วิวาห์หวาน นายซาตาน ที่รักของฉัน

บทที่ 275 ฆ่าปิดปาก



บทที่ 275 ฆ่าปิดปาก

“คุณ! กวนเสวีเฟย คุณมันอำมหิต คุณก็เป็นได้แค่ ลูกสาวในนามของตระกูลกวนเองไม่ใช่หรือไง? ของ ปลอมแบบนี้มันมีอะไร….

“เพี้ยะ! ”

เกิดเสียงดังสะท้อนจากฝ่ามือที่ฟาดลงบนใบหน้า ของเห้อเฉินจุน กวนเสบู่เฟยโกรธจนตาแดงก่ำ เธอพูด ด้วยน้ำเสียงเหี้ยมเกรียม : “ถ้าคุณกล้าพูดเรื่องไร้สาระ อะไรแบบนี้อีก ฉันจะฆ่าคุณจริงๆ ด้วย! ไสหัวไป!”

เห้อเฉินจุนถูกตบจนหน้าหัน ความรู้สึกขุ่นเคืองฉาย ชัดในดวงตาของเขา

จิ่งหนิงส่ายหัว

เฮ้อ อย่างกับฉากละครที่ทั้งสองกำลังจะแปรพักตร์ เป็นศัตรูกัน!

เธอคิดว่าหนังเรื่องนี้ก็น่าจะมีตอนจบที่ไม่ต่างกัน เพราะอย่างไรเสีย การกลับมาหากวนเสวีเฟยในครั้งนี้ เห้อเฉินจุนเหลือเพียงแต่ตัว เขาไม่มีเงินติดตัวแม้แต่ สตางค์แดงเดียว ดังนั้นโอกาสชนะของเขาจึงแทบเป็น ศูนย์

ยิ่งไปกว่านั้นเขายังยกข้อด้อยของเธอขึ้นมาขู่ ทั้ง ๆ ที่รู้อยู่แล้วว่ากวนเสบู่เฟยเป็นลูกสาวบุญธรรมของ ตระกูลกวน เรื่องนี้จะต้องทำให้เธอรู้สึกเจ็บปวดอย่าง แน่นอน เพราะจนถึงตอนนี้ ตระกูลกวนเองก็ยังคง พยายามอย่างสุดความสามารถ ที่จะออกประกาศตาม หาบุตรสาวโดยแท้จริงของตระกูล และเขาก็ยังคิดที่จะสะกิดบาดแผลนั้น!

นี่เขาคงไม่คิดจะหาเรื่องใส่ตัวหรอกใช่ไหม? แต่ดูเหมือนว่าตอนนี้ เขาเพียงแค่หาเรื่องโดนตบก็ เท่านั้น ไม่ถูกคนใช้ไม้กวาดไล่ออกไปอย่างกับหมูกับ หมา ก็ถือว่าเธอยังไว้หน้าเขาอยู่

จิ่งหนิงส่ายศีรษะด้วยความรู้สึกเบื่อหน่าย และหัน หลังกลับไป

ในขณะเดียวกันนั้นเอง ก็มีเสียง”เหมียว”ร้องขึ้นมา อย่างกะทันหัน

เธอเห็นเงาด่าทะมึนกระโดดออกมาจากด้านบน มัน ข่วนใบหน้าของเธอ และวิ่งหนีไป

จิ่งหนิงร้องด้วยความเจ็บปวด เธอยกมือขึ้นลูบ บาดแผล และพบว่าใบหน้าของเธอมีรอยข่วนยาวสาม เส้น ทำให้เกิดความรู้สึกแสบร้อน

ฟ่อ

แมวที่ไหน นี่มันตั้งใจชัดๆ!

เสียงของเธอดังไปถึงคนทั้งสองที่คุยกันอยู่ไม่ไกล

กวนเสวีเฟยไหวตัวก่อน เธอสาวเท้ามายังต้นเสียงและ แหวกกิ่งไม้ออก พบจิ่งหนิงที่ซ่อนตัวอยู่ด้านหลัง กวนเสวีเฟยหน้าซีดเผือด และถามขึ้นอย่าง ดุดัน: “คุณมาทําอะไรที่นี่? ”

จิ่งหนิงตะลึงไปชั่วขณะ เธอไม่ได้โง่ขนาดที่จะบอก เธอว่าเธอออกเดินมาที่นี่ และบังเอิญผ่านมาได้ยินพวก เขากำลังกระซิบกระซาบกันอยู่ เธอจึงแอบฟังพวกเขา อยู่สักพักหนึ่ง ดังนั้นเธอจึงทำได้เพียงแกล้งโง่เพื่อตบตา กวนเสบู่เฟย

“เอ่อ ฉันมาตามหาแมว จริงด้วย! ฉันเห็นแมววิ่งมา ทางนี้ พอมาถึงตรงนี้แล้วมันก็หายไป แล้วยังข่วนฉันอีก เธอเห็นแมวตัวนั้นไหม? “

กวนเสบู่เฟยมีสีหน้าอ่านยาก

เธอหันหน้าไปมองเห้อเฉินจุนที่อยู่ตรงข้าม นัยน์ตา ของเห้อเฉินจุนฉายแววเหี้ยมเกรียม จนทำให้จิ่งหนิงรู้สึก ผวา

“หาแมวเหรอ? ฮึ! คุณนายใหญ่กลัวแมว ใครจะกล้า เลี้ยงแมวที ? ”

กวนเสบู่เฟยดูเย็นชาและเคร่งขรึม จ้องมองเธอด้วย สายตาอาฆาต ซึ่งแตกต่างจากแววตาสดใสในห้อง อาหารเมื่อก่อนหน้านี้อย่างสิ้นเชิง

หัวใจของจิ่งหนิงสั่นสะท้านเล็กน้อย

นี่คือการพยายามฆ่าปิดปากหรือเปล่า?

ไม่ใช่หรอกมั้ง!

อย่างไรแล้วนี่ก็คือคฤหาสน์บ้านลู่ อีกอย่างด้านหน้า ยังมีคนอยู่อีกมาก

แม้ว่าเธอจะคิดอย่างนั้น แต่เมื่อมองไปยังหญิงสาวที่ มีภาพพจน์ดูอ่อนโยนและเปราะบางอยู่เสมอ ที่ตอนนี้ กลับแสดงท่าทีโหดเหี้ยมอำมหิตอย่างนี้ออกมาได้ ทำให้ จิ่งหนิงรู้สึกขลาดกลัวเล็กน้อย เธอยิ้มแห้ง และถอยออกมาอย่างใจเย็น

“ฉันไม่ได้โกหกคุณ ฉันเห็นแมวจริงๆถ้าคุณหาว่า ฉันโกหก ก็ดูแผลบนหน้าฉันสิ คิดว่าเป็นของปลอม เปล่าล่ะ! ”

พูดเสร็จ เธอก็ยื่นใบหน้าของเธอไปด้านหน้า ภาย ใต้แสงแดด มีรอยข่วนอันน่าตกใจสามขีดลากยาวบนผิว ขาวของเธอ

แต่กวนเลวเฟยกลับไม่ฟัง เธอจ้องเข้าไปดวงตาของ จิ่งหนิงอย่างเยือกเย็น

จิ่งหนิงยิ้มและพูดขึ้นว่า”คุณกวน ทำไมคุณต้อง กังวลขนาดนี้ด้วย? จริงสิ คุณผู้ชายด้านหลังคุณคือใคร เหรอ? เขาดูคุ้นๆ นะคะ เป็นเพื่อนของคุณเหรอคะ? ” กวนเสวี่เฟยพูดเบาๆ: “ไม่ใช่ ฉันไม่รู้จักเขา”

“อ้อ แบบนี้นี่เอง” จิ่งหน่งพยักหน้า พยายามปลีกตัวออกจากตรงนี้ให้ เร็วที่สุด

“ถ้าไม่มีเรื่องอะไรแล้ว ฉันขอตัวนะคะ ไอ้แมวบ้า ข่วนเสียเจ็บเลย ไม่รู้ว่าฉีดยาหรือยัง เห็นทีฉันคงต้องไป ฉีดยา โรงพยาบาลเสียแล้ว

เธอพูดพร้อมกับเดินสาวเท้าออกมา

ขณะที่จิ่งหนิงเดินออกมา เธอรู้สึกถึงสายตาพิฆาต ที่มองตามแผ่นหนังของเธอไม่วางตา

เธอรู้ว่า วันนี้เธอได้ล่วงรู้ความลับของกวนเสบู่เฟย เข้าให้แล้ว ไม่ว่าเธอจะนำเรื่องนี้ไปบอกกับคนอื่นหรือไม่ ก็ตาม ในสายตาของกวนเสวีเฟย จิ่งหนิงก็ถือเป็นศัตรู ของเธออยู่ดี

แต่เธอไม่สนใจ

แม้ว่ากวนเสว่เฟยจะเป็นบุตรสาวของตระกูลกวน แต่เมื่อดูจากท่าทีของเธอในวันนี้ คาดว่าเธอคงไม่ได้ เปราะบางเหมือนที่แสดงออกมา

แต่เธอก็ไม่กลัว อย่างไรเสียเธอก็ไม่ได้ตั้งใจที่จะ แอบฟัง ไม่แม้แต่จะรู้สึกละอายใจเลยสักนิด

เพียงไม่นานลู่วิ่งเซินก็คุยธุระกับนายท่านใหญ่เสร็จ เนื่องจากในตอนบ่าย เขาได้รับปากกับจิ่งหนิงว่าจะกลับ บ้านเป็นเพื่อนเธอ ดังนั้นทันทีที่เขาออกมา เขาก็ตามหา เธอทุกหนทุกแห่ง

เขาตามหาเธอทั่วทั้งห้องรับแขกและห้องโถง ดอกไม้แต่ก็ไม่พบเธอ จึงถามคนรับใช้แถวนั้น และได้ ความว่า เธอไปเดินเล่นที่สวนด้านหลัง

แม้ว่าตอนนี้จะเป็นช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วง แต่สภาพ อากาศของช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วงในเมืองหลวงก็เริ่ม หนาวแล้ว เสื้อผ้าที่จิ่งหนิงสวมค่อนข้างบาง ลู่จิ่งเซินกลัว ว่าเธอจะหนาว เขาจึงรีบเร่งฝีเท้าเพื่อตามหาเธอ

ทั้งสองพบกันที่ใต้ซุ้มประตูตรงกลางระหว่างสวนทั้ง

สอง

จิ่งหนิงเห็นเขา และดึงเขาเข้าไปหา

“ข้างนอกลมแรงขนาดนี้ คุณออกมาที่นี่ทำไม? ระวัง เป็นหวัดนะ” ในขณะที่พูด ชายคนนั้นก็ถอดเสื้อโค้ตของเขาออก และวางไว้บนไหล่ของเธอ

จิ่งหนิงโบกมือ”ไม่เป็นไรค่ะ ตามฉันมา ฉันมีเรื่องที่ จะต้องบอกคุณ”

“เรื่องอะไร?”

จิ่งหนิงเหลือบมองข้างหลัง เธอจับแขนเสื้อของเขา

ไม่ปล่อยออกไปจากที่นี่แล้วค่อยพูดกันค่ะ”

ทั้งสองเดินกลับไปที่ห้องรับแขก และพูดคุยกับคุณ หญิงสักพัก จากนั้นก็พากันออกจากคฤหาสน์บ้านดู่

หลังจากขึ้นรถ จิ่งหนิงจิบน้ำ และพูดขึ้นว่า”คุณรู้ ไหมว่าเมื่อสักครู่ฉันพบใครในสวนด้านหลัง? ”

“ใคร?”

“กวนเสบู่เฟย”

ลู่จิ่งเซินขมวดคิ้วด้วยความสับสน“คุณทำไม?”

“เธออยู่กับผู้ชายคนหนึ่ง ฉันรู้จักผู้ชายคนนั้น เขา ชื่อว่าเห้อเฉินจุน เป็นศิลปินในสังกัดของอานหนิงกั๋วจี้คน ที่เป็นข่าวดังในช่วงสองวันที่ผ่านมานี้ ทั้งสองดูเหมือนจะ ทะเลาะอะไรกันบางอย่าง ดูท่าทางไม่ใช่เรื่องเล็กเลย”

ลู่จิ่งเซินโอดครวญอยู่ครู่หนึ่ง และกล่าวขึ้นว่า “แม้ว่า ตระกูลลู่และตระกูลกวนจะรู้จักกันมานาน แต่เราก็เพิก เฉยต่อเรื่องแบบนี้มาโดยตลอด ส่วนใหญ่พวกเราจะยื่น มือไปช่วยเหลือตระกูลกวนแค่เรื่องสำคัญเท่านั้น ตอนนี้ กวนเสบู่เฟยก็อายุยี่สิบกว่าปีแล้ว การที่เธอจะมีความรัก ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร” จิ่งหงสายศีรษะ

“ไม่ค่ะ ไม่ใช่เรื่องนี้ ฉันเพิ่งได้ยินเห้อเฉินจุนพูดว่า เขาทิ้งหญิงชราคนนั้น เพื่อที่จะมาอยู่กับกวนเสบู่เฟย ฉัน คิดว่าคนนี้มีปัญหาอะไรบางอย่าง

ลู่จิ่งเซินถึงกับผงะ“หญิงชรา?”

“ใช่ค่ะ” จิ่งหนิงพยักหน้า ทันใดนั้นเธอก็นึกขึ้นได้ว่า ปกติแล้วลู่จิ่งเซินมักจะยุ่งอยู่แต่กับเรื่องงาน จึงไม่ค่อย ได้ติดตามข่าวในแวดวงบันเทิง แม้ว่าจะเป็นศิลปินใน สังกัดของตัวเอง เขาก็คงไม่รู้

ดังนั้นเธอจึงรีบเล่าเรื่องที่เสี่ยวเฉินโทรมาปรึกษา เธอเมื่อช่วงกลางวันให้เขาฟัง

พูดเสร็จ เธอก็เสริมขึ้นว่า: “เหตุผลหลักๆ ก็คือฉัน รู้สึกว่าเห้อเฉินจุนเป็นคนที่ไม่ค่อยมีเหตุผลสักเท่าไหร่ ออกจะสุดโต่งไปเสียด้วยซ้ำ ถ้ากวนเสบู่เฟยมีเรื่องอะไร กับเขาจริงๆ บอกเลิกกันในคราวนี้ ฉันกลัวว่าอีกฝ่ายจะ ทําอะไรไม่ดี”

ลู่จิ่งเซินเหลือบมองเธอ สายตานั้นเหมือนกำลังซ่อนอะไรบางอย่างอยู่ ภายใน ชวนให้จิ่งหนิงรู้สึกปั่นป่วนเล็กน้อย

“ทำไมคุณถึงมองฉันแบบนี้? ”

“ไม่มีอะไร” เขานิ่งไปสักพัก ปล่อยให้คนขับรถขับ รถต่อไปเรื่อย ๆ จากนั้นจึงหันกลับมาสํารวจเธออีกครั้ง

ยิ่งเขาใช้สายตาคู่นั้นจ้องมองเธอนานเท่าไหร่ มันก็ ยิ่งทำให้จิ่งหนิงรู้สึกหัวเสียมากขึ้นเท่านั้น “ลูจิ่งเขิน อย่ามองฉันแบบนั้น มันทำให้ฉันรู้สึก

อึดอัด”


เพื่อการอัปเดตบทที่เร็วขึ้น กรุณาบริจาคสำหรับเว็บไซต์เพื่อซื้อบทใหม่! ขอขอบคุณ
THB

เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ