วิวาห์หวาน นายซาตาน ที่รักของฉัน

บทที่ 712 หมู่บ้านแปลกประหลาด



บทที่ 712 หมู่บ้านแปลกประหลาด

กินข้าวเช้าตั้งแต่ก่อนออกจากบ้าน ตรงกลางก็ ผ่านความยากลําบากมาไม่น้อย สีของท้องฟ้าด้าน นอกตอนนี้ประกอบกับคบเพลิงที่อยู่ในมือของเธอ ไม่ ต้องคิดก็รู้ว่าตอนนี้เป็นตอนกลางคืนแล้ว

ไม่หิวก็แปลกแล้ว

เมื่อคิดถึงจุดนี้ เธอก็เลียริมฝีปากอย่าง กระอักกระอ่วนใจ ลูบไปที่ท้องที่กำลังส่งเสียงร้อง จ๊อกๆ จึงถามขึ้นว่า : “รบกวนคุณมากเกินไปหรือ เปล่าคะ?

“โอ้ย รบกวนที่ไหนกัน ไม่ได้ลำบากอะไรเลย มาเถอะ! หากเธอลุกจากเตียงได้ ก็จะพาไปกินข้าง นอกแล้ว”

จิ่งหนิงพยักหน้า แม้ว่าตอนนี้ร่างกายของเธอ จะเต็มไปด้วยความเจ็บปวด แต่ก็พยายามที่จะพยุงตัว เอง แต่ก็ไม่สามารถที่จะลุกจากเตียงได้

ค่อยๆตามหญิงวัยกลางคนออกไปข้างนอก จึง ได้พบว่าด้านนอกเป็นห้องโถง ภายในห้องโถงยังคง มืดสนิท มีเพียงแสงสว่างจากตะเกียงน้ำมันที่อยู่บน โต๊ะเท่านั้นที่ส่องสว่างมาที่พื้น

หญิงวัยกลางคนพาเธอมานั่งบริเวณข้างๆโต๊ะ พลางพูดขึ้นว่า: “คุณรอก่อนนะ เดี๋ยวฉันจะไปเอา อาหารมาให้กิน”

ขณะที่พูดก็เดินมุ่งไปยังห้องอีกด้านหนึ่ง จิ่งหนิงนั่งอยู่ตรงนั้น อาศัยแสงจะตะเกียงเหลือบมองไปยังบริเวณรอบๆ

เห็นเพียงห้องๆหนึ่งขนาดไม่ใหญ่นัก พื้นไม่นับ ว่าเป็นดินที่ราบเรียบ พื้นดินด้านล่างไม่นับว่าเป็นดิน ที่ราบเรียบนักมีแม้กระทั่งปูนซีเมนต์ โต๊ะทำจากท่อน ไม้ ด้านบนของโต๊ะถูกทาด้วยวัตถุสีดำหนึ่งชั้น สีแดง ที่ถูกทาไว้ส่วนใหญ่เริ่มลอกออกมาเกือบหมดแล้ว

ด้านข้างยังมีตู้ทรงสูง ตู้นี้ดูเก่าพอสมควร เมื่อ อาศัยเสียงไฟริบหรี่นี้ก็สามารถเห็นของใช้ในชีวิต ประจำวันและสิ่งของอื่น ๆ ภายในตู้

เธอไม่รู้ว่าเธอหล่นมายังที่ไหน แต่หากดูจาก สถานการณ์ที่เธอเห็นนี้ น่าจะเป็นสถานที่ห่างไกล เป็นหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่ล้าหลัง

ยังจุดตะเกียงไฟอยู่เลย เกรงว่าไฟฟ้าคงยังเข้า ไม่ถึง? การรับรู้นี้ ทำให้ใจของเธอจู่ๆก็ยิ่งหดหู่เข้าไป

ใหญ่

ไม่นานหญิงวัยกลางคนก็ถือถ้วยสองถ้วยออก

มา

ถ้วยหนึ่งใส่ข้าวกล้อง อีกถ้วยหนึ่งเป็นผักที่มี เนื้อสัตว์ผสมอยู่สองสามชิ้น

หล่อนยิ้มพลางพูดขึ้นว่า: “เป็นกับข้าวเย็นที่ เหลืออยู่ คุณอย่าถือสานะคะ รีบกินเถอะ”

จิ่งหนิงยิ้มแล้วรับตะเกียบ“ไม่รังเกียจหรอกค่ะ แค่นี้ก็ดีมากแล้ว”

ในสถานการณ์เช่นนี้ แน่นอนว่าเธอคงไม่ สามารถอ่อนแอได้ แม้ว่าทั้งชีวิตของเธอจะไม่เคยกินข้าวกล้อง และเมื่อมองไปที่กับข้าวก็ไม่สามารถ กระตุ้นต่อมอยากอาหารของเธอได้เลยแม้แต่น้อย

แต่จิ่งหนิงก็เข้าใจดีว่า สภาพแวดล้อมที่ยาก ลำบากเช่นนี้ การกินข้าวให้อิ่มเพื่อสะสมพลังกำลังนั้น เป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด

โดยเฉพาะอย่างยิ่งนี่ยังเป็นความปรารถนาที่ หล่อนมอบให้กับเธอ

เมื่อหญิงวัยกลางคนเห็นเธอหยิบตะเกียบขึ้นมา แล้วเริ่มกิน จึงรู้สึกวางใจ แล้วเดินไปนั่งที่เก้าอี้เตี้ยที่ อยู่ด้านข้าง ไม่รู้เหมือนกันว่าหล่อนเอาเข็มขนาดยาว และไหมพรม และเริ่มถักเสื้อไหมพรมอยู่ที่บริเวณนั้น

จิ่งหนิงมองไปที่หล่อนพลางลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่ สุดท้ายก็ถามขึ้นว่า: “พี่สาว ที่นี่คือที่ไหนเหรอคะ?

หญิงวัยกลางคนเงยหน้ามองเธอครู่หนึ่ง ยิ้ม พลางพูดขึ้นว่า: “ที่นี่คือหมู่บ้านอะซาน เป็นหมู่บ้าน เล็ก ๆ ที่อยู่ห้าวงไกล คุณอาจจะไม่เคยได้ยิน

จิ่งหนิงครุ่นคิด ในความทรงจำของเธอไม่เคย

ได้ยินชื่อหมู่บ้านนี้จริง ๆ

เธอจึงถามต่อเพียงว่า: “ที่นี่คือเมือง ใช่ไหม คะ? ”

หญิงวัยกลางคนพยักหน้า”ใช่แล้ว แต่ว่าที่ๆ พวกเราอยู่นี้ถือว่าเป็นบริเวณทางใต้ ที่แห่งนี้ติดกับ ชายแดนแอฟริกา จึงมักจะเกิดเหตุการณ์ความวุ่นวาย อันเกิดจากภัยสงครามบ่อยๆ ดังนั้นสภาพของผู้คนที่ นี่จึงไม่ค่อยดีนัก และใช้ชีวิตอยู่อย่างยากลำบาก”

จิ่งหนิงฟังแล้วก็ขมวดคิ้วตาม
ติดกับชายแดนแอฟริกา? แสดงว่าไม่ได้อยู่ใน เส้นทางกลับประเทศของพวกเราเลยแม้แต่น้อย!

แต่เมื่อคิดกลับไปกลับมาเธอก็เข้าใจ

น่าจะเป็นเพราะมีคนวางแผนลงมือกับเครื่องบิน ไว้ตั้งแต่แรกแล้ว โดยระหว่างทางมีการเปลี่ยนเส้น ทาง เพียงแต่ผู้โดยสารที่อยู่บนเครื่องไม่รู้ตัวก็เท่านั้น เอง

เมื่อคิดมาจนถึงจุดนี้ ในใจของเธอก็ครุ่นคิด หนักขึ้น หลังจากที่กินข้าวไปสองคำก็ตามต่อว่า: “พี่ สาวฉันเห็นว่าที่นี่ใช้แต่ตะเกียง ไฟฟ้ายังเข้าไม่ถึงใช่ ไหมคะ ? ”

หญิงวัยกลางคนไม่ได้พูดอะไรออกมา ทำเพียง

ถอนหายใจเฮือกหนึ่ง

“พวกเราไม่มีไฟฟ้าใช้? แต่ก่อนมี แต่หลังจาก เกิดสงครามเกิดการต่อสู้กันไปมาก็ไม่มีไฟแล้ว และ ต่อมาเกิดการระเบิดครั้งรุนแรง วงจรไฟฟ้าที่นั่นก็ถูก ตัดขาด ที่นี่ก็เลยไม่มีไฟฟ้า เพื่อความสะดวกและ เป็นการประหยัดเงิน ทุกคนก็เลยหันมาใช้ตะเกียง แทน”

จิ่งหนิงพยักหน้า

เธอรู้ดีว่า บนโลกใบนี้แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยมี ความสงบสุขอย่างแท้จริงเลย

การที่พวกเราใช้ชีวิตอยู่อย่างสุขสบาย ไม่ได้ เป็นเพราะว่าพวกเราดำเนินชีวิตอยู่ท่ามกลางความ สงบสุขของโลกใบนี้ แต่เป็นเพราะพวกเราใช้ชีวิตอยู่

ในประเทศที่สงบสุข
ราวกับเธอได้เลือกหัวข้อสนทนาให้กับหญิงวัย กลางคนแล้ว หล่อนถอนหายใจขึ้นอีกครั้ง: “ตอนนี้ ที่นี่ไม่ต้องพูดถึงเรื่องไฟฟ้าหรอก แม้แต่สัญญาณ ติดต่อสื่อสารก็ถูกตัดขาด แต่ว่าแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน พวกเราก็ใช้ชีวิตอยู่ที่นี่อย่างสบายใจ ไม่ออกไปไหน และคนอื่นก็อย่าคิดที่จะเข้ามาเช่นเดียวกัน มีเรื่อง อะไรก็ไม่บอกผู้ใหญ่บ้านที่อยู่ห่างจากที่นี่สามสิบ กิโลเมตร จากนั้นผู้ใหญ่บ้านก็จะแจ้งให้พวกเรา ทราบ”

จิ่งหนิงนิ่งเงียบ

ไม่มีไฟฟ้า ไม่มีสัญญาณติดต่อสื่อสาร

สองอย่างนี้ที่เธอรับรู้มา สำหรับเธอแล้ว รู้สึกว่า มันแย่มาก ๆ อย่างไม่ต้องสงสัย

ท้ายที่สุดแล้ว ในสถานที่ที่ไม่มีไฟฟ้า ก็อย่า หวังเลยว่าจะไม่มีรถยนต์ หากต้องการจะไปจากที่นี่ แทบจะเป็นไปไม่ได้

เลย

อีกทั้งยังไม่มีสัญญาณติดต่อสื่อสาร เธอไม่มี ทางที่จะติดต่อกับคนภายนอกได้ ขณะที่เธอกำลัง กระโดดร่มโทรศัพท์มือถือของเธอก็หายไป ตอนนี้แม้

จะอยากติดต่อใครก็คงจะติดต่อไม่ได้ เมื่อคิดถึงจุดนี้ คิ้วที่ผ่าเผยของเธอก็อดไม่ได้ที่

จะขมวด

ตอนนี้ลู่จิ่งเซินอยู่ในประเทศ ก็คงจะทราบข่าว ที่เครื่องบินของเธอประสบอุบัติเหตุแล้ว! และก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาเป็นยังไงบ้าง จะเป็นห่วงเธอหรือเปล่า?

เด็กทั้งสองคนยังอยู่ที่บ้าน โดยเฉพาะอานอาน

ที่กำลังรอให้เธอกลับไปฉลองวันเกิดอยู่ เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ในใจของจิ่งหนิงก็สับสน วุ่นวายเหมือยด้ายพันกัน

เดิมทีอาหารก็ไม่ได้มีปริมาณที่เยอะอยู่แล้ว แต่ ในเวลานี้เธอกลับกินไม่ลง

เธอกินไปเพียงสองสามคำ จากนั้นจึงวาง ตะเกียบลง

เมื่อหญิงวัยกลางคนเห็นเช่นนั้นจึงอุทานขึ้น ว่า”ไอโยว”ยิ้มพลางพูดขึ้นว่า “หรือคุณคิดว่าอาหาร ของพวกเราหยาบเกินไป ไม่คุ้นเคย? ”

จิ่งหนิงฝืนยิ้มพลางพูดสิ่งที่ตรงข้ามกับ ใจ: “เปล่าค่ะ เพียงแต่เพิ่งฟื้นจึงรู้สึกว่าไม่ค่อยสบาย ตัวสักเท่าไหร่ และทำให้ไม่อยากอาหาร”

หญิงวัยกลางคนยิ้มพลางพูดขึ้นว่า: “ไม่ต้อง กังวลไป ก่อนที่คุณจะฟื้น ฉันได้เชิญหมอมาตรวจ อาการคุณเรียบร้อยแล้ว คุณหมอบอกว่าไม่ได้เป็น อะไรมาก พักผ่อนสองสามวันก็หาย

จิ่งหนิงก็ไม่รู้เหมือนกันว่าหมอที่ว่าคือหมออะไร แต่เมื่อคิดดูแล้ว ก็คงเป็นได้เพียงหมอเท้าเปล่าที่อยู่ใน หมู่บ้านแห่งนี้ก็เท่านั้น

ในเวลานี้ ก็ไม่จะไม่สามารถซักไซ้อะไรมากได้

จึงพยักหน้า

“ขอบคุณพี่มากนะคะ ฉันขอถามคุณเรื่องหนึ่งได้ไหมคะ? ”
พี่สาวเก็บชามของเธอพลางพูดขึ้นว่า: “ไม่ เป็นไร คุณพูดมาเถอะ?

จิ่งหนิงถามขึ้นว่า: “เมื่อสักครู่นี้เด็กน้อยคนนั้น บอกว่าเป็นลุงสี่ เขาอยู่ไกลจากที่นี่ไหมคะ? พรุ่งนี้ฉัน อยากจะไปพบเพื่อนของฉัน สะดวกไหมคะ?

หญิงวัยกลางคนตะลึงงัน ยิ้มแล้วพูด

ต่อว่า: “ไม่ต้องรีบร้อนขนาดนั้นหรอก บ้านของลุงสี่ หากจากที่นี่สามสิบกว่ากิโล คุณวางใจเถอะ เพื่อน ของคุณรักษาตัวอยู่ที่นั่น ไม่มีปัญหาอย่างแน่นอน รอ ให้บาดแผลของพวกคุณหายเสียก่อน ค่อยพาคุณไป พบเธอก็เหมือนกันไม่ใช่เหรอ”

จิ่งหนิงรู้สึกเป็นกังวล”ไม่ได้ค่ะ พี่สาว คุณไม่ เข้าใจ พวกเรา…….

เธอเม้มริมฝีปากและเงียบลง สุดท้ายก็พูดขึ้น มาเพียงประโยคหนึ่งว่า”พวกเราจำเป็นต้องอยู่ด้วย กัน”

พวกเขาทั้งสองคนถูกตามฆ่า จึงต้องโดดลงมา จากเครื่องบิน แม้ว่ารอดจากเหตุกาณ์ที่เลวร้าย และ สามารถรักษาชีวิตไว้ได้ แต่ว่าเธอไม่แน่ใจจริงๆว่า คน พวกนั้นจะตามมาฆ่าอีกหรือเปล่า


เพื่อการอัปเดตบทที่เร็วขึ้น กรุณาบริจาคสำหรับเว็บไซต์เพื่อซื้อบทใหม่! ขอขอบคุณ
THB

เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ