วิวาห์หวาน นายซาตาน ที่รักของฉัน

บทที่ 992 ต้องขอบคุณเขาจริงๆ



บทที่ 992 ต้องขอบคุณเขาจริงๆ

บรรยากาศมันช่างอบอุ่น พอวิ่งหนึ่งได้ฟังคำพูดของลู่จึงเป็น ก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา เธอพูดด้วยเสียงแผ่วเบาดุจกิ่งหลิวพลิ้วไหวว่า “จึงเป็น

ขอบคุณนะ”

ลู่วิ่งเซินขมวดคิ้ว โอบกอดเธอและถามว่า “ทำไมจู่ๆ ถึงมา ขอบคุณผมล่ะ? ”

จิ่งหนึ่งได้นำศีรษะของเธอทิ้งไว้ที่ไหล่ของเขา พูดด้วยน้ำเสียง แผ่วเบาว่า “ครั้งหนึ่งฉันเคยตกอยู่ในความมืดมิด คิดว่าชีวิตนี้ คงไม่มีวันได้พบแสงสว่างที่เป็นของตัวเองแล้ว และคิดว่าในชีวิต นี้คงจะเป็นอย่างนี้ตลอดไป อยู่ได้ก็อยู่ แต่ตั้งแต่ที่ได้พบกับคุณ คุณได้ให้ความสว่างกับฉัน ให้ความอบอุ่นกับรักมากมาย ฉะนั้น ลู่วิ่งเซิน ขอบคุณคุณมากจริงๆ ขอบคุณที่ทำให้ฉันเชื่อว่าในโลก ใบนี้ยังมีรักแท้หลงเหลืออยู่ ขอบคุณที่ให้ครอบครัวที่แสนอบอุ่น กับฉัน”

พอลู่วิ่งเซินฟังคำพูดจากเสียงที่แผ่วเบาเหล่านั้นของเธอ ใน ใจก็รู้สึกอบอุ่นขึ้นมา

เขาโอบกอดคนในอ้อมกอดอย่างแน่นหนากว่าเดิม พูดเบาๆ ว่า “ถ้าคุณอยากจะขอบคุณผมจริงๆ ก็ขอบคุณด้วยตลอดชีวิต ที่เหลือของคุณ”
หลังจากพูดเสร็จ เขาก็ก้มศีรษะลงเพื่อปิดริมฝีปากของเธอ

จิ้งหนึ่งไม่ปฏิเสธ หลับตาลง สัมผัสกับช่วงเวลาแห่งความอ่อน โยนที่หายากนี้

ผ่านไปพักใหญ่ ซึ่งเป็นค่อยปล่อยตัวเธอ เริ่มหายใจ กระวนกระวาย

จิ่งหนึ่งมองดูเขาด้วยสายตาที่สับสนเล็กน้อย และถามว่า “เป็นอะไรไปหรือ?”

น้ำเสียงแหบพร่าของลู่วิ่งเซินมีร่องรอยสะกดกลั้นอารมณ์ มือ

อันใหญ่ของเขาได้จับใบหน้าของเธอ

“เด็กดีนะ คุณไปนอนก่อน ผมขอไปอาบน้ำก่อนแล้วกัน”

“คุณพึ่งอาบน้ำตอนดึกเองไม่ใช่หรือ…..

เธอในทันใดนั้น นึกคิดได้บางอย่าง และใบหน้าที่สวยสง่า ของเธอก็แดงขึ้นมาทันที

เธอได้ผลักเขาออกไป พูดว่า “จะไปก็รีบไปเร็วๆ! ”

ลู่วิ่งเซ็นค่อยหัวเราะออกมา แล้วลุกขึ้นไป หลังจากที่เขาออกมาจากห้องอาบน้ำ จึงหนึ่งก็จะหลับไปด้วย ความเหนื่อยล้า

เขาเดินเข้ามาเบาๆ พร้อมกับหอมเธอเบาๆข้างๆหู แล้วค่อย ขึ้นเตียงนอน โอบกอดเธอไว้ที่อกและนอนไปอย่างสบายใจ

วันรุ่งขึ้น จึงเป็นได้เชิญผู้สำรวจทางธรณีวิทยามาที่บ้านแต่เช้าตรู่

ลู่วิ่งเซินไม่ให้จิ้งหนึ่งเดินทางต่อ แต่ปล่อยให้เธออยู่ที่โรงแรม

เล่นอยู่กับโมไฉ่เวยพวกเขา ตัวเองกลับไปหุบเขาเหมืองแร่กับ เจ้านายหยูและคนอื่นๆ ในตอนแรกหลันลือคือไม่อยากไป แต่ลู่วิ่งเซินมีใจที่จะให้

เธอไปฝึกฝนสักหน่อย ก็ได้บังคับให้เธอด้วย

ตอนที่หลันจือไปนั้น ไม่ค่อยเต็มใจมากนัก แต่ถ้าใช้คำพูด ของลู่วิ่งเซินมาพูด ในเมื่อเธออยากจะเรียนรู้ที่จะทำธุรกิจ ก็ต้อง เริ่มเรียนรู้แต่แรกเริ่ม ตัวเธอเองไม่จำเป็นต้องรู้ความรู้ทาง วิชาชีพเหล่านี้ก็ได้ แต่ต้องตามไปด้วยกัน ความรู้พื้นฐานคือต้อง มีต้องรับรู้

วิ่งหนึ่งอยู่ในใจของเธอ ว่าลู่วิ่งเซินนั้นหวังดีกับเธอทั้งนั้น

ไม่เช่นนั้นตามสถานะปัจจุบันของลู่วิ่งเซิน การทำธุรกิจครั้งนี้ เขาไม่จําเป็นต้องมาด้วยตัวเองก็ได้

ฉะนั้น เธอจึงได้ตามไปเกลี้ยกล่อมลู่หลันจือ “คุณอา คุณก็ไป เถอะ ถ้าหากธุรกิจครั้งนี้ประสบความสำเร็จ ได้ทำอะไรแล้วจริงๆ พอคุณกลับไปก็มีหน้ามีตาต่อหน้าของท่านว่า เมื่อถึงเวลานั้นพอ พูดถึงเรื่องธุรกิจ ในที่นี้กับท่านย่า คุณก็จะมีคำพูดให้พูด ไม่งั้น พอถึงเวลาแล้วท่านย่าถามถึงเรื่องนี้ พบว่าไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับเรื่อง นี้เลย เครดิตนี้ก็กลายเป็นว่าถูกฉันกับจิ้งเซินแย่งไปล่ะ?”

พอหลันจือฟังแล้ว เธอก็คิดว่ามันก็ใช่
นานๆที่ตัวเองจะหาโปรเจกต์ดีๆ ได้แบบนี้ จะไม่ค่อยไปดูเอง กับตาได้อย่างไร?

ฉะนั้นถึงได้ตามไปอย่างยิ้มแย้มแจ่มใส

จิ่งหนึ่งคอยอยู่กับโม่ไฉ่เวยได้พักผ่อนอยู่ที่ที่พักสักครู่

จนกระทั่งถึงตอนเย็น จึงเป็นและคนอื่นๆ ได้กลับมาแล้ว จึง ยืนยันว่าหุบเขาเหมืองแร่ทางนั้นไม่มีปัญหาอะไร แล้วจึงได้เซ็น สัญญาไป

แน่นอนว่าเจ้านายหยูนั้นคือยิ้มแย้มแจ่มใส เพราะไม่ว่าเขาจะ ร่วมธุรกิจกับใครก็ไม่ดีเท่ากับร่วมธุรกิจกับลู่วิ่งเซิน

นอกจากเจ้านายหยูแล้ว คนที่มีความสุขมากกว่าอีกคือ หลันลือ ถึงแม้ว่าเหมืองแร่ยังไม่ได้ถูกขุดออกมา ณ ตอนนี้ แต่เธอก็ได้

ฝันถึงเป็นเศรษฐีท่ามกลางกองภูเขาทองภูเขาเงินแล้ว

เมื่อลู่วิ่งเซนเห็นว่าทุกอย่างเสร็จสิ้นแล้ว ได้พูดคุยกับวิ่งหนึ่ง เกี่ยวกับการเดินทางกลับ

พอเจ้านายหยูเห็นเช่นนี้ ก็รีบรั้งพวกเขาเอาไว้

“ผมรู้ว่าประธานคู่กับคุณนายงานยุ่งแทบทุกวัน แต่ไหนๆก็ มากันหมดแล้ว ถ้าหากไม่เที่ยวให้เต็มที่สักหน่อย มันก็จะเปล่า ประโยชน์ไม่ใช่หรือ? แล้วอีกอย่าง ตอนนี้ท้องฟ้ามันก็มืดลงแล้ว มันเหนื่อยเกินกว่าที่จะกลับประเทศตอนนี้ งั้นเอาอย่างนี้นะวันนี้ก็ พักผ่อนให้เต็มที่ เที่ยวรอบๆก่อน พอถึงพรุ่งนี้เช้าแล้วค่อยกลับโอเคไหม?

ลู่วิ่งเซินหันกลับไปมองที่วิ่งหนึ่ง ซึ่งหนึ่งพยักหน้าตอบรับว่า ไม่มีปัญหา

เขาจึงจะถามว่า “รอบๆนี้มีอะไรน่าเที่ยวหรือ? ” เจ้านายหยูหัวเราะและพูดว่า “ไว้ใจผมได้เลย คืนนี้ผมจะพา

พวกคุณไปเที่ยวเอง รับรองได้ว่าพวกคุณถูกใจอย่างแน่นอน

เมื่อลู่วิ่งเซินเห็นเขาไม่ยอมพูดอะไรสักที ก็ไม่ได้ถามเพิ่มเติม อะไรอีก และตกลงตามข้อเสนอของเขา

ในค่ำมืด ผู้คนเหล่านี้ได้รับประทานข้างนอกมาก่อนแล้ว ก็ให้ เจ้านายหยูนำพาไป ไปในคลับที่เขาได้เตรียมไว้

พอถึงจุดหมายแล้วถึงจะทราบ ที่แท้แล้วเป็นสถานที่โชว์การ

แสดงนั่นเอง

เจ้านายหยูได้แนะนำอย่างตื่นเต้น “นี้เป็นสถานที่โชว์การ แสดงที่ใหญ่ที่สุดของเมือง ข้างในมีโชว์การแสดงมากมาย หลากหลาย ไม่เพียงแต่มีแค่เวที มายากล แต่ยังรวมถึงละคร สัตว์อีกด้วย อย่างไรก็ตามมันยอดเยี่ยมและน่าตื่นเต้นมากก็แล้ว กัน”

จิ่งหนิงคิดว่าเขาเก็บเอาไว้ไม่ยอมบอกเป็นสักที คิดว่าเป็น เรื่องที่ลึกลับอะไร นึกไม่ถึงว่าเป็นสิ่งนี้

เธออดไม่ได้ที่จะหัวเราะและพูดว่า “เจ้านายหยู ครั้งนี้คุณได้ ทำผิดพลาดไปแล้ว สิ่งเหล่านี้นับไม่ได้ว่าเป็นสิ่งแปลกใหม่อะไรนะ ในเมื่อก่อนพวกเราก็เคยเห็นมาก่อนหมดแล้ว”

ลู่หลันจือก็เห็นด้วย “ใช่แล้ว นี่มันก็แค่คณะละครสัตว์ไม่ใช่ หรือ จะดูที่ไหนไม่ได้ล่ะ จำเป็นต้องมาดูที่นี่หรือไง”

เจ้านายหยูก็ไม่ได้รีบร้อนอะไร แล้วยิ้มอย่างลึกลับ “ถึงแม้ว่าจะมีคณะละครสัตว์อยู่ทุกหนทุกแห่ง แต่ที่นี่ไม่

เหมือนที่อื่น เดี๋ยวพวกคุณเห็นก็จะรู้เองแหละ”

จิ่งหนึ่งพอเห็นเช่นนี้แล้ว ก็ไม่พูดอะไรอีก ฉะนั้นจึงนั่งลงไปกับ ลู่หลินจือ

เรื่องราวมันกลับกลายเป็นว่าเกินความคาดหมายของพวกเธอ ถึงแม้ว่าเป็นละครสัตว์เหมือนกัน แต่โชว์การแสดงที่นี่น่าตื่น เต้นกว่าภายนอกมากกว่า

ต่อให้ลู่วิ่งเซินที่ไม่สนใจสิ่งเหล่านี้สักเท่าไหร่ แต่ก็ยังดูเพลิน

เลย และบางครั้งก็ยังพูดคุยกับวิ่งหนึ่งสองสามคำ

เจ้านายหยูโล่งใจเมื่อเห็นว่าพวกเขาทั้งหมดดูอย่างมีความสุข มาก

หลังจากจบโชว์การแสดง กลุ่มคนเหล่านี้ก็เดินออกไปพร้อม กับฝูงชน

พอเดินได้ครึ่งทาง ทันใดนั้นไม่ไฉ่เวยถูกใครบางคนชน เธอร้องอุทาน โชคดีที่ด้วยความเร็วทางสายตาและมือของ เซวซูได้คว้าเธอไว้ เธอจึงไม่ถูกคนอื่นชนจนล้มลง
“ไม่เป็นอะไรใช่ไหม? “เซวถามด้วยความเป็นห่วง ไม่ไฉ่เวยพยักหน้า แต่จิ่งหนึ่งกลับขมวดคิ้ว

“แม่คะ กระเป๋าที่คุณแม่ถือไว้ในมือเมื่อตะกี้ละคะ?

โมไฉ่เวยตกตะลึง แล้วจึงจะตั้งสติกลับมาได้ “ตายจริง กระเป๋าของฉันถูกขโมยไปแล้ว! ”

ทันทีที่พูดจบ เชวซูก็ไล่ตามออกไป

ส่วนโม่ไฉ่เวยนั้นมีจิ่งหนิงกับลู่วิ่งเซ็นเป็นคนดูแลไว้ และไปรอ อยู่ข้างนอกพร้อมกัน

โมไฉ่เวยตำหนิตัวเองอย่างมาก บ้าจริง หัวสมองของฉันนั้น ใช้การไม่ได้เลย กระเป๋าก็ไม่อยู่แล้วยังไม่รู้สึกตัวอีก

ฉันไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุการณ์ก่อนหน้านี้หรือเปล่า ทำให้ไม่ ไฉ่เวยจิตตกอยู่พักใหญ่ ด้วยเหตุนี้เธอจึงจำเรื่องราวหลายๆเรื่อง ไม่ได้มากเท่าไหร่ หรือเป็นเพราะสาเหตุอื่น ปฏิกิริยาของ โม่ ไฉ่เวยปั้นช้ามากอยู่บ่อยครั้ง

เมื่อกี้ เห็นได้ชัดว่าคนตรงข้ามนั้นเป็นขโมย ฉวยโอกาสจากที่ คนเยอะๆ จึงขโมยกระเป๋าเธอไป แต่เธอกลับไม่ตอบสนองเลย แม้แต่น้อย

จิ่งหนิงได้จับมือเธอไว้ และพูดปลอบเธอว่า “ไม่ต้องกังวล ไม่มีของมีค่าอยู่ในกระเป๋า ใช่ไหม?

“ไม่มี ก็แค่กับมือถือกับเงินนิดหน่อยเอง
“ก็ดี เงินไม่สำคัญมาก ส่วน โทรศัพท์แค่ซื้ออีกเครื่องเมื่อถึง เวลาก็พอ”


เพื่อการอัปเดตบทที่เร็วขึ้น กรุณาบริจาคสำหรับเว็บไซต์เพื่อซื้อบทใหม่! ขอขอบคุณ
THB

เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ