไม่กลับมา พวกเราก็ทั้งห่วงหน้า พะวงหลัง ตอนนี้คุณกลับมาแล้ว สถานการณ์ต่าง ๆ ก็ชัดเจนขึ้น คุณไม่ต้องห่วงนะ ไม่ว่าจะเป็น กลุ่มชาวจีนหรือตระกูลหนาน ใครก็ตามที่กล้ามารังแกคุณ ผมจะเอาคืนพวกเขาทีละคน จะไม่มี ทางปล่อยพวกมันไปง่าย ๆ แน่

เธอมองไปยังชายหนุ่มกับท่าทางที่ให้คำมั่นต่อตัวเอง ให้ ความรู้สึกเหมือนกับเห็นภาพในอดีตที่ผ่านมานาน ตอนเธอยัง เป็นเด็กเธอถูกรังแกอยู่ข้างถนน ก่อนที่จะมีเด็กผู้ชายคนหนึ่งพุ่ง เข้ามาผลักอกอีกฝ่ายพร้อมกับให้คำมั่นว่าจะเอาคืนที่คนที่รังแก เธอ

เธออดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา ในใจรู้สึกอบอุ่นอย่างพูดไม่ถูก “ฉันรู้ แต่เรื่องที่เกิดครั้งนี้ มันกลายเป็นเรื่องใหญ่เกินไป ฉัน รู้สึกเป็นห่วงนิดหน่อย…….

กู้ซือเฉียนเอื้อมมือมากุมมือเธอไว้


เพื่อการอัปเดตบทที่เร็วขึ้น กรุณาบริจาคสำหรับเว็บไซต์เพื่อซื้อบทใหม่! ขอขอบคุณ
THB

เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ