วิวาห์หวาน นายซาตาน ที่รักของฉัน

บทที่ 45 ผลสกอร์ที่โรคจิต



บทที่ 45 ผลสกอร์ที่โรคจิต

ผู้หญิงคนนั้นใจกว้างมากได้แบ่งธงที่มีชื่อทีมรถของจี้หลิน ยวนให้พวกเธอคนละอัน

จากนั้นก็ได้เตือนหัวเหยา “เพื่อนสาว เห็นว่าพวกเรานั้น เป็นแฟนคลับของเซียนแข่งรถคนเดียวกัน ก็อยากจะเตือน เธอด้วยความหวังดี ในที่แบบนี้ห้ามแต่งตัวมิดชิดขนาดนั้น จะทำให้คนนั้นเข้าใจผิดว่าเป็นคนที่คู่แข่งนั้นส่งมาสอดแนม ได้ง่าย

แต่ว่าเธอวางใจเถอะ ฉันเชื่อใจเธอ ฉันมองเธอแวบเดียว ก็รู้สึกว่าคุ้นมาก เพราะงั้นฉันรู้สึกว่าเธอนั้นไม่ได้เป็นสายลับ แน่นอน!”

จึงหนิงรู้สึกได้ชัดเจนว่าหัวเหยาได้ตัวแข็งไป

เธอนั้นได้หัวเราะออกมาอย่างทำตัวไม่ถูก “จริงเหรอ? ขอบคุณที่เธอเชื่อใจนะ!”

จึงหนิงนั้นกลั้นหัวเราะไว้ไม่ไหวแล้วจริงๆ ก็ได้รีบเปลี่ยน เรื่องคุยว่า “การแข่งขันจะเริ่มกี่โมงอ่ะ?”

“สองทุ่ม” ผู้หญิงคนนั้นได้มองนาฬิกาข้อมือ ใกล้จะถึง เวลาแล้ว”

พอพูดจบ อยู่ๆ ก็ได้ยินเสียงนกหวีดดังขึ้นจากอีกฝั่ง
ต่อด้วยเสียงกรีตร้อง นักแข่งทั้งแปดทีมนั้นก็ได้ลงสนาม!

หัวเหยาก็ได้บ้าขึ้นเลยทันที!

“อ้ายยยยยยยยย…เขาออกมาแล้ว หล่อมากหล่อมาก หล่อมาก! หนิงหนิง เธอเห็นเขาหรือยัง? อยู่ในรถแข่งสีฟ้า สายตาคมเข้มจัง ผิวก็ขาวไม่ได้เจอกันแป๊บเดียวเหมือนว่า ได้หล่อขึ้นหลายระดับแล้ว! ฮือๆๆ เท่มากบุคลิกดีมาก จริงๆ!”

จึงหนิง :

นักแข่งนั้นได้ใส่หมวกกันน็อคทั้งหมดแล้วนั่งอยู่ในรถ พอ เธอมองไปก็เห็นแต่แสงที่แยงมา เล่นเอาซะแสบตา ไหนล่ะ

หล่อ?

ได้กระชากแขนเสื้อเธอเบาๆ อย่างไร้คำพูด พูดเสียงเบา

ว่า “หัวเหยา เธอใจเย็นหน่อย!”

“ฉันใจเย็นไม่ได้!”

“เธออย่าลืมสิว่าเธอเป็นดาราหญิง”

“ฮือ ดาราหญิงก็ต้องการความรัก!”

จึงหนิง

เธอนั้นเริ่มที่จะรับไม่ได้กับความบ้าคลั่งของเพื่อนสาวแล้ว ก็เลยทำได้แค่กัดฟันพูดเบาๆ ว่า “ไม่ว่ายังไงเธอนั้นก็ยังเป็นคุณหนูใหญ่ของตระกูลหัว ในวงการบันเทิงก็เป็นสาวสวย อันดับหนึ่ง ไล่จีบเขามาหกปีแต่ก็ยังทำได้แค่ว่าเบียดอยู่ใน กลุ่มแฟนคลับแล้วก็โบกธงตะโกนร้อง เธออายไหมอ่ะ?”

หัวเหยา :

เธอหันหน้ามา จ้องจึงหนิงด้วยความโมโห “เธออะไรที่ไม่ควรพูดก็ไม่ต้องพูด!”

จึงหนิงหัวเราะออกมาอย่างได้ใจ สายตาได้มองข้างทีมรถ ของจี้หลินยวน ไปหยุดที่รถแข่งสีดำคันหนึ่งที่อยู่ตรงข้าม

เห็นว่าธงเล็กๆ ที่อยู่ทางนั้นกับแบนเนอร์ทั้งหมดได้เขียน ชื่อของลู่หยั่นคือ

คืนวานที่เธอได้หาข้อมูลบนเน็ตนั้น ก็ได้เห็นลู่หยั่นจือใน อีกมุมแบบไม่ได้ตั้งใจ นักแข่งมือหนึ่งของทีมม้าดำ

ถึงแม้ว่าสู่หยั่นจือนั้นเป็นผู้กำกับที่มีชื่อเสียงในประเทศ แต่ว่าเป็นคนที่ไม่ค่อยเปิดเผย เพราะงั้นน้อยมากที่จะมีคน รู้จักมุมนี้ของเขา

และในวงการแข่งรถนั้นได้ปิดเป็นข่าววงใน คนที่ไม่สนใจ ในวงการนี้ไม่มีทางที่จะรู้เรื่องนี้ เพราะงั้นคนที่รู้เรื่องนี้ก็ได้ น้อยเข้าไปอีก

จึงหนิงมองลงเล็กน้อย คิดไปคิดมา ก็ได้บอกกับหัวเหยา อ้างว่าจะไปห้องน้ำแล้วเดินออกไป
ทางถนนแข่งนั้น เสียงนกหวีดได้ดังขึ้น การแข่งขันได้เริ่ม ขึ้นแล้ว

เป็นการแข่งระยะทางสี่กิโลเมตร แบ่งเป็นรอบคัดเลือกกับ รอบสุดท้าย ทั้งหมดสามการแข่งขัน

รอบสุดท้ายมีสองการแข่งขัน เป็นรอบกำจัดคู่แข่ง การ แข่งรอบสุดท้าย คนที่มาถึงเส้นชัยก่อนเป็นคนชนะ

ก่อนหน้านั้น จี้หลินยวนได้เป็นผู้ชนะการแข่งขันอันดับ หนึ่งสี่ครั้งซ้อน

แต่ก่อนหน้าเขานั้น ที่หนึ่งเป็นของทีมม้าดำมาโดยตลอด

และครั้งนี้ ทีมม้าดำได้ให้ลู่หยั่นจือลงแข่งขันเอง คนในทีม ก็ได้อีกเหิมสุดๆ ได้มีท่าทางที่ว่าไม่เอาที่หนึ่งกลับคืนมาไม่มี ทางที่จะล้มเลิก

ไม่นาน การแข่งคัดเลือกก็ได้จบลง

ทีมม้าดำได้เข้ารอบอย่างไม่ต้องสงสัย

คนที่เข้ารอบมาด้วยกันนั้นก็ยังมีทีมอินทรีย์บินที่จี้หลิน ยวนเป็นผู้นำแล้วก็อีกสองทีม

การแข่งรอบสุดท้ายก็ใกล้เริ่มขึ้น

ห้องพักผ่อน คนในทีมนั้นได้ช่วยลู่หยั่นจือผ่อนคลายเพื่อ เตรียมตัว อยู่ๆ คนในทีมคนหนึ่งก็ได้เดินเข้ามาแล้วก็พูดว่า”พี่สู่ ข้างนอกมีคนมาหา”

สู่หยั่นจือแปลกใจเล็กน้อย

“ใคร?”

คนนั้นได้สายหน้า ไม่รู้ทำไมหน้านั้นก็ได้แดงเล็กน้อย

“ไม่รู้จัก แต่ว่าหน้าต่างนั้นสวยมาก”

ลู่หยั่นจือแปลกใจยิ่งกว่าเดิม

“ผู้หญิง?”

“อึม”

“ให้เธอเข้ามา!”

จึงหนิงถูกคนพาเข้ามา มองไปแวบเดียวก็เห็นลู่หยั่นจือที่ นั่งอยู่บนเก้าอี้

เทียบกับทางท่าของผู้กำกับ ลู่หยั่นจือในเวลานี้ได้ดูคม เข้ม ถึงแม้ว่ามีอายุสี่สิบกว่าแล้ว แต่ว่ามองไปแล้วก็เหมือน ว่าได้มีความเลือดร้อนของวัยรุ่นซ่อนอยู่ในภายใต้ความเย็น ชานั้น

เธอได้ยิ้มอ่อนๆ เธอเดินไปข้างหน้าเขาอย่างมีมารยาท ยื่นมือแล้วพูดว่า “ผู้กำกับลู่ ไม่ได้เจอกันนานเลยนะคะ”

“เป็นเธอ?”
สู่หยั่นจือนั้นตกใจ

เขารู้จักจิงหนิง

ห้าปีก่อน ในการสอบคัดเลือกของมหาวิทยาลัยศิลปากร รอยัล เขานั้นเป็นผู้คุมสอบแล้วก็ได้เห็นผลงานของหญิงสาว คนนี้

ตอนนั้นเขาได้ทิ้งมากๆ แต่ว่าต่อมาจึงหนิงก็ได้ถูกพูดว่า เธอลอกมา แล้วขโมยผลงานของน้องสาว ถูกตัดสิทธิ์ไป

ถึงแม้เขาเสียดาย แต่ว่ากฎการสอบนั้นได้ตั้งไว้แล้ว เขาก็ ไม่รู้จะพูดอะไร ต่อมาก็ได้ยุ่งเรื่องงาน ก็ไม่ได้ติดตามเรื่องนั้น

ต่อ

แต่คิดไม่ถึงว่า วันนี้จะมาเจอกันที่นี่

เวลานั้น เขาก็ยังยิ้มออกไปอย่างเป็นมารยาท แล้วลุกขึ้น

จับมือของเธอ

จึงหนิงยิ้มแล้วพูด “การที่ผู้กำกับลู่จำฉันได้ เป็นอะไรที่น่า

ภาคภูมิจริงๆ”

รอยยิ้มของลู่หยั่นจือดูฟันมากๆ

“คุณมาหาผมวันนี้มีอะไร?”

“คุณวางใจเถอะค่ะ ฉันนั้นไม่ได้มาหาคุณเพราะเรื่องเมื่อ ห้าปีก่อน ถึงแม้ฉันนั้นรู้สึกว่าไม่ยุติธรรม แต่ว่าเรื่องมันผ่านไปแล้ว ใครมันจะไปจับอดีตที่เน่าเฟะไม่ปล่อยล่ะจริงไหม?” สู่หยั่นจือขมวดคิ้วเล็กน้อย กำลังจะพูดอะไร

จึงหนิงก็ได้เปิดปากพูดก่อนว่า “ฉันได้ยินว่าครั้งนี้ทีมม้าดำจะชิงที่หนึ่ง?” พูดถึงเรื่องนี้ คนรอบๆ ก็ได้นิ่งทันที ได้เปลี่ยนความสนใจของลู่หยั่นจือได้สำเร็จ เขาจ้องมองจึงหนิง พูดเสียงเข้ม “ใช่แล้วจะทำไม?” จึงหนิงยิ้มออกมา

“ผู้กำกับลู่ คำพูดของฉันอาจจะดูเสียมารยาทไปหน่อย แต่ว่าความจริงนั้นมันก็เป็นแบบนี้ ม้าดำอยากจะคว้าที่หนึ่ง ความเป็นไปได้นั้นน้อยนิดมาก”

พอคำพูดนี้ออกไป สีหน้าของทุกคนนั้นก็ได้ตึงเครียดทันที มีคนพูดด้วยความโมโหว่า “ยังไม่ได้แข่งเธอเอาอะไรมา

พูดแบบนั้น?”

“ใช่! ฉันว่านะเธอนั้นจงใจจะมาหาเรื่อง เชื่อไหมว่าพวก เรานั้นจะไล่เธอออกไปเดี๋ยวนี้!”

จึงหนิงกระตุกมุมปาก ยังมีสีหน้าที่ดูเหมือนว่าง่ายเหมือน เติม มองคนรอบข้างสักพัก
จากนั้น ก็ได้ค่อยๆ พูดวิเคราะห์ออกมาว่า “การแข่งขัน ครั้งก่อนของผู้กำกับลู่ก็เมื่อสี่ปีก่อน ตอนนั้นแพ้ให้จี้หลินยวน ด้วยเวลาที่ห่างกันศูนย์จุดห้าวิ ถูกเขาแย่งเอาชื่อเซียนแข่ง รถไป ต่อมานั้นก็ไม่ได้เข้าร่วมแข่งขันมาโดนตลอด

สี่ปีที่ผ่านมานี้ จี้หลินยวนได้ชนะไปหลายสมัยติด ม้าด่า นั้นอยากจะเอาแชมป์กลับคืน เพราะงั้นได้ฝึกสกิลการขับรถ มาตลอด ฉันรู้ค่ะว่าผู้กำกับลู่นั้นได้ฝึกมาอย่างยากลำบาก การพัฒนาจากเวลาสองนาทีสามวิของสี่ปีก่อน ลดมาเหลือ หนึ่งนาทีห้าสิบสี่วิ

ไม่พูดไม่ได้ว่า การแข่งระยะทางสี่กิโลเมตรนั้น นั้นเป็น สกอร์ที่ทำให้คนนั้นทิ้งมากๆ แต่ว่าคุณรู้เรื่องสกอร์ที่จี้หลิน ยวนไปแข่งที่ต่างประเทศนั้นได้เท่าไหร่ไหมคะ?”

สีหน้าของลู่หยั่นจือได้เปลี่ยนเล็กน้อย

จึงหนิงก็ได้ยิ้มออกไปแล้วก็พูดทีละคำว่า “หนึ่งนาทีสี่สิบ แปดวิ”

คนที่ได้ยินในเหตุการณ์นั้นก็ได้ตกใจเลยทั้งหมด ถึงแม้ว่าห่างกันแค่หกวิสั้นๆ แต่ว่าทั้งหมดนั้นรู้ดีว่า ถ้า

อยากจะเอาหกวิมานั้น มันยากขนาดไหน

การที่มีฝีมือที่ดีมากแบบพวกเขานั้น เหมือนว่าแต่ละคน นั้นได้เอาความสามารถของตัวเองออกมาจนสุดแล้ว ถ้าอยากจะก้าวข้ามไปอีก เหมือนว่ามันเป็นไปไม่ได้ แต่ว่า หนึ่งนาทีสี่สิบแปดวิ ก็ดูโรคจิตเกินไปหรือเปล่า!


เพื่อการอัปเดตบทที่เร็วขึ้น กรุณาบริจาคสำหรับเว็บไซต์เพื่อซื้อบทใหม่! ขอขอบคุณ
THB

เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ