วิวาห์หวาน นายซาตาน ที่รักของฉัน

บทที่ 138 ลาก่อนอานอาน



เธอหยุดชะงักไปครู่หนึ่งแล้วถอนหายใจออก

רע

“เป็นลูกที่กตัญญูแท้ๆ แต่น่าเสียดายที่เป็นผู้ หญิง วันข้างหน้ายังไงหล่อนก็คงจะแต่งงานออก เรือนไป เพราะงั้นหล่อนจึงไม่อาจมารับช่วงต่อธุรกิจ ของครอบครัวได้

จิ่งเซี่ยวเต่อลุกขึ้นมานั่งหลังตรงพร้อมกับ เหลือบตามองไปที่เธอด้วยท่าทีระมัดระวัง

แต่ก็เห็นแค่หวังเสบู่เหมยกำลังยกถ้วยน้ำชาที่ อยู่ด้านข้างขึ้นมาจิบ จากนั้นก็พูดกับจิ่งเซียวเตอ “เร็วๆนี้ จิ่งหูเซินจะกลับมาไหม? ”

จิ่งหูเซ็นเป็นหลานชายของจิ่งเซี่ยวเต๋อ และ เป็นลูกคนเดียวของลูกชายคนที่สองของหวังเสวีเหม ย นั่นก็แปลว่าเขาเป็นหลานชายแท้ๆของเธอ

ย้อนกลับไปในอดีต ตอนนั้นจิ่งเซี่ยวเต๋อเป็น นักเรียนที่ยากจนมาก แต่ก็จับพลัดจับผลูมาพัวพัน กับโมไฉ่เวยที่อยู่ในตระกูลที่ร่ำรวยเป็นอันดับหนึ่ง ของเมืองจิ้น หลังจากนั้นมาสถานการณ์ของตระกูล จึงเลยได้ดีขึ้นตามไปด้วย

ทว่าน่าเสียดายที่ตระกูลจึงไม่มีพี่น้องลูก หลานเยอะ ในยุคสมัยนั้นโดยทั่วไปแต่ละครอบครัว จะมีลูกถึงสี่ห้าคนเลย แต่ครอบครัวของเขากลับมี อยู่แค่สองพี่น้องซึ่งจึงยี่ที่เป็นน้องชายได้ป่วยตายไปนานแล้ว จึงเหลือเพียงแค่หญิงหม้ายที่กำลังตั้งครรภ์อยู่ ต่อ มาเนื่องจากโมไฉ่เวยสงสารพวกเขา เธอจึงพาพวก เขามาอยู่ที่เมืองจิ้นแล้วจัดหาบ้านหางานให้พวกเขา

น้องสะใภ้ซูหวั่นเป็นคนเงียบๆไม่ค่อยสนิทกับ ใคร ถึงแม้จะอยู่ในเมืองเดียวกัน แต่เธอก็ไปมาหาสู่ ระหว่างตระกูลจิ่งกับตระกูลไมไม่บ่อยนัก

ทว่าโม่ไฉ่เวยก็เคารพนับถือหล่อน เมื่อรู้ว่า หล่อนไม่สะดวกที่จะมาที่นี่ ถ้าไม่มีปัญหาอะไรเธอจึง ไม่ได้ไปสนใจทางนั้นมากเท่าไหร่

จะมีอยู่ก็ตอนเมื่อสิบปีก่อนที่จิ่งหูเซินต้องไป เรียนต่อที่ต่างประเทศ ในตอนนั้นซูหวั่นมีเงินไม่พอ ดังนั้นโมไฉ่เวยจึงยื่นมือเขาไปช่วยเธออีกครั้งหนึ่ง

อย่างที่เห็นว่าตามหลักทั้งสองตระกูลควรเป็น ญาติที่สนิทกัน แต่แปลกที่หลายปีมานี้พวกเขาแทบ จะไม่ไปมาหาสู่กันเลย

จิ่งเซี่ยวเต๋อฟังที่คุณยายพูดพร้อมกับกระ พริบตาปริบๆแล้วพยักหน้าลง

“ใช่ครับ ก่อนหน้านี้ผมโทรไปถามแล้ว เขา บอกว่าน่าจะกลับมาประมาณเดือนที่สี่ของปี ”

“อืม กลับมาก็ดีแล้วยังไงเขาก็เป็นเลือดเนื้อ เชื้อไขของตระกูลจิ่ง แถมยังมีความพยายามมุมานะ ที่จะเรียนหนังสืออยู่เสมออีก ถือว่าเป็นเด็กที่ฉลาด หลักแหลมมาก ฉันเชื่อว่าถ้ายกตระกูลจึงให้เขาดูแล มันต้องเจริญรุ่งเรืองดีมากยิ่งขึ้นแน่ๆ ”
จึ่งเขียวต่อขมวดคิ้ว นอย่างไม่เข้าใจ

หวังเลวเหมยไม่พูดอะไรออกมาอีก ได้แต่ โบกมือไปมาเป็นการไล่ให้ออกไป “เอาล่ะ นายไป จัดการเรื่องของนายเถอะ ฉันเหนื่อยแล้วจะพักผ่อน ซักหน่อย”

จึ่งเขียวเตอพยักหน้ารับ “ครับ”

ณ อีกทีหนึ่ง

จิ่งหนิงกำลังจดจ่อตั้งใจทํางาน

ช่วงนี้ตารางงานของหลินเทียนแน่นมาก แต่ ทั้งหมดก็เป็นเพียงแค่งานเล็กๆเท่านั้น เพราะยังไง พวกเขาก็พึ่งกลับมาเลยต้องคอยดูสถานการณ์ก่อน

อีกอย่างเรื่องที่ค่อนข้างสำคัญในตอนนี้ก็น่าจะ เป็นการจัดคอนเสิร์ตพบปะกับแฟนคลับครั้งแรก ของเขา

พวกเราจัดคอนเสิร์ตเล็กๆขึ้น มีโชว์การแสดง รอบเดียว ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง จำนวนบัตรที่ จําหน่ายออกไปก็มีไม่มาก เพราะงั้นนี่จึงไม่ถือว่าเป็น ธุรกิจอะไร และนี่คงเพราะเขาเพิ่งกลับมา ถึงแม้จะมี แฟนคลับเยอะ แต่กลับไม่ค่อยมีแฟนคลับตัวยงมาก เท่าไหร่นัก เนื่องจากหลายปีมานี้เขามีกิจกรรมใน ประเทศค่อนข้างน้อย

ฉะนั้นแฟนคลับส่วนมากเลยมักจะเป็นพวกที่ เคยดูผลงานแล้วชอบหน้าตาหรือไม่ก็เป็นพวกแฟน คลับที่คอยติดตามมานาน
จัดกิจกรรมคอนเสิร์ตพบปะทักทายแฟนคลับในครั้งนี้ขึ้น เพื่อช่วยให้ระยะห่างระหว่าง เขากับแฟนคลับใกล้ชิดกันมากขึ้น พวกเขาจะได้ กลายเป็นแฟนคลับตัวยงของเขาก่อน แล้วพอหลัง จากนั้นค่อยว่ากันอีกที

ถึงแม้ความนิยมในประเทศจะไม่เยอะเท่าที่ ต่างประเทศ แต่มันก็จำเป็นต้องต่อสู้ดิ้นรนกันต่อไป ก่อนหน้านี้ที่หลินเทียนไปโด่งดังอยู่ที่ต่างประเทศ เขาไม่เคยได้สนใจกับเรื่องพวกนี้เลย เพราะงั้นเขา ถึงไม่รู้จักโตเป็นผู้ใหญ่ซักที คราวนี้ถือว่าเป็นการ พยายามเพื่อฐานแฟนคลับแล้วกัน

งานคอนเสิร์ตดำเนินการไปได้อย่างสําเร็จ ลุล่วงด้วยดี และในฐานะที่หลินเทียนทำงานในวงการ มานาน ฉะนั้นเขาจึงเข้าใจดีว่าทำยังไงแฟนคลับถึง จะรักเขา

เขาร้องออกไปได้ไม่กี่เพลง แฟนคลับที่อยู่ ด้านล่างเวทีก็ส่งเสียงกรีดกันคอแทบแตกแล้ว บรรยากาศทั่วทั้งงานจึงอบอวลไปด้วยความสุขมาก เป็นพิเศษ

ครั้งนี้จึงหนิงเดินทางมาดูงานด้วยตัวเอง เมื่อ เธอเห็นสถานการณ์ที่อยู่ตรงหน้าเธอก็โล่งใจทันที

และในขณะที่กำลังจะขอตัวกลับก่อนนั้น เธอก็ เห็นเงาคนตัวเล็กๆที่คุ้นตานั่งอยู่ในมุมมืดของหอ ประชุม

อานอาน?

หล่อนมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง?
จิ่งหนึ่งมองดูบริเวณรอบๆอย่างละเอียด แต่ กลับไม่เห็นใครอยู่ข้างๆหล่อนเลยซักคน

เด็กตัวน้อยนั่งอยู่ตรงนั้นคนเดียวพร้อมกับ มองไปบนเวทีอย่างตั้งใจ ใบหน้าจิ้มลิ้มถูกความมืด ปกคลุมไว้ ช่างเป็นภาพที่ทําให้ปวดใจเหลือเกิน

จิ่งหนิงรีบเร่งฝีเท้าเข้าไปหาหล่อน

อานอาน ทำไมหนูถึงมาอยู่ที่นี่คนเดียว? แล้ว ผู้ปกครองล่ะ? ”

เด็กน้อยละสายตาจากเวทีลงมาแล้วพอเห็นว่า เป็นเธอ หล่อนก็เบิกตาโพลงด้วยความดีใจ “หม่า!

หล่อนกระโดดโลดเต้นลงมาจากเก้าอี้ด้วย ความดีใจแล้วกระโจนเธออย่างรวดเร็ว

จิ่งหนึ่งรีบยื่นมือออกไปรับหล่อนไว้ ซึ่งใน ขณะเดียวกันก็มีพนักงานที่กำลังเดินมาหาเธอเพื่อ ส่งรายงานผลสรุปของคืนนี้ให้แล้วเห็นภาพที่อยู่ตรง หน้าเข้าพอดีจึงตกใจจนเบิกตาโพลง

ประธาน ……แต่งงานแล้วเหรอ?

อีกทั้งลูกยังโตขนาดนี้แล้วด้วย? แม่เจ้า! พวกเธอพลาดข่าวใหญ่ขนาดนี้ไปได้ ยังไง?

จิ่งไม่รู้ว่าฝ่ายตรงข้ามกำลังคิดอะไรอยู่ เธอเลยยื่นมือออกไปรับรายงานในมือของหล่อน จากนั้นก็บอกให้หล่อนกลับไปทํางานต่อ
เธอวางหนูน้อยลง แล้วมองหล่อน ด้วยท่าทีจริงจังพร้อมกับถามขึ้น หนูถึงมาอยู่ ทีนิคนเดียว? คุณยายหนูล่ะ?

พอพูดถึงตรงนี้ อานอานก็หุบยิ้มลงทันที

หนูเดินหลงกับคุณยาย หม่า เอาหนูกลับ บ้านไปด้วยนะ ให้หนูไปด้วยเถอะ!

จิ่งไปพร้อมกับความรู้สึกกลืนไม่เข้า คายไม่ออกอยู่พักหนึ่ง

อานอาน อย่าไปพูดแบบนี้กับคนแปลกหน้าที่ ไหนอีกนะ มันอันตราย เอาล่ะ หนูบอกฉันมาเถอะว่า หนูหลงกับคุณยายตรงไหน เดี๋ยวฉันจะพาหนูไปหา คุณยายดีไหมคะ? ”

อานอานเอียงหัวไปด้านข้างพร้อมกับมองมาที่ เธอแล้วกระพริบตาปริบๆ

แต่ว่าเราไม่ใช่คนแปลกหน้ากันนา! เป็นหม่ามีที่ดีที่สุดในโลกนี้เลย จะเป็นคนแปลกหน้า ไปได้ยังไง?

จิ่งหนิงยิ้มร่าออกมาอย่างจนปัญญา

เธอย่อตัวลงไปนั่งยองๆ แล้วพูดอธิบายให้ หล่อนฟังอย่างใจเย็น

แต่ว่าพวกเราพึ่งรู้จักกันได้ไม่นานนะ ถ้าเกิด ว่าฉันคิดร้ายอะไรขึ้นมาล่ะ มันก็จะเป็นอันตรายกับ ตัวหนูไม่ใช่เหรอ?

อานอานฟังอย่างตั้งใจราวกับว่ากำลังคิดพิจารณาในสิ่งที่เธอพูดอยู่

ซักพัทหล่อนพยักหน้าออกมาอย่างฝืนใจ

“ก็ได้! หนูรู้ว่าคุณหวังดีกับหนู หนูยอมรับ ความหวังดีของคุณค่ะ”

หล่อนพูดไปพลางยื่นมือออกไปลูบหัวของจิ่ง หนิงเบาๆเพื่อแสร้งทำเป็นว่ามันจะมีเหตุการณ์แบบ นั้นเกิดขึ้นจริงๆ ท่าทางแบบนั้นมันเหมือนกับกำลัง บอกว่า ก็ได้! ฉันรู้ว่าคุณไม่เชื่อว่าบนโลกนี้จะมีรัก แท้อยู่ แต่ไม่เป็นไร ฉันไม่ถือสาคุณหรอก

จิ่งหนิงรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยู่พักหนึ่ง แต่พอเห็นว่าข้างๆไม่มีใครอยู่เลย เธอจึงอุ้มหล่อน ขึ้น

“เอาล่ะ อานอานบอกฉันมา พวกเธอเดินหลง กันตรงไหน ฉันจะพาไปตามหาคุณยายเดี่ยวนี้ เลย! ”

อานอานเหมือนจะไม่สมัครใจไปเท่าไหร่ แต่ หล่อนก็ยังฝืนใจพยักหน้าออกมา ” ก็ได้! ”

ตามที่หนูน้อยบอก ตอนที่กำลังเดินเข้ามาที่ ประตูทางเข้าหอประชุม เนื่องจากตอนนั้นคน พลุกพล่านมากจึงทำให้หล่อนกับคุณยายพลัดหลง กันตรงนี้

หลังจากที่ได้ฟังเด็กน้อยเล่าจบ จิ่งหนิงก็โกรธ เป็นฟืนเป็นไฟขึ้นทันที

ครอบครัวนี้นี่มันสะเพร่าเกินไปแล้วนะ!
วางใจปล่อยให้เด็กอายุแค่นี้ออกมาข้างนอก กับคนแก่อายุมากขนาดนั้นได้ยังไง?

ผู้สูงอายุร่างกายเขาก็ไม่ค่อยแข็งแรงมากจึง ไม่สามารถอุ้มเด็กเป็นเวลานานได้ แถมเด็กก็ยังอายุ น้อยมากอีกด้วย แล้วพอมาอยู่ในที่ที่คนพลุกพล่าน แบบนี้ ถ้าคลาดสายตาไปแค่แป๊บเดียวเด็กก็อาจจะ หายไปได้อย่างง่ายดาย

ไม่เข้าใจจริงๆเลยว่าผู้ใหญ่คนอื่นในครอบครัว นี้คิดอะไรอยู่!

จิ่งหนิงแอบด่าอยู่ในใจพลางเข้าไปบอก พนักงานฝ่ายประชาสัมพันธ์ให้ช่วยตามหา เพราะยังไงถ้ามาดูคอนเสิร์ตก็ต้องอยู่ข้างในนี้

ไม่หนีไปไหนแน่นอน


เพื่อการอัปเดตบทที่เร็วขึ้น กรุณาบริจาคสำหรับเว็บไซต์เพื่อซื้อบทใหม่! ขอขอบคุณ
THB

เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ