วิวาห์หวาน นายซาตาน ที่รักของฉัน

บทที่ 242 บุคคลมีอำนาจคับฟ้าที่สุด



หวังเสว่เหมยนั่งอยู่ตรงนั้นด้วยสีหน้า เคร่งเครียด และยังคงตกใจช็อกกับเรื่องเมื่อกี้จน ดึงสติกลับมาไม่ได้

หยูซิ่วเหลียนจ้องมองทุกคนด้วยสายตา กังวล อยากพูดบางอย่าง แต่พยายามหลายครั้ง สุดท้ายก็ไม่มีความกล้าพูดออกมา

เพราะตำแหน่งแตกต่างกัน ต่อให้หยูซิ่วหลี ยนยอมรับเธอ แต่หยูซิ่วเหลียนแทบไม่มีสิทธิ์พูด อะไรในบ้านตระกูลจิ่งตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว

ยิ่งไม่ต้องพูดว่าในเวลาคับขันแบบนี้จะพูด อะไรได้

ด้วยเหตุนี้เธอเลยหันหน้าจ้องมองจิ่งเสี่ยว เต่อด้วยสีหน้าขอร้อง และหวังว่าเขาจะสามารถ ยอมช่วยจึงเสี่ยวหย่าออกหน้าพูดสักหน่อย

แต งเสี่ยวหย่าหวาดกลัวหวังเสว่เหมย ยิ่ง ไปกว่านั้นคิดไม่ถึงว่าจิ่งเสี่ยวหย่าจะใจกล้าลักพา ตัว ซึ่งนี่ถือเป็นเรื่องผิดกฎหมาย

โชคดีที่วิ่งเสี่ยวหย่าแต่งงานแล้ว หลาย เรื่องมีความเกี่ยวข้องกับสามี ถ้าหากตระกูลจิ่ง เอาตัวเองไปเกี่ยวพันด้วย ต่อไปไม่รู้ว่าจะต้องถูก เกี่ยวพันด้วยมากเท่าไหร่

เมื่อคิดถึงตรงนี้ เขาเลยหันหน้ามองจึงเสี่ยวหยาด้วยสีหน้าตำหนิขึ้น

จึ่งเสี่ยวหย่าคิดไม่ถึงว่าเขาจะมีท่าทางแบบ นี้ เลยรู้สึกโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ และรู้สึกเหมือนมี เปลวไฟอัดแน่นเต็มหน้าอก ซึ่งเหมือนกับจะปะทุ ออกมา

ไม่นานหวังเสบู่เหมยก็เอ่ยปากพูดขึ้นว่า

“เรื่องนี้ นอกจากคนขับรถคนนั้นแล้ว ยังมี เบาะแสอื่นอีกไหม?”

จิ่งเสี่ยวหน้ารับสายหน้าทันที

“ไม่มีค่ะ หนูมั่นใจ ห้องใต้ดินนั้น และคนที่

จ้างสี่คน หนูได้จัดการอย่างลับๆเรียบร้อยแล้ว”

อันที่จริงคนขับรถคนนั้น ก่อนลงมือหนูได้ ให้เงินกับเขาก้อนหนึ่ง ให้เขาไปให้ไกลที่สุด แม้แต่รถยนต์หนูก็เป็นคนจัดการด้วยตัวเอง แต่ หนูคิดไม่ถึงว่าแม้แต่ป้ายทะเบียนรถยนต์จะถูก ถ่ายได้

เมื่อหวังเสวีเหมยได้ยินแบบนี้ก็พยักหน้า เล็กน้อย

“ไม่มีหลักฐานอื่นก็ดีแล้ว เรื่องนี้ว่าไปแล้ว สืบได้เพียงคนขับรถคนนั้น แต่ไม่มีหลักฐานชี้ตัว ไปที่เธอเลย

เดียวฉันจะให้พ่อของเธอไปถอนเงินออกมา ให้กับเธอ เรื่องนี้เธออย่าทําด้วยตัวเอง มอบหมาย ให้ถงซูเป็นคนจัดการ เธอรู้ว่าควรจัดการยังไง”
จึงเสี่ยวหน้าพยักหน้าเล็กน้อยเพื่อบอกว่า ทราบแล้ว

เมื่อหยูซิ่วเหลียนได้ยินหวังเสวี่เหมยพูด แบบนี้ก็โล่งใจ

และหันหน้าจ้องมองจึงเสี่ยวหย่า และพูด ด้วยน้ำเสียงกังวลว่า : “แล้วคลิปเสียงที่เผยแพร่ บนอินเทอร์เน็ตตอนนี้ล่ะ? และวิดีโอที่เสี่ยวขุย เอาออกมาแฉด้วย เรื่องนี้คงส่งผลกระทบต่อการ งานของลูกไม่น้อยแน่เลย คิดหรือยังว่าจะจัดการ ยังไง?

เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ จึงเสี่ยวหย่าก็รู้สึกโมโห เดือดดาลขึ้น

ตอนนั้นเธอมีความมั่นอกมั่นใจให้เสียวขย ไปทำร้ายจิ่งหนิง แต่ผลลัพธ์ในตอนนี้

รู้สึกเหมือนมีคนมาตบหน้าใส่บนใบหน้า อย่างแรงหนึ่งที เธอกัดฟันแน่น และพูดด้วยน้ำ เสียงขุ่นเคืองว่า : “นังสารเลวคนนั้นกล้าหักหลัง ฉัน ฉันไม่ปล่อยมันแน่นอน!”

จิ่งเสี่ยวเต๋อพูดขึ้นว่า “เธอจะไม่ปล่อยเธอ คนนั้นได้ยังไงหรอ? เธอยอมออกมาเป็นพยานให้ กับจิ่งหนิงขนาดนี้ ตอนนี้จิ่งหนิงต้องปกป้องเธอ แน่

จิ่งหนิงไม่มีอะไรน่าหวาดกลัว คนที่น่ากลัว คือลู่วิ่งเซ็นผู้อยู่เบื้องหลังของเธอ หรือว่าเธออยากให้ตระกูลจิ่งของเรามีปัญหากับลู่วิ่งเซ็น หรอ?

เมื่อได้ยินจึ่งเซี่ยวเต๋อพูดแบบนี้ จึงเสี่ยว หย่าก็นิ่งอึ้งชั่วขณะ และไม่รู้ว่าในเวลานี้ควรทำ ยังไงดี

ต่อให้จิ่งหนิงมีอำนาจที่เมืองจิ้นมากแค่ไหน ก็ไม่กล้าเปรียบเทียบกับตระกูลส

นั้นถือเป็นบุคคลที่มีอำนาจคับฟ้าที่สุดใน เมืองหลวง

อย่าว่าแต่พวกเขาเลย แม้แต่ตระกูลมู่กับ ตระกูลหัว มีใครบ้างกล้าเป็นศัตรูอย่างเปิดเผย

จิ่งเสี่ยวหย่านิ่งเงียบ ส่วนหวังเสวีเหมย โบกมือด้วยสีหน้ารําคาญใจเล็กน้อย

“เอาล่ะ เป็นพ่อคนแล้ว ยังชอบพูดเรื่อง ทำให้คนเสียขวัญอีก

ขณะที่เธอพูดก็หันหน้าจ้องมองจึ่งเสี่ยว หยา

“เธอกลับไปก่อนเถอะ เดี๋ยวฉันจะให้พ่อ ของเธอนําเงินไปให้เธอเอง จําไว้ว่ากลับไปคุยกับ คุณชายให้ชัดเจน มีเรื่องอะไรก็ปรึกษาหารือกัน อย่าเก็บไว้ เข้าใจไหม?”

จิ้งเสี่ยวหย่าพยักหน้าเล็กน้อย

หลังจากที่เธอจากไป หยูซิ่วเหลียนก็ถอนหายใจยาวๆหนึ่งที แล้วลุกขึ้นไปเตรียมอาหาร

เย็นในห้องครัว

คาดไม่ถึงเพิ่งลุกขึ้นก็ถูกหวังเสวี่เหมยเรียก

เธอหันหน้ามองหนูซิ่วเหลียน โดยที่ดวงตา ไม่มีสายตาเมตตาและอ่อนโยนเหมือนเมื่อกี้แล้ว และพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า : “เธอมากับฉัน หน่อย ฉันมีเรื่องอยากคุยด้วย”

หยูซิ่วเหลียนนิ่งอึ้งชั่วขณะ สุดท้ายก็พยัก หน้าเล็กน้อย

“ค่ะ”

ชั้นสอง ห้องนอนของหวังเสวีเหมย

เธอนั่งบนเก้าอี้โยกไม้สีแดงเข้มด้วยท่าทาง ผ่อนคลาย แล้วหันหน้าจ้องมองหยูซิ่วเหลียนที่ ยืนอยู่

“เรื่องที่เสี่ยวหย่าก่อเรื่องครั้งนี้ไม่ใช่เรื่อง เล็กเลย จิ่งหนิงเด็กคนนั้น คนอื่นอาจไม่รู้จักเธอ แต่ฉันรู้จักเธอเป็นอย่างดี

แผนการที่เธอดำเนินครั้งนี้พูดได้ว่า สามารถพลิกแพลงแผนการของเสี่ยวหย่าล้ม จน

ทำให้เธอตกอยู่ในขั้นที่เกือบเอาชีวิตไม่รอด”

เมื่อได้ยินเธอพูดแบบนี้ หยูซิ่วเหลียนก็ อดใจขมวดคิ้วขึ้นไม่ได้

“แม่คะ แม่มีวิธีการหรอคะ?”
หวังเสวี่เหมยพยักหน้าเล็กน้อย

“เธอยังจําได้ไหม ในตอนที่ งหนิงมาเอา สร้อยคอเส้นนั้นจากฉัน?”

หยูซิ่วเหลียนนิ่งอึ้ง “จำได้ค่ะ ทำไมหรอ ค่ะ?”

นั้นเป็นสิ่งของสำคัญที่แม่ของเธอเหลือทิ้ง

ไว้ แต่น่าเสียดาย มันเป็นของปลอม หยูซิ่วเหลียนเบิกตากว้างขึ้น

และเห็นหวังเสวีเหมยหยิบกล่องไม้หนึ่ง ออกมาจากลิ้นชักด้านข้าง

แล้วเปิดกล่องไม้ออก ข้างในมีผ้าขนนกห่อ อยู่ และมีสร้อยคอเพชรสีแดงเส้นหนึ่งอยู่

“นี่คือ…..”

“ดูสิ เหมือนมากไหม?”

หยูซิ่วเหลียนรีบพยักหน้าเล็กน้อยทันที

“ในตอนนั้นโม่ไฉ่เวยคิดว่าพวกเราไม่รู้ว่า เธอเอาเด็กมาสลับกัน แต่น่าเสียดาย เด็กของ ตระกูลจิ่งฉันมีหน้าตายังไง ฉันจะจำไม่ได้ได้ยัง ไงกัน?

ถึงแม้เด็กทารกจะอยู่ในตะกร้า แต่จมูกและ ดวงตานั้นไม่เหมือนกับเสี่ยวเต่อของตระกูลเรา เลยสักนิด หรือว่าเธอคิดว่าฉันตาบอดหรือยังไง?

แต่เด็กคนนี้มีประวัติเป็นมา เลี้ยงดูถือว่าไม่เสียแรงเปล่า เป็นแค่เด็กน้อยเท่านั้น และหาก สามารถได้พบกับครอบครัวตัวจริง สามารถนำพา ความรวยได้ นับว่าเลี้ยงเธอไม่ไร้ประโยชน์

คิดไม่ถึงว่าจึงหนิงคนนี้จะเป็นคนใจร้าย ใจดำขนาดนี้! เปลืองแรงฉันทำดีกับเธอมาหลาย ปี ในเมื่อเธอไม่สำนึก ฉันก็ไม่จำเป็นต้องเห็นใจ เธอแล้ว”

ขณะที่หวังเสว่เหมยพูดนั้น หยูซิ่วเหลียน ตกใจช็อกจนพูดไม่ออกแล้ว

ฐานะของจิ่งหนิง เธอพอคาดเดาออกเล็ก น้อย แต่เป็นแค่การคาดเดา คิดไม่ถึงว่าการคาด เดาจะเป็นจริง

ตอนแรกนึกว่าหวังเสวีเหมยยังไม่รู้เรื่องนี้ คิดไม่ถึงว่าจะรู้เรื่องมาตั้งนานแล้ว

ไม่เพียงแค่รู้ แต่ทุกอย่างอยู่ในการควบคุม ของเธอ!

หยูซิ่วเหลียนถึงกับเผยสีหน้าขาวซีดขึ้น และบนหน้าผากมีเหงื่อไหลเล็กน้อย

เมื่อหวังเสวีเหมยเห็นสีหน้าของเธอก็พูด ต่อว่า : “ตอนนี้เสี่ยวหย่าเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น ถ้า หากลู่วิ่งเซินเอาเรื่อง เกรงว่าตระกูลจิ่งของเราคง ปกป้องเธอไม่ได้แน่

ดังนั้นตอนนี้เธอต้องไปเป็นลูกสาวของคน นั้นแทนจิ่งหนิง จึงจะสามารถกำจัดความ192723769_755512835121893_3217453203271043692_n


เพื่อการอัปเดตบทที่เร็วขึ้น กรุณาบริจาคสำหรับเว็บไซต์เพื่อซื้อบทใหม่! ขอขอบคุณ
THB

เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ