บทที่716ความรู้สึกประหลาด
จิ่งหนิงก็ไม่รู้เหมือนกันว่า สายตาเช่นนั้นของเขาหมายความ ว่าอย่างไร
ตนเองก็ไม่ได้เรียกร้องอะไรที่มากเกินไป เธอไม่เข้าใจเลยว่า รอยยิ้มเสียดสีเช่นนั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร
เพียงแต่ความรู้สึกไม่สบายใจภายในใจนั้นยิ่งเพิ่มมากขึ้น เรื่อยๆ
บวกกับกระทั่งตอนนี้เธอก็ยังไม่รู้เลยจริงๆว่ากลุ่มคนที่ตามฆ่า พวกเธอบนเครื่องบินนั้นเป็นใครกันแน่
นักฆ่าที่หลบซ่อนอยู่ หมู่บ้านชนบทที่แปลกประหลาด รวมทั้ง กลุ่มคนที่ไม่ชัดเจนพวกนี้
สิ่งต่างๆเหล่านี้ทำให้เส้นประสาทของเธอตึงเครียด ไม่มีทางที่ จะผ่อนคลายลงได้เลย
ดีที่ผู้ชายคนนี้ พูดคำไหนคำนั้น
รับปากเธอว่าจะพาไปพบกับ “ลุงสี่คนในตำนาน ก็พาเธอไป พบเขาจริงๆ
เนื่องจากฝ่ายตรงข้ามเป็นผู้ใหญ่บ้าน ดังนั้นทุกคนจึงไม่ได้กิน ข้าวเย็น มุ่งตรงไปหาเขาทันที
บ้านของผู้ใหญ่บ้านอยู่ไม่ไกลจากที่นี่มากนัก เดินเท้าไม่ถึงยี่สิบนาทีก็ถึงแล้ว
ยังไม่ทันได้เดินเข้าไป ก็เห็นแสงสว่างจากคบเพลิงอยู่ภายใน บ้านดินขนาดค่อนข้างใหญ่
ด้านนอกมีกองไฟที่กำลังเผาไหม้ขนาดใหญ่อยู่กองหนึ่ง ด้าน นอกมีโต๊ะสองสามตัว มีคนนั่งเต็มไปหมด เห็นได้ชัดว่ากำลังมี งานเลี้ยงอยู่
เมื่อเห็นเขาเดินเข้าไป ก็มีคนโบกมือเรียกทันที “เฮเอ้อวงมา แล้ว! ”
ผู้ชายรับคำและพาวิ่งหนึ่งไปยังเบื้องหน้าของชายวัยกลางคน มีผมหงอกบ้างเป็นบางส่วนผิวดำมันเยิ้ม
“นี่ คนๆนี้ก็คือลุงสี่”
ขณะที่เขาพูด ก็แนะนำเธอให้กับคนที่ถูกเรียกว่าลุงสี่ ผู้หญิง คนนี้ก็คือคนที่เมียของผมช่วยกลับมา บอกว่าอยากจะไปหา เพื่อนของเธอ คุณดูเองละกันว่าจะทำยังไง”
ลุงสี่เหลือบมองเธอสองสามครั้ง ด้วยแววตาเผยประกาย
“ที่แท้ก็คือคุณนี่เอง คนที่ชื่อไม่หนานเป็นเพื่อนของคุณใช้
ไหม?
จิ่งหนิงพยักหน้า
ลุงสี่โบกมือพร้อมกับหรี่ตาลง “วางใจเถอะ เธอสุขสบายดี คุณอยากไปหาเธอเหรอ?
จิ่งหนึ่งพยักหน้าพลางรีบพูดขึ้นว่า “อยากค่ะ คุณพาฉันไป พบเธอได้ไหม?
ชายคนนั้นลูบที่คางพลางพยักหน้าพาไปได้อยู่แล้ว เพียงแต่ ว่า หากคุณต้องการไปกับผมคุณจะต้องปิดตา คุณก็รู้ว่าที่ๆอยู่ไม่ ไกลจากพวกเรามักเกิดสงครามบ่อย ๆ พวกเรากลัวสงครามที่ พวกเขาก่อขึ้น และไม่ง่ายเลยที่จะหลบมาอยู่ในที่ห่างไกลและ สงบสุขขนาดนี้ ไม่อยากให้มีสงครามเข้ามาคุกคามอีก ดังนั้น พวกเราไม่อนุญาตให้คนนอกเข้ามาอย่างเด็ดขาด”
“แต่เห็นที่พวกคุณทั้งสองเป็นเพียงผู้หญิงที่บอบบาง ผมก็เลย รับปาก แต่ว่าคุณจะต้องถูกปิดตานะ เพราะไม่งั้นหากคุณออกไป จากที่นี่แล้วแพร่งพรายที่อยู่ของพวกเราแล้วพวกเราจะทำยัง ไง? เมื่อถึงเวลานั้นความสงบสุขของพวกเราก็คงไม่มีแล้ว
จิ่งหนึ่งฟังคำพูดของเขาที่เต็มไปด้วยน้ำเสียงของภาษาถิ่น ลังเลเพียงชั่วครู่ จากนั้นก็พยักหน้าอย่างหนักแน่น
“ได้ค่ะ ฉันรับปากคุณ
เมื่อได้ยินเธอรับปาก ผู้ชายที่ถูกเรียกว่าลุงสี่คนนั้นก็เผยรอย ยิ้มที่ลุ่มลึกออกมา
“ในเมื่อเป็นแบบนี้ คุณก็กินข้าวที่นี่เถอะ กินเสร็จเรียบร้อย แล้วจะได้เดินทางไปพร้อมกับพวกเรา คืนนี้พวกเราต้องรีบเดิน ทางกลับ และพาคุณไปด้วยพอดี”
จิ่งหนิงขมวดคิ้ว รู้สึกสงสัยเล็กน้อย”ออกเดินทางตอนกลาง คืน ในขณะที่ฉันถูกปิดตาเกรงว่าจะไม่ค่อยสะดวกสักเท่าไหร่”
“สะดวก สะดวก”
ลุงสี่โบกมืออย่างไม่แยแส ผมเอาเกวียนมา คุณนั่งบนเกวียน ไม่ต้องเดินเท้าเอง ชั่วโมงสองชั่วโมงก็ถึงแล้ว สะดวกมากๆ
จิ้งหนึ่งไม่พูดอะไรออกมาจากนั้นก็พยักหน้า
ดังนั้น เธอจึงไม่ได้กลับไปที่บ้านของป้าอะฮัว เธอนั่งลงแล้วรับ ชามกับตะเกียบที่พวกเขายื่นให้ แล้วลงมือทานอาหารเย็น
สามีของป้าอะฮัวกับลุงสี่ก็พูดคุยกันอีกนิดหน่อย จากนั้นก็ แยกย้าย
ก่อนที่เขาจะจากไป จึงหนึ่งครุ่นคิด และก็ยังรู้สึกละอายใจ
จึงขอบคุณเขาเป็นพิเศษ และฝากเขาขอบคุณป้าอะฮัวด้วย
ไม่รู้ว่าเขาจะคิดมากเกินไปหรือเปล่า แต่อย่างน้อยสองวันที่ ผ่านมานี้ป้าอะฮัวก็ดีกับเธอไม่น้อย อีกอย่างพวกเขาก็เป็นคน ช่วยเธอไว้
ดูจากสถานการณ์ของเธอในตอนนี้ หลังจากกินอาหารเย็น เสร็จก็คงออกเดินทางไปพร้อมกับลุงสี่คงไม่ได้กลับไปที่บ้านของ ป้าอะฮัวแล้ว
และคงไม่มีโอกาสขอบคุณต่อหน้า วิ่งหนึ่งรู้สึกละอายใจเป็น อย่างมาก
เมื่อฝ่ายตรงข้ามเห็นสถานการณ์เช่นนั้น ก็เหลือบมามองเธอ อย่างงุนงงครู่หนึ่ง
ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ได้รู้สึกดีใจกับคำพูดขอบคุณของเธอเลย แต่กลับแสดงสีหน้าเย็นหยัน
“สาวน้อยเสี่ยวไม่ต้องขอบคุณหรอก ขอเพียงแค่คุณไม่ เสียใจภายหลังก็พอ เพราะถึงยังไงพวกเราก็มีชีวิตอยู่ได้ไม่ง่าย เลย ต่อไปพวกคุณก็ใช้ชีวิตให้ดีก็พอแล้ว”
จิ่งหนิงตะลึงงัน และไม่ค่อยเข้าใจคำพูดของเขา
แต่ฝ่ายตรงข้ามกลับไม่เหลือเวลาให้เธอได้ครุ่นคิดมากนัก เมื่อพูดจบก็โบกมือแล้วจากไป
หลังจากรอให้เขาจากไป ลุงสี่ก็เรียกให้เธอเข้าไปนั่ง
“สาวน้อยไม่ต้องเกรงใจขนาดนั้นหรอก พวกเราต่างก็เป็น เหมือนญาติพี่น้องกัน พวกเราช่วยเหลือซึ่งกันและกันเป็นปกติอยู่ แล้ว ต่อไปเมื่อคุณอยู่ที่นี่นานขึ้น ก็จะรู้เองว่ามันไม่มีอะไรเลย
จึงหนังฝืนยิ้ม ในใจคิดว่า แต่น่าเสียดายที่พวกเธอคงอยู่ที่นี่
ไม่นาน
โม่หนานได้รับบาดเจ็บ รอเพียงให้บาดแผลของเธอหาย แล้ว พวกเธอทั้งสองคงจะหาวิธีออกจากที่นี่
สิ่งที่ยากก็คือ ที่นี่ไม่มีไฟฟ้า ไม่มีเครื่องมือที่ใช้ในการสื่อสาร ลุงสี่คนนี้ที่ทุกคนต่างเคารพนับถือยังนั่งแค่เกวียน ดังนั้นก็คง หมดหวังกับยานพาหนะแล้ว
เมื่อคิดถึงจุดนี้ จึงหนิงก็อดไม่ได้ที่จะปวดหัว
แต่ว่าตอนนี้ในเวลานี้ คงไม่ใช่เวลาที่จะมาคิดถึงเรื่องนี้ ไม่ว่าจะพูดยังไง ก็ขอให้ได้พบกับโม่หนานก่อนก็แล้วกัน
เรื่องอื่นค่อยว่ากัน
ไม่นาน จิ้งหนึ่งก็กินอาหารเย็นเสร็จ
ลุงสี่กินค่อนข้างช้าหน่อย ระหว่างที่กินก็พูดคุยและดื่มเหล้า กับพวกผู้ชายที่ร่วมโต๊ะไปด้วย
แม้ว่าในใจของจิ้งหนิงจะรู้สึกร้อนใจ แต่ว่าก็ไม่กล้าเร่งรัด ทำได้เพียงนั่งรออยู่ข้างๆ
กระทั่งเวลาประมาณสองทุ่ม จึงเห็นเขาลุกขึ้นจากโต๊ะยิ้ม พลางโบกมือให้กับพวกเขา “โอเค ผมไปก่อนนะ พวกคุณไม่ต้องส่งหรอก ครั้งหน้าเจอกัน
แล้วรวมตัวกันใหม่”
ขณะที่พูดก็โบกมือเค้าเมาสะลึมสะลือให้กับพวกเขาด้วย ชายหนุ่มที่ร่วมเดินทางด้วยกัน พยุงลุงไว้ ยิ้มแล้วพูดขึ้น ว่า “ลุงระวังหน่อยครับ เดี๋ยวผมจะพยุงคุณออกไปนะครับ”
ลุงสี่พยักหน้า คนจำนวนหนึ่งจึงค่อยๆเดินออกไปข้างนอก อย่าง โซเซ
เกวียนที่พวกเขาพูดถึงก็คือ ด้านหน้า ใช้ควายหนึ่งตัวนำทาง ด้านหลังท่าเป็นตู้โดยสารอย่างง่าย
ดูเหมือนกับรถม้าในสมัยโบราณ
ชายหนุ่มพยุงลุงสี่เข้าไปนั่งก่อน จากนั้นพูดกับจิ้งหนึ่งว่า “คุณเข้าไปนั่งในตู้โดยสารเถอะครับ จะได้ช่วยผมดูลุงสี่ด้วย เขา ดื่มเหล้าจนเมาแล้ว เดี๋ยวผมจะเป็นคนขับที่นั่งอยู่ข้างหน้าเอง
จิ่งหนึ่งพยักหน้า แล้วพูดขอบคุณอย่างมีมารยาท จากนั้นจึง ขึ้นไปนั่งในตู้โดยสาร
ตู้โดยสารถือว่ามีขนาดค่อนข้างใหญ่ มีที่นั่งทั้งสองข้าง
ในเวลานี้ ลุงสี่นั่งอยู่บนที่นั่งด้านซ้ายมือ เนื่องจากตอนเย็นดื่ม เหล้าค่อนข้างมาก ดังนั้นในเวลานี้จึงเมาจนเคลิ้มหลับไป
จึงหนิงเดินมายังที่นั่งทางด้านขวาแล้วนั่งลง ไม่นานเกวียน เริ่มเคลื่อนตัวไปข้างหน้า
เกวียนค่อยๆขยับไปตามทางภูเขาที่ไม่ราบเรียบ เสียงของล้อ ดังเอี๊ยดๆ เมื่อได้ฟังก็ทำให้รู้สึกได้ว่าความเร็วไม่มากนัก
นี่เป็นครั้งแรกที่จิ่งหนิงนั่งเกวียน นอกจากความแปลกใหม่ แล้ว ก็ไม่ได้รู้สึกสบายมากนัก
Please enter a description
Please enter a price
Please enter an Invoice ID
เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ