วิวาห์หวาน นายซาตาน ที่รักของฉัน

บทที่ 118 การซื้อขายที่โจ่งแจ้ง



ยังมีคนที่ไม่เหมาะสมกับฉันอย่างนั้นหรอ? หมายถึงมู่หั่นเจ๋อหรือลู่จิ่งเซินหรอ?

เธอรู้สึกว่าน่าขำ และขี้เกียจคุยกับผู้ชายแบบนี้ แล้ว เลยรีบเร่งฝีเท้าเดินไปทันที

ซึ่ง สวี่เทียนหง เองก็รีบเร่งฝีเท้าตามด้วย ตอนที่จะ เข้าห้องอาหาร จู่ๆเขาก็จับข้อมือของเธอไว้ แล้วเข้ามา ประคองตัวของเธอ

” คุณหนูจิ่ง ระวังด้วยครับ”

เธอดึงมือกลับมาอย่างรวดเร็ว พร้อมหันหน้าจ้อง มองเขา

เธอเป็นคนเดิน เธอย่อมรู้ตัวเองดี เส้นทางจากห้อง รับแขกมาห้องทานอาหารเส้นนี้ของบ้านตระกูลจิ่งเธอเดิน มาหลายรอบแล้ว เพียงแค่เธอไม่ค่อยกลับมาไม่กี่ปี ไม่ได้ หมายความว่าเธอจะลืมเส้นทางจนทำให้ตัวเองหกล้มได้

หรอก

เห็นได้ชัดเจนว่า ผู้ชายคนนี้ตั้งใจ

ตั้งใจแสดงการกระทำคลุมเครือต่อหน้าทุกคน ให้ ทุกคนเข้าใจว่าพวกเขาสองคนสนิทสนมกัน

เป็นดั่งที่คาดคิด ไม่นานก็ได้ยินเสียงหัวเราะ จิ่งเสี่ยวหย่าในห้องทานอาหารขึ้น

ของ

“อ่า! ฉันก็คิดอยู่ว่า ทั้งที่พวกเรามาถึงแล้ว แต่ทำไม พี่สาวกับพี่สวี่ ยังไม่มาถึง ที่แท้พวกคุณทั้งสองคนตั้งใจมา ทีหลังกันนี่เอง พี่สวี่ พี่สาวของฉันเป็นคนอ่อนโยนและ ถ่อมตัว คุณอย่าได้กลั่นแกล้งเธอนะคะ”

สวี่เทียนหง ยิ้มและพูดว่า : “ไม่แน่นอนครับ คุณหนูจิ่งสวยขนาดนี้ ผมห่วงและทะนุถนอมมากครับ แล้วจะ กลั่นแกล้งเธอได้อย่างไรกันครับ?”

เมื่อหวังเหว่เหมยเห็นฉากนี้ก็เผยสีหน้าดีใจขึ้นมา อย่างเห็นได้ชัดเจนขึ้น

เธอยิ้มแย้ม พร้อมพยักหน้าอย่างพึงพอใจเล็กน้อย “คุณสวี่ สามารถเข้ากับจิ่งหนึ่งของตระกูลเรา นับว่าเป็น เรื่องมงคลมาก มาคะ รีบมานั่งกันเถอะ!”

สวี่เทียนหง หันหน้ายิ้มแย้มต่อจิ่งหนิง และพูดว่า : “หนิงหนิง พวกเราไปกันเถอะ”

จิ่งหนิงขมวดคิ้วอย่างแน่น

และรู้สึกอยากอาเจียนออกมา

เมื่อหยูซิ่วเหลียนเห็นเธอไม่ขยับก็รีบลุกขึ้นทันที

“หนิงหนิง เธอมานั่งตรงนี้เถอะ! มานั่งกับเสี่ยวหย่า”

เธอเหมือนกับแสร้งทำเป็นเข้าใจสถานการณ์ของ เธอ แต่ในความเป็นจริงแล้วด้านซ้ายของเสี่ยวหย่าคือมู่ ยันเจ๋อ หากเธอเดินไปนั่งด้านขวาจะถือเป็นการเสีย มารยาทมาก

ไปนั่งเป็นก้างขวางคอ ในฐานะแฟนเก่าหรอ? ถึงแม้พวกเขาไม่ถือ แต่ตัวเองรู้สึกสะอิดสะเอียน มาก!

จิ่งหนิงไม่พูดอะไร แต่เดินตรงไปที่รองหัวโต๊ะ แล้ว นั่งลงด้านซ้ายของจิ่งเซียวเต๋อ

เดิมทีที่นั่งตรงนี้เป็นของหยูซิ่วเหลียน เธอเพิ่งลุก ขึ้น ที่เพิ่งว่างไม่นานก็ถูกจิ่งหนิงแย่งที่นั่งแล้ว

จิ่งหนึ่งจ้องมองเธอ ยิ้มและพูดว่า : “น้าเหลียวคะ ฉันนั่งที่นั่งของคุณ คุณคงไม่มีอคติอะไรใช่ไหมคะ!”รอยยิ้มบนใบหน้าของหยูซิ่วเหลียนแข็งทื่อทันที หวังเสวีเหมยเผยสีหน้ามืดครึ้มทันที

“จิ่งหนิง ! นั้นเป็นที่นั่งของผู้อาวุโส เธอไปนั่งตรงนั้น ได้ยังไงกัน?”

จิ่งหนิงพูดขึ้นว่า : “ตรงนี้เมื่อก่อนเป็นที่นั่งของแม่ ฉัน ฉันคิดถึงเธอ เลยมานั่งรําลึกสักหน่อยไม่ได้หรือค่ะ?”

หวังเสวีเหมยเปลี่ยนสีหน้า

จิ่งเซี่ยวเต๋อเองก็เผยสีหน้าไม่พอใจเหมือนกัน

ลูกสาวของเขาคนนี้ นับตั้งแต่แม่ของเธอเสียชีวิต เธอคนนี้ก็เปลี่ยนเป็นคนละคน ทุกครั้งหากไม่ประชด ประชันเธอก็ทำร้ายความรู้สึกของเธอ ซึ่งเธอไม่พอใจเป็น อย่างมาก

ให้เธอนั่งด้านข้าง แล้วเขาจะกินข้าวลงได้ยังไงกัน

เมื่อนึกถึงตรงนี้ จิ่งเซี่ยวเต๋อก็เผยสีหน้ามืดครึ้ม และพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า : “จิ่งหนิง นั่งตรงที่นั่งที่ เธอสมควรนั่งเถอะ! ตรงนี้เป็นที่นั่งของน้าเหลียน”

จิ่งหนิงยังคงยืนหยัด “นี่เป็นที่นั่งของแม่ฉัน”

“นี่เธอ!”

หยูซิ่วเหลียนรีบปรับเปลี่ยนบรรยากาศทันที

“ช่างเถอะ ช่างเถอะ ก็แค่ที่นั่งเอง ไม่เป็นไรหรอก ค่ะ ถ้าหนิงหนิงอยากนั่งก็นั่งเถอะคะ ฉันนั่งตรงนี้ก็ได้ค่ะ”

ขณะที่เธอพูดก็นั่งลงตรงที่นั่งรองท้ายสุดด้วย สีหน้าน้อยใจ

ท่าทางเหมือนกับยินยอม แต่ความเป็นจริงคนทั้ง โต๊ะต่างจ้องมองจิ่งหนึ่งด้วยสายตาไม่พอใจ แม้แต่สวี่ เทียนหงที่รู้สึกดีต่อจิ่งหนิงตั้งแต่แรกพบก็ขมวดคิ้วขึ้นเหมือนกัน

ได้ยินเรื่องนิสัยเอาแต่ใจของคุณหนูใหญ่คนนี้มา ตั้งนานแล้ว เมื่อก่อนนึกว่าเป็นแค่ข่าวลือ แต่เมื่อเห็นแบบ นี้คงเป็นความจริงแล้ว

ไม่ว่าจะยังไงหยูซิ่วเหลียนก็คือผู้ใหญ่ของเธอ ถึง แม้จะเป็นแม่เลี้ยง แต่เธอก็ปฏิบัติต่อจิ่งหนึ่งอย่างดี แต่คิดไม่ถึงว่าเธอจะเสียมารยาทขนาดนี้ จองหอง

นัก!

การเผชิญหน้ากับใบหน้าเย็นชาของจิ่งหนึ่ง ทำให้ สวี่เทียนหงรู้สึกไม่พอใจถึงขนาดตำหนิติเตียนภายในใจ จนสุดท้ายเขาไม่เผยสีหน้าท่าทางโง่เขลาไม่รู้เรื่อง

อา! คงต้องเย่อหยิ่งสักหน่อยแล้ว!

เขาค่อนข้างชอบผู้หญิงที่อ่อนโยน อ่อนหวาน เชื่อ ฟัง และว่านอนสอนง่ายมากกว่าผู้หญิงที่ดื้อรั้น

เมื่อคิดถึงตรงนี้ เขาก็ยิ้มและพูดว่า : “คิดไม่ถึง เพราะผมทำให้คุณผู้หญิงจิ่งต้องมาลำบาก ไม่เป็นไรครับ หากหนิงหนิงไม่อยากนั่งกับผม งั้นผมนั่งตรงที่นั่งสุดท้าย ก็ได้ครับ คุณผู้หญิงจิ่งจะได้กลับไปนั่งที่เดิม!

เมื่อหยูซิ่วเหลียนได้ยินแบบนี้ก็รู้สึกลำบากใจ พร้อมยิ้มและจ้องมอง สวีเทียนหง อย่างเก้อเขิน

“คุณสวี่ ต้องขอโทษคุณด้วยนะคะ ทำให้คุณต้อง มาเจอเหตุการณ์น่าอายแบบนี้

“ไม่เป็นไรครับ คุณหนูจึงเป็นคนน่ารัก ผมมองออก ซึ่งผู้หญิงแบบนี้ไม่ได้มีเจตนาร้าย ผมชอบครับ

“คุณชอบก็ดีแล้วค่ะ”

หยูซิ่วเหลียนถอนหายใจ และหันหน้ามองจิ่งหนึ่ง

จิ่งหนิงยังคงเผยสีหน้าเมินเฉย ฟังพวกเขาวิพากษ์วิจารณ์ตัวเอง เหมือนกับได้ยินพวกเขาต่อราคาสินค้า อย่างนั้น แทบไม่สนใจพวกเขาสักนิดเดียว

เธอยิ้มอย่างเย็นชา คิดไม่ถึงเลยจริงๆว่าหวังเสว่

เหมยจะไร้ยางอายมาถึงขนาดนี้

นี่เขาเรียกว่าอะไรกัน?

ทําตัวเป็นแม่เล้าหรอ?

หรือเป็นผู้หญิงขายตัว

ในตอนนี้เธอมองออกแล้ว ไม่รู้เลยว่าหวังเสวี่เหมย ได้ยินข่าวลือมาจากไหน คงรู้สึกว่าความสัมพันธ์ของเธอ กับลู่จิ่งเซ็นไม่ค่อยมั่นคง ดังนั้นเลยเปลี่ยนความคิดหา ผู้ชายคนใหม่ให้เธอแต่งงาน

เธอก้มหน้าลงเล็กน้อย คิดบางอย่าง จากนั้นก็ยิ้ม แย้มขึ้น

ขณะเดียวกันหวังเสวเหมยก็ถามขึ้นว่า : “จิ่งหนึ่ง ฉันได้ยินมาว่าครั้งนี้เธอไม่ได้กลับมาเมืองหลวงพร้อมกับ ประธานลู่ใช่ไหม?”

จิ่งหนิงพูดอืมขึ้น

หวังเสว่เหมยยิ้มขึ้น “ฉันก็ว่าแล้ว ! พวกคุณสองคน แทบไม่เหมาะสมกันเลย โชคดีที่ตอนนี้เธอยังอายุน้อย ยัง พอมีเวลาหันหลังกลับทัน

ด้านข้าง สวี่เทียนหง เองก็พูดเสริมขึ้นเหมือนกัน

“ใช่ใช่ใช่ คุณหนูหิ่งยังอายุน้อย สวยขนาดนี้ คนที่ ขอบคุณไม่รู้ว่ามีมากเท่าไหร่ แล้วทำไมยังดันทุรังด้วย?”

จิ่งหนังเหลือบมองเขาแวบหนึ่ง แล้วหันหน้าจ้อง มองหวังเลวเหมย

คุณได้ยินอะไรมาหรือค่ะ?”
หวังเสวีเหมยใจจดใจจ่อ

ไม่นานก็กระซิบเบาๆว่า : “ในเมื่อคุณรู้แล้ว เช่นนั้น ฉันไม่ปิดบังคุณแล้วละกัน ประธานลู่ เขามีคู่หมั้นอยู่ที่ เมืองหลวงอยู่แล้ว ที่ครั้งนี้ไม่พาเธอกลับมาด้วย เหตุผล เธอน่าจะรู้อยู่แก่ใจ จิ่งหนิง ถึงแม้ตระกูลติ่งของพวกเรา ไม่ถือเป็นตระกูลใหญ่ แต่อยู่ในเมืองจิ้นนับว่ามีหน้ามีตา อยู่

เธออยากคบกับใคร ฉันไม่สนใจหรอก แต่การ

ทำลายครอบครัวคนอื่นแบบนั้น ฉันไม่อนุญาตให้เกิดขึ้น! ดังนั้นเธอควรตัดความสัมพันธ์กับประธานลู่ดีกว่า แล้วก ลับมาเป็นคนดีของครอบครัว พวกเรายังเห็นเธอเป็นส่วน หนึ่งของบ้านอยู่” จิ่งหนิงจ้องมองเธอ พร้อมเผยสายตา แหลมคมขึ้น

เธอไม่ใช่คนประเภททําร้ายครอบครัวของคนอื่น แบบนั้นไม่ใช่หรอ? คุณยังทำมาได้เลย แล้วมาพูดแบบนี้ กับฉันทำไมกัน?”

“นี่เธอ”

หวังเสว่เหมยโมโหเดือดดาลขึ้น ส่วนด้านข้างหยู ซิ่วเหลียนก็โมโหจนใบหน้าแดงก่ำชั่วพริบตาเหมือนกัน

“บังอาจ! จิ่งหนิง เธอกล้าพูดได้ยังไง? ”

“ก็แค่พูดความจริงเท่านั้น ก่อนจะสั่งสอนคนอื่น ตัว เองต้องเป็นคนดีก่อน จริงไหม? ”

“นี่เธอ–!”

เมื่อเห็นเบื้องหน้าเริ่มทะเลาะ จิ่งเสี่ยวหย่าก็รีบพูด ปรับเปลี่ยนบรรยากาศขึ้น

“พ่อ พี่สาว พวกคุณอย่าทะเลาะกัน! ” ทุกคนเพิ่งเริ่มนึกได้ว่ามีคนนอกอยู่ เลยต้องนิ่งจึงเสี่ยวหย่าหันหน้ามองจิ้งหนึ่ง แล้วเผยรอยยิ้ม เมตตาชั้น

“พี่สาว ฉันรู้ว่าเธอไม่ค่อยชอบฉันกับแม่มาโดย ตลอด เรื่องนี้พวกเราไม่เรียกร้องให้พี่ให้อภัยหรอก แต่ค่า พูดของคุณย่า ส่วนมีเจตนาดีต่อที่ ที่สามารถทำร้ายจิตใจ ของพวกเรา แต่ไม่สามารถทำร้ายเจตนาดีของคุณยา


เพื่อการอัปเดตบทที่เร็วขึ้น กรุณาบริจาคสำหรับเว็บไซต์เพื่อซื้อบทใหม่! ขอขอบคุณ
THB

เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ