วิวาห์หวาน นายซาตาน ที่รักของฉัน

บทที่ 729 ท่าธุรกรรมกลางดึก



บทที่ 729 ท่าธุรกรรมกลางดึก

รีบเอาผ้าปิดจมูกไว้

จนกระทั่งผ่านไปครู่หนึ่ง กลิ่นนั้นได้จางหายไป เสียงประตู “เอียด ถูกคนผลักออกจากข้างนอก

ทั้งสองจึงรีบน่าผ้าเปียกบนใบหน้าออก แล้วโยนเข้าไปตรง มุมห้อง

ห้องที่มืดมิดถูกส่องสว่างด้วยแสงไฟ เงาสองตนลับๆล่อๆมา ถึงขอบเตียง มองดูคนบนเตียงอย่างละเอียดอยู่ครู่หนึ่ง

จึงหนิงรู้สึกเพียงว่ามีบางสิ่งลอยไปลอยมาอยู่เหนือใบหน้า เคลื่อนไหวไปมาเล็กน้อย

จากนั้น ก็ได้ยินเสียงแหบของผู้ชาย “สลบไปแล้ว พวกคุณมา

ตรวจสอบสินค้ากันได้แล้ว”

พูดไป เสียงฝีเท้าก็ดังขึ้น

ฟังเสียงฝีเท้าที่วุ่นวาย เหมือนจะไม่ใช่แค่คนเดียว

แสงไฟระยิบระยับพุ่งไปที่แก้มของทั้งสอง จึงหนิงแทบจะรู้สึก ได้ถึง ความอบอุ่นของแสงไฟที่ส่องลงบนแก้ม

พร้อมกับความรู้สึก ใจวูบลงไปทันที เธอได้ยินเสียงของผู้ชายแปลกหน้า อืม ไม่เลว ดีทั้งคู่เลย
สูงยิ้มอย่างประหม่า “แล้วราคา……….

“ก็ตามราคาที่ท่านว่า ช่วยฉันยกคนไปขึ้นรถข้างนอกเถอะ

“ครับ”

จิ่งหนึ่งรู้สึกว่ามีคนหนึ่งอุ้มเธอขึ้นมา

ด้วยร่างกายที่ไร้แรงถ่วง ทำให้รู้สึกไม่ปลอดภัยยิ่งนัก แต่ไม่ว่าเธอหรือไม่หนาน ก็ทำตามที่ตกลงกันไว้ก่อนหน้านั้น โดยไม่ได้เคลื่อนไหว

ร่างกายสั่นไหวตามการเคลื่อนย้ายของฝีเท้า เธอสัมผัสได้ถึง อีกฝ่ายอุ้มเธอลงบันได จากนั้นประตูใหญ่ “เอี๊ยด”เปิดออก ลม หนาวปะทะใบหน้า

เธอรู้ว่า ถึงข้างนอกแล้ว

“วางลงหลังรถก็แล้วกัน”

ผู้ชายคนหนึ่งสั่งการอีกสองคน ให้นำพวกเธอวางลงในรถ สามล้อที่มีหลังคาสังกะสี

จิ่งหนิงรู้สึกเพียงร่างกายที่หนัก ในที่สุดก็สัมผัสกับพื้นจริงแล้ว ถึงโล่งอกไปเล็กน้อย

“ก๊อกแก๊ก” เสียงปิดประตูรถ ตามด้วยเสียง เหมือนกับมีคน ล็อกประตูจากด้านนอก

บริเวณโดยรอบสี่ทิศมืดลงทันที
เสียงผู้ชายคุยกัน ดังมาจากข้างนอก

เหมือนกับกำลังเจรจาหรือท่าธุรกรรมอะไรกัน

ผ่านไปครู่หนึ่ง การเจรจาน่าจะยุติลงแล้ว ทั้งสองฝ่ายต่าง หัวเราะกันสองสามครั้ง

จิ่งหนึ่งรู้สึกได้ถึงด้านหน้ารถหนักไป น่าจะมีคนขึ้นนั่ง จาก นั้นตามด้วย เสียงครวญคราง แล้วรถก็สตาร์ทติดเครื่องขึ้นมา

ค่ำคืนที่เงียบสงัด รถโคลงเคลงสั่นไหว ขับไปตามทางบนเขา

ที่ขรุขระ

ก็ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ ซึ่งหนึ่งถึงลองลืมตาขึ้นอย่าง ระมัดระวัง

เห็นเพียงรอบทิศมืดมิด ในรถยิ่งมืดจนยื่นมือมามองไม่เห็นห้า

นิ้วเลย

โม่หนานที่อยู่ข้างๆ ก็ลืมตาขึ้น

ทั้งสองไม่พูดอะไร แต่เอานิ้วมือที่อยู่ข้างกายประสานไว้ด้วย กัน เพื่อบอกว่า ตัวเองไม่เป็นอะไร

ข้างใต้มีไม้กระดานแข็งและเย็น ล้อรถกระแทกขึ้นลงบนทาง เขาที่ขรุขระ

ทั้งสองไม่กล้าคุยกัน ต่างมองหน้ากันในความมืด

ไม่มีใครรู้ว่า คนเหล่านี้จะพาพวกเธอไปที่ไหน แต่ถึง สถานการณ์จะแย่ ก็ดีกว่าพบเจอพวกนักฆ่าที่ไล่ล่าพวกเธอ
ดังนั้น ทั้งสองก็ไม่ต่อต้านอย่างรู้ตัว กลับแผนซ้อนแผน ขึ้นรถ ตามความต้องการของพวกเขา ตั้งแต่มาถึงหมู่บ้านนี้ ทุกสิ่งที่สิ่งหนึ่งกับไม่หนานได้เห็น แทบ

จะกลายเป็นความล้าหลังของสังคมสมัยใหม่ ไม่มีไฟฟ้า ไม่มีการสื่อสาร ไม่มีแม้กระทั่งเฟอร์นิเจอร์หรือการ

ขนส่งที่ดี

วันนี้กลับเป็นครั้งแรกที่นั่งรถสามล้อที่สตาร์ทด้วยไฟฟ้า แต่ไม่ คิดว่าอยู่ในสถานการณ์แบบนี้

เวลานี้ ทั้งสองไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี

โม่หนานขยับมาทางเธอ เอาศีรษะแนบชิดข้างหูเธอ ถามด้วย น้ำเสียงที่เบาสุด พวกเขาเป็นใครกัน เราจะไปไหน

จิ่งหนิงครุ่นคิด

ที่จริงเธอก็ไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายเป็นใคร แต่จะไปไหนนั้น พอจะ

เดาได้บ้าง

เธอเม้นริมฝีปาก เขียนตัวหนังสือสองตัวลงบนฝ่ามือไม่หนาน

อย่างเงียบๆ

ในเมือง

โม่หนานรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย

“แกรู้ได้อย่างไร”

“เดาเอา
เธอจําได้ว่าเมื่อไม่นานมานี้ ตัวเองเพิ่งเคยถามลุงสี่ สถาน ที่ไหนมีโทรศัพท์ให้โทรได้ ตอนนั้นลุงสี่บอกว่า ต้องไปในเมืองที่ห่างออกไปหลายสิบกิโล

ถึงจะมี

สิ่งที่สำคัญสุด ตอนนั้นเขาได้เปิดเผยข้อมูลหนึ่งออกมา นั่นก็คือ ถ้าในเมืองมีโทรศัพท์ ก็จะต้องมีไฟอย่างแน่นอน

ทุกหมู่บ้านในรัศมีร้อยไมล์ล้วนไม่มีไฟฟ้า กลับเป็นเมืองเล็ก เมืองนั้นมีไฟฟ้า แค่คิดก็รู้ได้ว่า รถสามล้อไฟฟ้าคันนี้ จะมาจาก ที่ไหน

ไม่หนานไม่ได้คิดอะไรมากมายเช่นนี้

เธอเพียงแต่ กริชที่หนีบไว้ตรงเอวอย่างเงียบๆ หดตัวไว้ เหมือนกับคันธนูที่ขึ้นธนูไว้เต็มที่แล้ว ราวกับสามารถเด้งออกมา ทําร้ายคนได้ตลอดเวลา

เดินทางอยู่ประมาณหนึ่งชั่วโมงกว่า ในที่สุดรถก็หยุดลง

ทั้งสองมองหน้ากัน แต่ไม่พูดอะไร

กลั้นหายใจ แล้วฟังความเคลื่อนไหวข้างนอก

ได้ยินแต่เสียงตะโกนเป็นภาษาถิ่นของผู้ชายดังขึ้น ก็ไม่รู้ว่า ตะโกนเรียก ใคร

จิ่งหนึ่งสามารถสรุปได้ว่า เวลานี้ รถยังไม่ถึงในเมือง น่าจะยัง อยู่ที่ไหนสักแห่งของชนบท
ไม่นาน ก็มีเสียงฝีเท้าหลายคู่ตั้งขึ้นมา

เธอได้ยินเสียงคนคุยกันนอกรถ พร้อมกับรอยยิ้มที่ผสมอยู่ ในน้ำเสียง ค่อนข้างประจบประแจงเล็กน้อย

สีหน้าของเธอกับไม่หนานเลื่อนลงทันที ลางสังหรณ์ที่ไม่ดีค่อยๆผุดขึ้นจากก้นบึ้งของหัวใจ

ตามคาด ทันใดนั้นประตูเหล็กที่อยู่ข้างหลังรถถูกคนเปิดออก จากข้างนอก

แสงจากคบเพลิงกับแสงจากพระจันทร์ส่องเข้ามา จึงหนิงกับ โม่หนานเงยหน้ามองไป ก็มองเห็นผู้ชายสามคนที่ยืนอยู่ตรง ประตูรถ

“โอ๋ ตื่นแล้วหรือ เจ้าบอกว่ายานี้จะมีฤทธิ์หลายชั่วโมงไม่ใช่

หรือ ทําไมถึงตื่นเร็วจัง ”

ชายร่างกายสูงใหญ่หนึ่งในนั้นที่ยืนอยู่ถามด้วยความสงสัย

เขาน่าจะเป็นคนที่ไปรับพวกเธอที่บ้านลุงสี่ก่อนหน้านั้น ส่วน ข้างๆ ยังมีชายอีกสองคนยืนอยู่

ชายสองคนนั้น ดูไปแล้วก็แต่งกายดีกว่าคนตรงหน้าคนนี้มาก

ใส่เสื้อไหมพรมบางที่ดูเก่าแต่สะอาดสะอ้าน ช่วงล่างเป็น กางเกงสูทสีเทา ทรงผมนั้นจัดแต่งได้มีชีวิตชีวามาก

ถึงแม้ดูไปแล้วอาจไม่เข้าพวกเล็กน้อย แต่ดีกว่าพวกลุงใน ชนบทเล็กน้อย
เห็นเพียงพวกเขาสองคน จ้องมองดูจึงหนึ่งกับไม่หนาน แล้ว พยักหน้ายิ้มอย่างพอใจ

“ดี ดี ไม่เลว สมกับราคานี้

เขาพูดไป แล้วหยิบกระเป๋าตังค์ที่หนีบไว้ใต้รักแร้ตลอดเปิด ออก หยิบเงินปีกใหญ่ออกมาจากข้างใน

“นี่คือยอดชำระสุดท้าย พวกคุณลองนับดู ถ้าไม่มีปัญหาพวก เราก็จะพาคนไปแล้ว”

“เฮ้ยดี ดี ”

คนนั้นรับเงินมา เริ่มนับขึ้นมาด้วยสีหน้าดีใจ

ไม่นาน ก็นับเสร็จ

“ถูกต้องครับ พี่ชาย ถ้าอย่างนั้นผมขอส่งมอบคนให้พวกคุณเลย”

“อืม รถก็ให้พวกเราเถอะ ขากลับฉันจะให้คนไปส่งคุณกลับไป”

“ได้ครับ ไม่มีปัญหา

ขณะที่คนนั้นพูด ก็โบกมือให้พวกเขา แล้วหันหลังเดินไป

จนกระทั่งคนนั้นเดินไปไกลแล้ว ชายตรงหน้าทั้งสองคน ถึงยิ้ม และมือถูไปมา เดินไปตรงหน้าประตูรถมองดูใบหน้าเช่นดอกไม้ ราวหยกของจิ่งหนิงกับโม่หนานอย่างละเอียด แล้วยิ้มกล่าวว่า เราได้กําไรแล้ว พี่”


เพื่อการอัปเดตบทที่เร็วขึ้น กรุณาบริจาคสำหรับเว็บไซต์เพื่อซื้อบทใหม่! ขอขอบคุณ
THB

เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ