วิวาห์หวาน นายซาตาน ที่รักของฉัน

บทที่ 1043 ยังคงคิดถึงอยู่



บทที่ 1043 ยังคงคิดถึงอยู่

เดิมทีเขาคิดว่าอาจจะต้องรอนานกว่านี้

จิ่งหนิงยิ้มและพูด: “คนเราพอแก่แล้ว ก็คิดถึงบ้านค่ะ อยู่ห่าง นาน ๆ ไม่ไหวหรอก”

“คุณพูดก็ถูก”

ลู่วิ่งเซินเดินเข้ามาและส่งนมในมือ ให้เธอ

จึงหนิงรับไปดื่ม จากนั้นจึงถาม: “กี่โมงแล้วคะ?”

“ตีสอง ยังเช้าอยู่”

วิ่งหนึ่งพยักหน้าและนิ่งไปครู่หนึ่งแล้วถาม: “ฉันกำลังคิดอยู่ ว่าพวกเราก็ควรกลับไปไหมคะ?”

ลู่วิ่งเซินถาม: “คิดว่าจะกลับตอนไหน?

“พรุ่งนี้ค่ะ ก่อนหน้านี้ฉันดูพยากรณ์อากาศ มะรืนนี้อากาศดี เดินทางมานานก็ควรกลับแล้ว อานอานยังต้องไปเรียน

“ได้ อย่างนั้นระหว่างมื้อเย็นคืนนี้บอกพวกแม่เขาแล้วกัน”

“อือ”

หลังจากทั้งสองตัดสินใจแล้ว ระหว่างอาหารค่ำ จึงหนิงจึงพูด เรื่องนี้ขึ้นมา

พอโม่ไฉ่เวยได้ยินว่าพวกเธอจะไปแล้ว สีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที
“จะไปแล้วเหรอ? ลูกรู้สึกว่าอยู่ที่นี่ไม่สะดวกสบายหรือเปล่า? ไม่ชิน? หรือว่ามีเหตุผลอะไร?”

จิ่งหนึ่งยิ้มและพูด: “เปล่าค่ะ ที่นี่ดีมาก ๆ อยู่สบาย อาหารก็ดี ไม่มีอะไรที่ไม่คุ้นชิน เพียงแต่พวกเรามานานแล้ว ยังไงก็ต้อง กลับ บริษัทมีงานอีกเยอะต้องจัดการ

อานอานเองก็ต้องไปเรียน ครั้งนี้หนูมา สำคัญคืออยากรู้ว่า สถานที่ที่แม่อยู่เป็นยังไง สบายดีไหม ตอนนี้เห็นแม่สบายดี หนูก็ สบายใจแล้วค่ะ”

โม่ไฉ่เวยมีท่าทางเป็นทุกข์เล็กน้อย

“แต่แม่ไม่อยากให้ลูกกลับ

ตั้งแต่เธอสูญเสียความทรงจำที่มีนิสัยที่ไร้เดียงสาตรงไปตรง มามาตลอด คิดอย่างไรก็พูดออกไปอย่างนั้น

จิ่งหนิงได้ยินแล้วรู้สึกอบอุ่นหัวใจและอดที่จะมีรอยยิ้มบน

ใบหน้าไม่ได้

“หนูรู้ว่าแม่ไม่อยากให้หนูกลับ หนูก็ไม่อยากค่ะ ดังนั้นต่อไป ถ้ามีเวลา แม่กลับประเทศไปหาหนู หนูอยากจะแนะนำท่านและ ท่านย่าให้แม่รู้จักนะคะ พวกท่านก็เป็นคนดี ใช่แล้ว ยังมีคุณอา แม่กับกวนจี้หวั่นเป็นเพื่อนสนิทกันไม่ใช่เหรอคะ? พี่ชายของเธอ เป็นผู้กุมอำนาจของตระกูลกวนทั้งหมด และเขาเป็นคนดี ถึงเวลา แม่กลับประเทศ หนูจะพาไปเจอนะคะ”

โม่ไฉ่เวยได้ยินเธอพูดเกี่ยวกับกวนหวั่นแล้วตาเป็นประกายเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ส่ายหน้า

“ช่างเถอะ คนพวกนี้อย่าไปเจอเลย เรื่องมากมาย ในอดีตแม่ จําไม่ได้แล้ว เจอหน้ากันก็ไม่มีอะไรจะพูด อย่าเจอดีกว่า”

วิ่งหนึ่งรู้ว่าในใจลึก ๆ เธอยังไม่สามารถยอมรับเรื่องที่ผ่านมา ทั้งหมดของเธอได้ ดังนั้นจึงไม่ดึงดันและพยักหน้า

โม่ไฉเวยเห็นว่าเรื่องที่พวกเขาจะไปนั้นเป็นเรื่องที่ไม่สามารถ จะเปลี่ยนแปลงได้จึงไม่ได้พูดอะไรอีก

หลังมื้อเย็น จึงได้ไปเตรียมเก็บของที่อยากจะให้พวกเขาเอา

กลับไปด้วย

จิ่งหนึ่งสังเกตเห็นเธออารมณ์ไม่ดีจึงถือโอกาสที่ทุกคนกินข้าว เสร็จแล้วและออกไปเดินเล่น หาไม่ไฉ่เวยที่ทำหน้าหงอยเหงาอยู่ ภายในห้อง

โมไฉ่เวยนั่งหันหลังให้ประตูอยู่ภายในห้อง และกำลังวาง

ของกองทับกัน

จิ่งหนิงร้องเรียก: “แม่คะ”

โมไฉ่เวยหันไปเห็นเธอจึงรีบเช็ดน้ำตาที่ตรงหางตาแล้วยิ้ม และพูด: “หนูมาแล้วเหรอ”

จิ่งหนิงคิดไม่ถึงว่าเธอจะแอบมาร้องไห้เงียบ ๆ คนเดียวอยู่ที่นี่ จึงได้ขมวดคิ้วและเดินเข้าไป

“แม่คะ เป็นอะไรคะ?”
โมไฉ่เวยยิ้มเล็กน้อยและพูด “ไม่เป็นอะไร เมื่อกี้แม่เปิด หน้าต่างแล้วลมด้านนอกพัดทรายเข้ามา ทรายมันเข้าตา พูดแล้วก็เช็ดเบ้าตาที่แดงอยู่

แต่จึงหนิงกลับรู้ดีว่าทรายที่ไหนจะพัดเข้าตา

เห็นชัด ๆ ว่าเธอไม่อยากจะให้เธอไป ดังนั้นจึงได้ร้องไห้ เธอถอนหายใจเบา ๆ แล้วดึงมือของโม่ไฉ่เวยไปนั่งที่โซฟา ข้าง ๆ

“แม่ แม่ไม่อยากจะให้พวกเราไปใช่ไหมคะ?” โม่ไฉ่เวยมองเธอและพยักหน้า

หน้าตาเธอดูเศร้าไม่น้อย “อันที่จริงแม่ก็รู้ พวกลูกจะอยู่ที่นี่ เป็นเพื่อนแม่ไปตลอดไม่ได้ แต่หลายปีมานี้แม่อยู่ที่นี่คนเดียว มันเหงามากจริง ๆ อะก็มีงานเยอะแยะต้องทำ บางครั้งพอเข้า ห้องทดลอง เข้าไปทั้งวันทั้งคืนก็ยังไม่ออกมา แม่ไม่สามารถจะ ไปซื้อให้เขามาอยู่เป็นเพื่อนได้ตลอดเวลา เลยได้แต่อยู่คนเดียว ในปราสาทใหญ่หลังนี้ ไม่มีเพื่อนและญาติมิตร เมื่อก่อนก็ยังไม่รู้ สึกเบื่อ แต่ตั้งแต่พวกหนูมาที่นี่ก็รู้สึกตื่นเต้นดีใจที่มีคนใน ครอบครัวมาอยู่ด้วย พอคิดถึงอดีต ก็รู้สึกกลัวขึ้นมานิดหน่อย ราวกับอยู่คนเดียวบนเกาะร้าง

จิ่งหนึ่งมองดูเธอแล้วขมวดคิ้วเล็กน้อย เธอไม่เคยคิดเลยว่าโมไฉ่เวยจะมีความคิดแบบนี้
โม่ไฉ่เวยดูเหมือนจะรู้ตัวว่าความคิดของตนเองนั้นค่อนข้างจะ เศร้าเกินไป

เธอพยายามจะยิ้มและปลอบใจตนเอง: “แต่ก็ไม่เป็นไร เป็น ไปได้ว่าคงจะต้องใช้เวลาเพื่อปรับตัวสักนิด ของเพียงผ่านช่วงนี้ ไปได้ก็คงดีเอง”

แต่ที่เธอไม่รู้คือ ยิ่งเธอเป็นแบบนี้ จึงหนิงเห็นแล้วก็ยิ่งทุกข์ใจ เธอยื่นมือออกไปและกอดไม่ไฉ่เวยเอาไว้ ผ่านไปครู่ใหญ่จึงปล่อยเธอและพูดเบา ๆ “แม่คะ ถ้าอย่างนั้น แม่กลับไปกับหนู กลับไปอยู่ที่นั่นดีไหมคะ?”

โม่ไฉ่เวยตกตะลึงเล็กน้อยและมองเธอด้วยความงงงวย

“ได้เหรอ?”

“ได้สิคะ” จิ่งหนิงยิ้มและพูด “หนูก็ใจจะขาดค่ะ อันที่จริงอย่า ว่าแต่แม่ทนไม่ได้ พวกหนูเองก็ไม่อยากค่ะ เราสองคนแม่ลูกผ่าน ร้อนผ่านหนาว ไม่ง่ายเลยกว่าที่จะได้พบเจอกัน หนูเองก็ไม่อยาก จะแยกกันแบบนี้ ถ้าอย่างนั้นแม่ย้ายไปอยู่กับหนู แล้วถ้าคุณอา เชวยินยอมก็ให้เขาย้ายไปด้วย ถ้าหากเขาไม่ยินยอม ก็สามารถ หาช่วงว่างมาเยี่ยมแม่ได้ตลอดเวลา แบบนี้แม่จะได้ไม่เหงา เขา จะได้จดจ่อกับการวิจัยทางการแพทย์ แม่คิดว่ายังไงคะ?”

โม่ไฉ่เวยขมวดคิ้วและรู้สึกลำบากใจเล็กน้อย

“นี่…แม่กลัวเขาจะไม่ยอม”
“ไม่มีอะไรที่ไม่ยอมหรอกค่ะ อีกเดี๋ยวลองไปคุยกับเขา หาก แม่ไม่อยากพูด งั้นหนูช่วยแม่พูดได้

จิ่งหนิงพูดแล้วจึงลุกขึ้น

แต่กลับถูกโม่ไฉ่เวยดึงแขนไว้ “เอ้ อย่า…”

โมไฉ่เวยหยุดและยิ้ม

“ช่างเถอะ แม่ไปคุยกับเขาเอง แต่ว่า…

เธอกัดริมฝีปากราวกับมีความลังเลเล็กน้อย

จิ่งหนึ่งดูออกว่าเธอยังเป็นกังวลและถาม: “แม่เป็นห่วงเรื่อง อะไรคะ?”

“แม่…” โมไฉ่เวยถอนหายใจเล็กน้อย “แม่เป็นกังวล ถ้าแม่ไป แล้วจะส่งผลกระทบต่อพวกลูก ที่สุดแล้วลูกก็รู้ แม่ไม่เหมือนคน ทั่วไป”

จิ่งหนิงมีสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมา

เธอกุมมือ โม่ไฉ่เวยแล้วพูดอย่างจริงจัง “แม่ แม่อย่าคิดแบบ นั้น แม่ไม่มีอะไรที่ไม่เหมือนคนทั่วไป แม่ไม่มีอะไรที่ไม่ปกติ เรื่อง การสูญเสียความทรงจำ บนโลกนี้มีคนที่อยู่ในสถานการณ์แบบ นี้มีมากมาย ก็ไม่เห็นคนอื่นจะเป็นอะไร ดังนั้นแม่ห้ามคิดอะไรได้ สาระแบบนี้นะคะ”

คำพูดของจิ่งหนึ่งทำให้โม่ไฉ่เวยมีความกล้าขึ้นบ้าง เธอพยายามจะยิ้ม “ถ้าแม่ไป จะไม่มีผลกระทบกับพวกหนูจริงเหรอ?”

“ไม่มีค่ะ” จิ่งหนิงนิ่งไปและจู่ ๆ ก็พูดเล่น “ถ้าหากมีผลกระทบ จริง ๆ ก็เป็นผลกระทบด้านดี ก็คือต่อไปถ้าหลานแม่ลืมตาดูโลก แล้ว ก็จะได้มีคนคอยช่วยเลี้ยง”


เพื่อการอัปเดตบทที่เร็วขึ้น กรุณาบริจาคสำหรับเว็บไซต์เพื่อซื้อบทใหม่! ขอขอบคุณ
THB

เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ