วิวาห์หวาน นายซาตาน ที่รักของฉัน

บทที่ 478 ไม่ใช่สุภาพบุรุษ



บทที่ 478 ไม่ใช่สุภาพบุรุษ

“ใช่มันจริงๆ ด้วย มันกลับที่อยู่ในมือของคุณ ของที่หายสาบสูญ ไปหลายปีมานี้ นี่มันของจริงหรือ? นายท่านรู้จักของที่อยู่ในกล่อง รู้สึกตื่นเต้นจนแดงไปทั่ว

ทั้งหน้า มือที่เหี่ยวย่นค่อยๆ สัมผัสร่างสั่นงันงกเล็กน้อย จูเก่อหลิวเฟิงไม่พูดไม่จา แค่ยิ้มอ่อนๆ แล้วมองอยู่ข้างๆ

จิ่งหนิงเห็นท่าทางที่ตื่นเต้นของเขา จึงเอ่ยถามด้วยความ แปลกใจ “คุณปู่ ท่านรู้จักของชิ้นนี้? ”

นายท่านพยักหน้า

แล้วสีหน้าแปรเปลี่ยนเล็กน้อย

“หนูพูดถูก ของชิ้นนี้ล้ำค่าเกินไปแล้ว ไม่สามารถรับได้ง่ายๆ จริงๆ ”

เขาลุกขึ้นทันที แล้วหันไปมองจูเก่อหลิวเฟิง ใบหน้าที่โชกโชน เก็บอาการตื่นเต้นเมื่อกี้นี้ไป สายตาเลือดเย็นขึ้นมาทันที

“พูดมา! วันนี้คุณเอาของชิ้นนี้มาที่นี่ อยากทำอะไรกันแน่? ”

จูเก่อหลิวเฟิงยิ้ม แล้วยกแก้วมาจิบชาหนึ่งคำ ถึงจะค่อยๆ พูด ขึ้น “ท่านผู้เฒ่าถามอย่างนี้มันแปลกเกินไปหรือเปล่า หลานสาว ของผมแต่งงาน แน่นอนว่าผมมาส่งของขวัญสิ แล้วจะทำอะไร ได้? ”
ผู้เฒ่าพึมพำด้วยความเย็นชา “คุณนึกว่าฉันเชื่อคำพูดหลอก ลวงแบบนี้หรอ? ”

หยุดนิ่งไปสักพัก แล้วพูดด้วยน้ำเสียงไม่เป็นมิตรต่อ “คนของ ตระกูลจูเก่อของพวกคุณมีนิสัยเป็นยังไง คนอื่นไม่รู้ แต่ฉันกลับรู้ ดีมาก ไม่มีผลประโยชน์ไม่มีทางตื่นเช้า คุณส่งของขวัญล้ำค่า ขนาดนี้มา ถ้าไม่เอาอะไรกลับไปหน่อยเลย นอกจากพระอาทิตย์ ขึ้นจากทิศตะวันตก ไม่งั้นก็คงไปไม่ได้”

จิ่งหนึ่งและลู่วิ่งเซินต่างรู้สึกคาดคิดไม่ถึง นึกไม่ถึงว่าผู้เฒ่าจะ พูดคำพูดแบบนี้ออกมา

จูเก๋อหลิวเฟิงหัวเราะอย่างเย้ยหยันอย่างฉับพลัน

“ท่านผู้เฒ่าพูดค่านี้ไร้เหตุผลเกินไปแล้ว ของชิ้นนี้ผมส่งให้ หนิงหนิง จะรับไว้หรือไม่ก็ขึ้นอยู่ที่เธอตัดสิน ท่านผู้เฒ่ายอม เอาใจคนต่ำต้อยวัดท้องสุภาพบุรุษ ผมก็คงไม่มีข้อคิดเห็นใด ทว่าของบางอย่าง แค่กลัวว่าไม่ใช่ท่านที่สามารถตัดสินใจ

ผู้เฒ่าถูกคำพูดของเขาแทงใจจนหน้าแดงขึ้นมา ผ่านไปสักพัก ถึงจะแสยะยิ้มอย่างเย็นชา

“สุภาพบุรุษ? เหอะ! ถ้าแกสามารถนับว่าเป็นสุภาพบุรุษ งั้น บนโลกใบนี้คงไม่มีคนชั่วแล้วล่ะ”

วันนี้เห็นได้ชัดเจนว่าเก่อหลิวเฟิงไม่ได้มาเพื่อทะเลาะกับท่าน ผู้เฒ่า ถึงแม้แต่ก่อนทั้งสองเคยทะเลาะกันบ่อยจนนับไม่ถ้วน ทว่า วันนี้ภารกิจของเขาคืออะไร เขารู้ดีแก่ใจ
พอได้ยินผู้เฒ่าพูดแบบนี้ ก็ไม่ได้อธิบายอะไร แค่มองวิ่งหนี

งด้วยสายตาที่เป็นประกาย

“หนิงหนิง เธอรู้ไหมนี่คืออะไร? ”

จิ่งหนิงเม้มปากแล้วส่ายหัว

“เคยได้ยินเรื่องราวนำเมืองมาแลกหยกไหม? ”

เธอชะงักไปเล็กน้อย แล้วทำสีหน้าที่เปลี่ยนไปเล็กน้อย

เรื่องราวเมืองมาแลกหยก อย่าว่าแต่เธอเลย เชื่อว่าคนที่เคย เรียกประถมก็รู้เรื่องนี้

หยกค่าเท่าเมืองก้อนนั้น ตั้งแต่ยุคจ้านกว๋อ ก็ถูกคนมองว่า เป็นของล้ำค่า หลังจากผ่านเวลามานับพันปี สุดท้ายหลังจาก ราชวงศ์ถังก็หายสูญหายไป และไร้เบาะแสใดๆ

พอนึกถึงการจารึกในประวัติศาสตร์ของหยกรูปงามก้อนนี้ ภายในใจของจิ่งหนิงอดไม่ได้ที่จะเกิดความผันผวน แล้วมองไป ยังงานหยากที่ใส่ไว้ในกล่อง จู่ๆ ก็นึกถึงอะไรบางอย่าง แล้ว สะดุ้งตกใจอย่างแรง

“ความหมายของคุณคือ………

จูเก๋อหลิวเฟิงพยักหน้าอย่างอมยิ้ม แล้วยื่นมือเอาจานหยกใน กล่องไม้ออกมา

“หยกชิ้นนี้เป็นหยกแกะสลัก ในเรื่องราวเอาเมืองแลกหยกใน ตอนนั้น หยกชิ้นนี้มีมาตั้งแต่ยุคสมัยจ้านกว๋อ และได้ผ่านหลายราชวงศ์ มีอายุยาวนานก็ไม่เสื่อมสภาพ จิ๋นซีฮ่องเต้จึงนำมันไป ท่าเป็นตราประทับหยก แล้วสืบทอดไปเป็นพันๆ ปี จนหลังจาก ราชวงศ์ถังมันก็หายสาบสูญไป หลังจากผ่านไปหลายมือและ หลายสถานที่ โชคดีที่บรรพบุรุษตามหามันเจอ แต่ตอนนั้นมันไม่ ได้รุ่งโรจน์เหมือนพันปีก่อน ทั้งยังพังและชำรุด ทีแรกบรรพบุรุษ อยากจะให้มันกลับมาเป็นสภาพเดิม และยังคงใช้ในการทำหยก ประทับตรา แค่เสียดายที่หาช่างนับไม่ถ้วนมาทำก็ไม่สามารถ สำเร็จ สุดท้ายตอนอยู่ภายใต้สถานการณ์ที่จนปัญญา ทำได้ เพียงนำมาแกะสลักเป็นจานหยก”

เขายื่นจานหยกในมือไปให้จิ้งหนึ่งแล้วพูดด้วยเสียงเรียบ “นี่ เป็นของที่พ่อเธอรักที่สุดตอนยังมีชีวิตอยู่ เขาเกิดมาก็มีภาวะไข้ สูง เลยต้องลูบจับสิ่งนี้นอนทุกครั้ง ถึงจะหลับไปได้ ตอนนี้ฉันจะ มอบมันให้เธอ ถ้าเธอไม่รับไว้ ก็ทุบมันทิ้งไปเลย ยังไงตอนนี้พ่อ ของเธอก็ไม่อยู่แล้ว และไม่ได้ใช้มันด้วย ต่อให้เป็นหยกรูปงาม แค่ไหน หากไม่มีประโยชน์แล้ว ก็แค่หินก้อนหนึ่งเท่านั้น”

จิ่งหนิงแค่รู้สึกหนักตรงกลางฝ่ามือ จานหยกอันเย็นยะเยือก ร่วงลงตรงกลางฝ่ามือของตัวเอง

เธอรู้สึกมึนงงเล็กน้อย แล้วเงยหน้ามองจูเก่อหลิวเฟิง กลับ เห็นเขาทำสีหน้าที่เคร่งขรึม นัยน์ตาเลือดเย็น แล้วพอมองไปยัง จานหยก ในมือ ภายใต้ดวงตาเคล้าเปล่งประกายแสงอันซับซ้อน ออกมา

นายท่านก็นึกไม่ถึงว่าเก่อหลิวเฟิงจะทำแบบนี้
ทว่าของก็ส่งมาถึงที่แล้ว จะไม่เอาไว้ก็เสียดาย

ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นของล้ำค่าทั่วเมือง

ก่อนหน้านี้เพราะว่าป้องกันเขาที่มีแผนการอย่างอื่น จึงไม่ อยากรับไว้ ตอนนี้ไหนๆ เขาพูดแบบนี้แล้ว งั้นจะกลัวอะไรอีก?

นายท่านไอแห้งๆ หนึ่งที่ด้วยความอึดอัด แล้วเดินไปตรง ข้างๆ จึงหนิง พร้อมพูดด้วยเสียงต่ำ “ไหนๆ ก็เป็นแบบนี้แล้ว งั้น ก็ต้องได้รับไว้เถอะ! ยังไงก็ไม่ใช่ของของคนอื่น เป็นของพ่อ หนู เก็บไว้เป็นที่ระลึกเถอะ”

จิ่งหนึ่งทําหน้าหมองทันที แล้วเหลือบมองผู้เฒ่า

สีหน้าของผู้เฒ่าไม่ค่อยเป็นธรรมชาติ คิดไปคิดมาก็ใช่ เขา อายุป่านนี้แล้ว ถ้ายังทำเรื่องที่ชอบคืนคำพูด ก็ทำให้ค่อนข้าง รู้สึกไม่คุ้นชินจริงๆ

สุดท้าย เธอยังคงหัวเราะอย่างแห้งผากหนึ่งที

“คุณปู่ ไหนๆ ท่านชอบ ไม่งั้นก็ให้ท่านเถอะ คุณก็ชอบสะสม วัตถุโบราณที่สุดอยู่แล้ว ต่อให้เอามาชื่นชมก็ดี”

ผู้เฒ่าทำสีหน้าที่เปลี่ยนไป

แล้วมองเธอเพียงพริบตา พร้อมส่ายหัวไม่หยุด

“ไม่ได้ๆ ของชิ้นนี้ปรับไว้ไม่ได้”

“ทำไมละคะ? ”

“ไม่ทำไมหรอก ยังไงก็ไม่สามารถรับไว้ได้”
นายท่านลู่ส่ายหัวจนเหมือนป๋องแป๋ง ซึ่งหนึ่งถูกเขาทำให้ตก อยู่ในสภาวะที่ไม่รู้จะร้องไห้หรือหัวเราะ

แล้วยื่นหยกคืนให้เก่อหลิวเฟิง

“คุณเก่อ ไหนๆ คุณไม่รับไว้งั้นคุณก็เอาของกลับไปเถอะ

จูเก่อหลิวเฟิงขมวดคิ้ว

“หนิงหนึ่ง เธอต้องคิดให้ดีๆ นะ ไม่ต้องพูดถึงของชิ้นนี้เป็น ของตกทอดจากพ่อเธอ แค่มูลค่าของมัน……..”

“ฉันคิดดีแล้ว” จิ่งหนิงพูดด้วยเสียงเรียบ สีหน้าเคล้าด้วยยิ้มที่ สงบสุข

“ก็เพราะว่าฉันรู้คุณค่าของมัน ดังนั้นจึงไม่สามารถรับไว้ได้ คุณเก่ง ถ้าฉันคือคุณ ฉันจะเอาไปบริษัทให้ประเทศ นี่เป็นวัตถุ โบราณที่หายสาบสูญของประเทศชาติ เป็นวัฒนธรรมที่มีมานับ หลายพันปีของประเทศนี้ ทีแรกก็ไม่ควรเป็นคนครอบครอง ถ้า คุณมีใจเจตนาดีจริงๆ ก็คืนมันกลับไปเถอะ งั้นฉันก็ถือว่ายอมรับ ในบุญคุณครั้งนี้ของคุณแล้ว”

จูเก่อหลิวเชิงนิ่งงันเล็กน้อย ไม่ว่ายังไงก็นึกไม่ถึงว่าเธอจะพูด แบบนี้ออกมา

ผ่านไปสักพัก เขาจึงหลุดยิ้มออกมาทันที

“เธอพูดจน…..ทำให้เหงื่อท่วมหน้าฉันแล้ว”
จิ่งหนิงเม้มปาก กลับไม่พูดอะไรออกมาอีก

คนกลุ่มหนึ่งนั่งลงอีกสักพัก แล้วหลังจากที่วิ่งหนึ่งปฏิเสธเก่อ หลิวเฟิงไป เขาก็นิ่งงันไปสักพัก

แล้วนั่งอยู่ตรงนั้นไม่พูดไม่จา และไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ หลังจากนั้นตอนถึงเวลากินข้าว ก็ยังไม่ได้กินแม้แต่มื้อค่ำ ก็ เดินออกที่นั่นอย่างเร่งด่วน

จิ่งหนิงและลู่วิ่งเซินกินมื้อเสร็จถึงจะกลับบ้าน

วิลล่าเฟิงเฉียวตั้งอยู่บนเขตวิลล่าตรงไหล่เขา ทิวทัศน์ดีมาก อากาศที่บริสุทธิ์ยิ่งกว่ามาก

ทั้งสองกินเยอะไปหน่อย จึงนั่งรถไปครึ่งทาง แล้วลงจากรถ แล้วให้ซูมู่ขับรถกลับไปเอง พวกเขาเดินย่อยกลับไป

ระดับน้ำทะเลของไหล่เขาค่อนข้างสูงแล้ว พอมองออกไปก็ เห็นแสงไฟของหลังคาเรือนนับหมื่น จึงทำให้ทั้งเมืองดูเจริญ รุ่งเรือง


เพื่อการอัปเดตบทที่เร็วขึ้น กรุณาบริจาคสำหรับเว็บไซต์เพื่อซื้อบทใหม่! ขอขอบคุณ
THB

เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ