วิวาห์หวาน นายซาตาน ที่รักของฉัน

บทที่ 19 เขาไม่ขาดเงิน



บทที่ 19 เขาไม่ขาดเงิน

เดินช้อปปิ้งตั้งแต่ตอนบ่ายจนถึงตอนเย็น

จึงหนิง หิวจนท้องร้องจ้อกๆ

สู่จิ่งเซิน เพื่อที่จะขอบคุณที่เธอช่วย “เลือก” เสื้อผ้าให้ตนเอง จึง

ตั้งใจเลี้ยงข้าวเย็นเธอ

ตั้งแต่แรก จึงหนิง ก็หิวแล้ว ย่อมไม่ปฏิเสธด้วยความดัดจริตอีกอยู่ แล้ว ดังนั้นตอนเย็นทุ่มหนึ่ง ทั้งสองคนก็ไปกินข้าวที่เถาหรันจูใน บริเวณนั้น

ปูใหญ่เป็นเมนูใหม่ที่เพิ่งออกมา ทันทีนั้นเธอกินไปแล้วสิบอัน

หนุ่มน้อยที่อยู่ข้างโต๊ะล้วนดูจนตาค้าง ในใจแอบพิจารณา ชายคน หนึ่งที่มองขึ้นมาแล้วรูปหล่อยอดเยี่ยมขนาดนี้ ให้แฟนสาวของ ตนเองหิวถึงขนาดนี้ได้ยังไงหรือ? นี้ไม่ได้กินข้าวมากี่วันแล้วล่ะ?

เมื่อ จึงหนิง หิวจัดกินอะไรขึ้นมา ที่ผ่านมาไม่เคยกังวลเรื่องภาพ ลักษณ์มากเกินไปเลย

นี่เป็นสิ่งที่เธอฝึกฝนจากงานในหลายปีที่ผ่านมาไม่กังวลใน

ภาพพจน์

เพราะว่าเวลาส่วนใหญ่ล้วนยุ่งมาก ในสภาพการณ์ที่ยุ่งจัด สามารถกินข้าวตามเวลาที่ฟุ่มเฟือยพอแล้ว ที่ไหนยังจะกังวลเรื่อง ภาพลักษณ์ได้?

แต่คิดว่าอยากจะกินเสร็จให้เร็วหน่อยรีบไปทำงาน

ตอนที่กินหมดอันที่สิน จึงหนิง ยังอยากจะยื่นมือไปหยิบ จานที่ใส่ปูอยู่บนโต๊ะอยู่ดีๆกลับถูกคนยกไปเลย

เธอเงยหน้ายิ้งชะงักจ้องมอง สู่จึงเซ็น ถามอย่างมีนงงว่า “คุณทำ อะไรล่ะ?”

สู่จิงเซิน ส่งจานให้พนักงานยกไป เสียงเข้มพูดว่า “ปูกินเยอะแล้ว ร่างกายจะเย็น เปลี่ยนกินอย่างอื่นบ้าง”

จึงหนิง ไม่พอใจจนยื่นปากยื่นแล้วยื่นอีก แต่ก็รู้ว่าสิ่งที่เขาพูดเป็น ความจริงได้แค่ช่างเขาเถอะ

แต่ว่าจ้องมองอาหารอื่นๆ ที่อยู่บนโต๊ะหนึ่งที่ ดูเหมือนอิ่มเล็กน้อย ก็ไม่ค่อยอยากกินเท่าไหร่

ดังนั้นถือโอกาสวางถ้วยชามลง

ลู่จิ้งเซ็น เห็นเธอวางตะเกียบลง ตัวเองก็ไม่กินแล้วเช่นกัน

เรียกพนักงานเข้ามาเช็กบิล ทั้งสองคนลุกขึ้นมาพร้อมกันเดินออก

ไปยังข้างนอก

Rolls-Royce สีดำก็จอดอยู่ข้างถนน ซูมู่ ลงจากรถ ช่วยพวกเขา

เปิดประตูอย่างเคารพ

จึงนิ่ง ยิ้มตาหยีทักทายกับเขา “ผู้ช่วยซู คุณกินข้าวหรือยัง?”

ซูมู่ มักจะรู้สึกถึงว่าในรอยยิ้มนั้นมีกลิ่นอายที่อืมครีมเล็กน้อย รีบ พยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “กินมาแล้ว”

“อิม งั้นก็ดีแล้ว”

จึงหนึ่ง ขึ้นรถพูดเสียงเบาๆกับ สู่จิงเซิน ว่า “ประธานสู่ ผู้ช่วยของ คุณคนนี้ถึงขนาดกล้าขับรถของคุณออกไปกินข้าว ทั้งคุณอยู่ที่ โรงแรมไม่สน ฉันดูแล้วก็เหมือนจะโอหังมากเกินไปแล้ว”
ซูมู่ เกร็งไปทั้งตัวอย่างฉับพลัน ทำหน้าขมอธิบายว่า “ท่าน ประธาน ผมไม่ได้ทำ ผมก็กินอยู่ในร้านอาหารแถวๆนี้ล่ะ”

สู่จึงเป็น กลับเหมือนไม่ได้ยินคำพูดของเขา พยักหน้าแฝงไว้ด้วย รอยยิ้ม

“อืม ใช่โอหังสักหน่อย กลับไปแล้วผมจะลงโทษเขา”

“ได้ครับ”

จึงหนิง แก้แค้นสำเร็จ ซูมู่ สีหน้าขมเต็มใบหน้า ลู่จิ้งเซิน รักใคร่ โปรดปรานจนลูบหัวของเธอลูบแล้วลูบอีก

สตาร์ทรถแล้ว อยู่ดีๆลู่จิงเซิน หยิบถุงใบหนึ่งมาจากข้างหลังส่งให้

เธอ

“อันนี้ให้คุณ”

จึ่งหนิง บึ้งชะงักไป รับมาดูแล้วดูอีก ถึงขนาดเป็นกระโปรงตัวนั้นที่ ก่อนหน้าเธอลองใส่อยู่ในร้าน

“คุณทำไมเอาอันนี้ออกมาล่ะ?”

ลู่จิ้งเซิน ยิ้มแล้วยิ้มอีก “คุณไม่ชอบหรือ ? ซูมู่ เห็นคุณชอบ ก็ซื้อ มันไว้เลย”

จึงหนิง จ้องมอง ซูมู่ หนึ่งที่

ซูมู่ ได้รับสัญญาณขอความช่วยเหลือจากประธานบ้านตนเอง รีบ พยักหน้า

“ใช่แล้วใช่แล้ว คุณหนูจึ่ง เป็นผมซื้อเอง อันนั้น..ท่อนหน้านั้น ที่โกหกเพื่อนสนิทของท่าน ก็แค่พูดไปเฉยๆ ท่านมีจิตใจกว้างขวางจะ ไม่ได้เกียงกับคนใจแคบนะ ก็อย่าได้คิดเล็กคิดน้อยเลย!”
จึงหนิง จ้องมองเขา ผ่านไปสักพัก อยู่ดีๆยิ้มขึ้นมา

แท้จริงแล้วเธอแค่หยอกเล่นกับ ผู้ช่วยซู คนนี้สักหน่อย คิดไม่ถึงว่า เขาจะตื่นเต้นขนาดนี้

เธอพยักหน้าแล้วพยักหน้าอีก หยิบมือถือขึ้นมา “งั้นฉันโอนเงิน

คืนให้คุณ”

“ไม่ต้องๆ”

ชูมู่ รีบปฏิเสธ ใครจะรู้ล่ะ เงินนี้เป็นท่านประธานออกเอง ที่ไหนล่ะ

เขาจะกล้ารับ?

เขาหัวเราะเยาะหนึ่งที อธิบายว่า “อันนั้น… แท้ที่จริงแล้วผมก็ แค่ออกไอเดียเท่านั้น ตัดสินใจที่จะทำหรือไม่ยังอยู่ที่ท่านประธาน ดัง นั้นท่านอยากจะคืนก็คืนให้ท่านประธานเถอะ!”

พูดจบ รีบหุบปากแกล้งตาย ก็ไม่พูดอีกเลย

จึงหนิง แปลกใจจนจ้องมองไปยัง ลู่จิงเซิน ลู่จิ่งเซิน พูดราบเรียบ ว่า “ผมไม่ขาดเงิน”

จึงหนิง “.

เธอจะไม่รู้หรือว่าเขาไม่ขาดเงิน? จำเป็นต้องให้เขาพูดออกมาด้วย

หรือ?

ลู่จิงเซิน หันหน้ายิ้มจ้องมองเธอ “หากว่าคุณอยากจะคืนละก็ สู้ว่า

ช่วยผมทำเรื่องหนึ่งดีกว่า?”

“เรื่องอะไรหรือ?”

สู่จึงเป็น หยิบกระดาษไบหนึ่งออกมาจากในเอกสารปีกหนึ่งที่อยู่

ข้างๆ
จึงหนิง รับมาดูหนึ่งที่เป็นเคสที่อยู่ภายใต้ อานหนิงกั๋วจี้ เป็น ศิลปินชายคนหนึ่งดังมากในช่วงนี้

ศิลปินชายคนนี้ชื่อว่า เซ่เซียว สุดท้ายได้แสดงละครเรื่องราชวงศ์ ชิงเรื่องหนึ่งดังมาก มีนามว่า “เจ้าชายน้อยแห่งละครเรื่องราชวงศ์

ซึง”

แต่ “เจ้าชายน้อยแห่งละครเรื่องราชวงศ์ชิง” คนนี้ สุดท้ายกลับตก อยู่ในข่าวฉาวเรื่องหนึ่ง นั่นก็คือแฟนสาวคนเก่าของเขาอยู่ดีๆ โผล่ ออกมา ตำหนิเขาว่าอยู่ในช่วงคบกันไม่เพียงแค่นอกใจ ยังกระทำ ความรุนแรงในครอบครัว เวลาตอนที่ยังไม่ตั้งยังเคยหลอกลวงเงิน ก้อนใหญ่ก้อนหนึ่งของเธอ จนป่านนี้ยังไม่ได้คืน

แค่มีชู้ก็เป็นเรื่องฉาวแล้ว ยังบวกกับหลอกลวงเงิน กระทำความ รุนแรงในครอบครัวอีก

อย่าเพิ่งพูดถึงความจริงเท็จของเรื่อง ทันทีที่ข่าวนี้แพร่ออกไป ย่อม

ต้องสร้างผลกระทบด้านลบต่อศิลปินอย่างมาก

หากว่ารุนแรงมากหน่อย สามารถพูดได้ว่าตั้งแต่นี้ไปก็ตัดขาดเส้น ทางการแสดงของเขาไปเลย อนาคตถูกทำพังหมดก็ไม่เกินไป

จึงหนิง จ้องมอง ลู่จิ่งเซิน หนึ่งที่ สงสัยเล็กน้อย

“เขาคือศิลปินที่อยู่ภายใต้ อานหนิงกั๋วจี้ บริษัทของพวกคุณไม่มี คนช่วยทำประชาสัมพันธ์ให้เขาหรือ?”

“ทำแล้ว แต่ว่าผลลัพธ์ไม่ดีเท่าไหร่ อีกทั้งปัจจุบันนี้ศิลปินของ บริษัทมากเกินไป เป็นไปไม่ได้ที่จะทุ่มแรงทั้งหมดให้กับเขาเพียงตัว คนเดียว”

จึงหนึ่ง ชมวดคิ้ว
“งั้นก็ไม่น่าจะต้องมาให้คุณกังวลใจมั้ง! คุณเป็นประธานบริษัทคน หนึ่ง มาเป็นห่วงเรื่องของศิลปินคนหนึ่งจะไม่ฟุ่มเฟือยพลังมากเกินไป หน่อยหรือ?”

ลู่จึงเซ็น เม้มปาก ชะงักแล้วชะงักอีก

ผ่านไปสักพัก จึงพูดว่า “เขาเป็นลูกพี่ลูกน้องของผม”

จิ่งหนิง …..

เพราะว่าน้องชายคนนี้ จึงหนิง มีเกียติรที่จะได้เข้าใจล่วงหน้าถึง ประวัติศาสตร์ในบ้านของ ประธานลู่ สักหน่อย

แต่กลับคาดคิดไม่ถึงขนาดยังมีเรื่องเล่าตอนหนึ่งของเจ้าชายกับซิ นเดอเรลล่า

ตามที่เล่ามาว่าบิดาของ ลู่จิ่งเซิน ในปีนั้นก็เป็นหนุ่มรูปหล่อคน

หนึ่งที่สุภาพงดงาม สง่าผ่าเผยเช่นกัน แต่กลับไม่ชอบคนที่ในบ้านวางแผนมาดูตัว แต่กลับรักสาวที่

ยากจนในบ้านหลังหนึ่ง

ในบ้านไม่ยอมรับ เขาก็พาสาวคนนั้นหนีตามไปกับความรัก เวลา กลับมาอีกครั้ง ลูกก็เติบโตสูงใหญ่เท่ากับขาผู้ใหญ่ขนาดนั้นแล้ว ผู้ใหญ่ทั้งสองเห็นสภาพนั้น ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะบังคับให้พวกเขาแยก จากกันอีกด้วย ได้แค่รับปากไป

เด็กคนนั้นย่อมเป็น ลู่จึงเซ็น อยู่แล้ว

แต่ เช่เชียว เป็นลูกเดียวของน้องสาวแม่เขา หลายปีที่ผ่านมา แม้ว่าทั้งสองบ้านเข้าหากันไม่บ่อย แต่เมื่อมีเรื่องจริงๆ ยังช่วยเหลือกันอยู่เช่นเดิม

หลังจาก จึงหนิง ฟังจบแล้ว ดีใจอย่างมาก

“ดูไม่ออกเลย พ่อคุณช่างยังมีความสามารถนะ งั้นเขากับแม่ใน ตอนนี้น่าจะใช้ชีวิตอย่างมีความสุขมากล่ะ!”

สายตาของ ลู่จิ้งเซิน มองไปยังข้างนอกหน้าต่าง ยังแฝงไว้ด้วย ความเศร้าเล็กน้อย “น่าจะล่ะ! หากว่าพวกเขายังมีชีวิตอยู่ละก็”

จึงหนิ่ง อึ้งชะงักไป

รอยยิ้มค้างอยู่มุมปาก

ผ่านไปหลายวินาที เธอจึงมีสติกลับมา รีบเก็บสีหน้า พูดเบาๆว่า “ขอโทษนะ ฉันไม่รู้..”

“ไม่เป็นไร”

ลู่จิ่งเซิน หันหน้าจ้องมองเธอหนึ่งที่ “ผ่านไปแล้วหลายปี ผม ยอมรับความจริงมานานแล้ว”

ในทันทีนั้น จึงหนึ่ง ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี อยู่ดีๆบรรยากาศกลายเป็น ดึงเครียดและอึดอัดใจ

เธอได้แค่ย้ายคำพูดไปยังเคสของ เซ่เซียว “เรื่องนี้ฉันสามารถช่วย

คุณได้ พอดีช่วงนี้ฉันว่างอยู่ แต่ว่าต้องให้ฉันเจอเขาก่อนจึงได้”

“อึม” สู่จิ้งเซิน พยักหน้า “มะรีนเถอะ!ช่วงนี้เขาออกไปพักผ่อน หย่อนใจที่ต่างประเทศแล้ว ผมจะให้เขาจองตั๋วเครื่องบินกลับมาพรุ่ง

“ได้ค่ะ
หลังจากตกลงเสร็จแล้ว ผ่านไปไม่นานก็มาถึงไต้ดีกคอนโดที่ จึง

หนึ่ง พักอยู่

เธอผลักประตูรถออก ลงจากรถ หมุนตัวโบกมือลากัน สู่จิงเซิน

ในทิวทัศน์ยามค่ำคืนที่มืดมิด กลับไม่รู้ว่าเป็นยังไง อยู่ดีๆรู้สึกถึง

ผู้ชายที่สุภาพงดงามนั่งอยู่หลังรถคนนั้นโดดเดี่ยวเดียวดายเล็กน้อย เหมือนเช่นดั่งโคมไฟโดดเดี่ยวที่สว่างอยู่ในค่ำคืนที่ยาวนานดวง เดียว ความอ้างว้างที่พูดไม่ออก

อยู่ดีๆ ใจของเธอก็เหมือนดั่งถูกอะไรแทงเข้าไปหนึ่งที่ การเต้นของ หัวใจล้วนเร็วขึ้นหลายนาทีแล้ว

ลู่จิ่งเซิน ยิ้มกับเธอ ยิ้มแล้วยิ้มอีก ส่งสัญญาณให้เธอขึ้นตึก จิ้งหนึ่ง พยักหน้า ไม่ได้ลังเลมาก หมุนตัวเดินไปยังตึกคอนโด

รถที่อยู่ข้างหลัง รอเงากายของเธอเข้าไปในตึกใหญ่จนหมดแล้ว จึงออกไป จึงหนิง หันหน้ามองไปยังทิศทางที่รถขับไป คิดแล้วคิดอีก หยิบมือถือขึ้นมากดเบอร์หนึ่งโทรออกไปเลย

“ฮัลโหล ฉันอยากไปหาคุณ ไปทำความเข้าใจคนคนหนึ่ง คุณสนิท กับ เช่เซียว ใหม?”


เพื่อการอัปเดตบทที่เร็วขึ้น กรุณาบริจาคสำหรับเว็บไซต์เพื่อซื้อบทใหม่! ขอขอบคุณ
THB

เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ