วิวาห์หวาน นายซาตาน ที่รักของฉัน

บทที่ 983 สู้กันกลางถนน



บทที่ 983 สู้กันกลางถนน

มีจิ่งหนิงกับลู่จิ่งเซินอยู่ด้วย เจ้านายหยูยิ่งปล่อยปละละเลยสิ่ง ต่าง ๆ ไม่ได้ โรงแรมที่จอง ก็เป็นโรงแรมที่ยิ่งใหญ่และหรูหราที่สุดใน

ประเทศ T

หลังจากที่ทุกคนเดินทางมาถึง สิ่งหนึ่งก็สังเกตเห็นว่า ห้องพัก ของโมไฉ่เวยกับ เชวซูนั้นอยู่ข้างห้องเธอพอดี เธอรู้ในทันทีเลย ว่าคงเป็น เจ้านายหยูที่จัดการให้เป็นพิเศษ ในใจเลยอดซาบซึ้ง ขึ้นมาไม่ได้

ส่วนห้องของลู่หลินจือนั้นอยู่อีกฟาก ซึ่งหล่อนก็ไม่ได้อยากเจอ ลู่วิ่งเซินบ่อย ๆ อยู่แล้ว เพราะงั้น หญิงสาวจึงมีความสุขอยู่ไม่ น้อย

หลังจากที่ทุกคนเก็บของในห้องเสร็จ ก็พากันออกมาทาน อาหารด้านนอก

และเพราะจิ่งหนิงกำลังตั้งครรภ์ หญิงสาวเลยค่อนข้างจะเจริญ อาหารเป็นพิเศษ เธอมักจะหิวแทบทุกสองชั่วโมง

เพราะงั้น ลู่วิ่งเซินจึงต้องเตรียมขนมและของกินเล่นเล็ก ๆ น้อย ๆ ติดตัวไว้เสมอ หลายคนคงคิดว่า ในกระเป๋าเอกสารท่าน ประธาน คงจะเต็มไปด้วยเอกสารสัญญามูลค่าหลายแสนล้านอยู่ ในนั้นแน่ ๆ
คงคาดไม่ถึงว่า สิ่งที่อยู่ในกระเป๋าของท่านประธานใบนั้น กลับเป็นช็อกโกแลตและปูอัต

จิ่งหนิงรับขนมที่ลู่จิ่งเซินยื่นมาให้ ก่อนจะกัดไปหนึ่งคำ จาก นั้นก็พูดขึ้นอย่างพอใจว่า “ยังไงการมีของกินก็ดีที่สุด”

โม่ไฉ่เวยที่นั่งอยู่ตรงข้าม ตอบกลับพร้อมหัวเราะออกมาเบา ๆ “ตอนนี้ลูกกำลังท้องอยู่ ก็เลยหิวง่ายน่ะสิ แต่ยังไงก็ต้องระวัง หน่อยนะ ของบางอย่างกินมากเกินไปมันจะไม่ดี เดี๋ยวลูกในท้อง ตัวโตเกินไป เวลาคลอดจะลำบากเอา”

วิ่งหนึ่งยิ้มจนตาหยีพร้อมกับพยักหน้ารับ “ได้ค่ะคุณแม่ หนูรู้ แล้ว”

พูดจบ หญิงสาวก็เก็บขนมที่ยังกินไม่หมดกลับคืนที่เดิม โดย ไม่กินต่อจริง ๆ

ลู่วิ่งเซินพอเห็นดังนั้น ก็เทน้ำใส่แก้วใส่เธอ

“ดื่มน้ำหน่อย?”

“อืม”

จิ่งหนิงรับมา พร้อมกับดื่มไปหนึ่งอีก

ในตอนนั้นเอง เจ้านายหยูก็เข้ามาพอดี

ชายหนุ่มยิ้มออกมาอย่างเอาอกเอาใจก่อนจะพูดขึ้นว่า “ท่าน ประธาน คุณนาย คุณหมอเชว คุณโม่ คุณลู่ ผมสั่งอาหารมื้อ ใหญ่ไว้ให้แล้ว อีกสักครู่ลองชิมดูนะครับ ถ้าหากว่าไม่ชอบ เดี๋ยวผมให้พวกเขาเปลี่ยนให้ใหม่

โม่ไฉ่เวยยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “พี่หยูรบกวนคุณเกินไปแล้ว นะคะ” เจ้านายหยูจึงตอบกลับพร้อมรอยยิ้ม “ไม่เลย ไม่รบกวน ก็ พวกคุณไม่ค่อยคุ้นชินกับที่นี่นี่ครับ แต่เพราะเรื่องธุรกิจ ผมเลย

ต้องมาทางนี้บ่อย ๆ ปีหนึ่งมาห้าหกครั้งนี้ถือว่าน้อยนะครับ

บางทีต้องมาคอยดูเหมือง เลยต้องอยู่ที่นี่กว่าครึ่งปีเลยก็มี

จิ่งหนิงจิบน้ำเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยถามเสียงเรียบ “คุณทําธุรกิจ เหมืองหยกที่นี่มานานแค่ไหนแล้วคะ?”

เจ้านายหยูยิ้มพร้อมกับตอบว่า “สักสิบปีมั้งครับ เมื่อก่อนที่ ประเทศ T มีเหมืองค่อนข้างเยอะ แต่เพราะช่วงไม่กี่ปีมานี้มีการ ขุดเหมืองกันมากกว่าเดิม เหมืองดี ๆ เลยมีน้อยลง

ขณะที่พูดเขาก็กลัวทุกคนจะเป็นกังวล เลยรีบออกตัวรับ

ประกันก่อน

“แต่ผมรับประกันได้เลยว่าเหมืองที่ผมพาทุกคนมาครั้งนี้ ต้อง เป็นเหมืองที่ดีที่สุดที่พบในรอบสิบปีแน่ ๆ ครับ เรื่องนี้ผมเองก็ยัง ไม่เคยบอกใคร มีเพียงคุณที่เข้ามา ผมถึงได้บอกเรื่องนี้กับเธอ จะว่าไปแล้วก็เหมือนเป็นโชคอยู่เหมือนกันนะครับ”

ด้านหลันจือที่แทบจะไม่เคยมีคนเอาใจเธอ หญิงสาวจึงเผย ยิ้มออกมาจนตาหยี

“แน่นอน ฉันทำธุรกิจมาตั้งหลายปี นี่ไม่ได้โม้นะ เรื่องอื่นน่ะไม่ต้องพูดถึง แต่เรื่องโชคกับเรื่องสายตานี่มันแล้วแต่คนจริง ๆ ใครก็เทียบกันไม่ได้

จึงหนิงเม้มริมฝีปากพร้อมกับยิ้มออกมาเล็กน้อย ส่วนลู่วิ่งเซ

นก็เหนื่อยเกินกว่าจะเปิดโปงเธอ เขาจึงไม่ได้พูดอะไรออกไป มีเพียงแค่ไม่ไฉ่เวยเท่านั้นที่เอ่ยปากชมหญิงสาวอย่างจริงจัง “จริงเหรอ? งั้นคุณก็มีความสามารถจริง ๆ เลยนะคะ”

ลู่หลินจือยิ้มตาหยีก่อนจะยกมือขึ้นโบกเบา ๆ พูดดีพูดดี แต่ ก็แค่ความสามารถทั่ว ๆ ไปเท่านั้นล่ะ”

ผ่านไปไม่นาน บริกรก็ยกอาหารเข้ามาเสิร์ฟ

อาหารรสเลิศถูกนำขึ้นมาจัดวางบนโต๊ะราวกับงานศิลปะอัน ล้ำค่า แน่นอนว่าทั้งสีสัน กลิ่นหอม และรสชาติ เพียงแค่ได้สูดดม เบา ๆ ก็ทำให้หลายคนน้ำลายสอได้แล้ว

จิ่งหนิงจ้องอาหารตรงหน้า ก่อนจะเริ่มขยับตัว หญิงสาวหยิบ ตะเกียบขึ้นมาแล้วก็เริ่มลงมือทันที

แต่ละคนต่างก็เริ่มขยับตะเกียบเช่นกัน ทว่าทันใดนั้น อยู่ ๆ

ด้านนอกกลับมีเสียงอึกทึกดังขึ้น

ทุกคนหยุดชะงักชั่วขณะ เพราะถูกเสียงโวยวายเมื่อครู่ดึงดูด

ให้มองไปทางด้านนอก

ขณะเดียวกัน คนในภัตตาคารก็ถูกดึงดูดให้มองออกไปเช่น กัน พวกเขาถึงกับวางตะเกียบและหยุดทานอาหาร จากนั้นก็เดิน ออกไปดู
เจ้านายหยูเอ่ยขึ้นว่า พวกคุณทานกันก่อนเลยนะครับ เดี๋ยวผมไปดูสักหน่อย

ลู่เซินพหน้าหลังจาก เจ้านายหยูเดินไป เขาก็ช้อนตักให้จิ้งหนึ่ง พร้อมกับด้วยน้ำเสียงอบอุ่นว่า ทาน ก่อนได้ท้อง

จิ่งหนึ่งพยักหน้าเบา จากนั้นซุปให้โม่ไฉ่เวยอีกคุณแม่ทานด้วยนะคะ

โม่ไฉ่เวยตอนนี้รู้สึกประหม่านิดหน่อย ขึ้นอย่างกะทันหันแบบนี้ที่สุด ในขณะเดียวอื่น อีกหลาย คนอยู่รอบตัวเธอด้วย เธอจึงค่อย ๆ ผ่อนคลายลง

โม่ไฉ่เวยชามซุปก่อนจะพยักหน้าเบา พร้อมกับฝืนยิ้ม

จิ่งหนึ่งกุมเธอไว้ ก่อนจะเอ่ยปลอบใจด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ทะเลาะกัน ไม่เกี่ยวเราหรอกค่ะ

เซวซูเองกุมกลัวนะ เรื่องขึ้นจริง คุณยังพวกเราอยู่ พวก เราจะปกป้องคุณเอง

บรรยากาศอันอบอุ่นทำให้ไม่ไฉ่เวยผ่อนคลายลงได้มาก เธอพยักหน้ารับ พร้อมตอบด้วยรอยว่า ฉันแล้ว ฉันสบายดี พวกคุณไม่ต้องเป็นห่วง

ขณะเดียวกัน ลู่หลันซื้อก็เริ่มนั่งไม่ติดเก้าอี้

เธอชอบความคึกคักเป็นที่สุด ดังนั้น หญิงสาวจึงวางตะเกียบ ลง ก่อนจะเดินออกไปพร้อมกับทิ้งท้ายไว้ว่า “พวกคุณทานกัน ก่อนเลย ไม่ต้องรอฉัน ฉันก็จะออกไปดูสักหน่อย”

ลู่วิ่งเซินเองก็จนปัญญา เลยไปแต่ปล่อยให้เธอไป

ผ่านไปไม่นาน ลู่หลินจือก็เดินกลับเข้ามาพร้อมกับ เจ้านายหยู

ลู่หลั่นจือพูดเรื่องที่ออกไปดูอย่างมีความสุข “ประเทศ T นี้ แปลกใหม่จริง ๆ เมื่อครู่นี้พวกคุณไม่ได้เห็น มีผู้ชายคนหนึ่งน่า จะสูงประมาณร้อยห้าสิบกว่า เขาจัดการผู้ชายที่สูงร้อยแปดสิบ จนเกือบตาย ฝีมือของเขานะ เฮ้อ แค่เห็นฉันยังกลัวเลย”

จึงหนิงเลิกคิ้วขึ้น “สู้กันเหรอ?”

เจ้านายหยูยิ้มพร้อมกับตอบกลับ “ก็ไม่ถึงกับสู้กันหรอกครับ ธรรมเนียมของที่นี่คือต้องแข็งแกร่งและกล้าหาญ พวกเขาค่อน ข้างชื่นชอบการต่อสู้ ผมคิดว่าน่าจะมีความโกรธแค้นกันเป็นการ ส่วนตัว แล้วบังเอิญมาเจอกันที่หัวถนนพอดี เพราะงั้นแค่พริบตา เดียวเลยมีการลงไม้ลงมือกันเกิดขึ้น คงจะเจ็บหนักกันไม่น้อย

ลู่จิ่งเซินจึงอธิบายเพิ่มว่า “มวย T ของที่นี่ร้ายกาจมากนะ ได้ยินมาว่าผู้ชายเก้าในสิบคนที่อยู่ที่นี่ล้วนเป็นมวยกันทั้งนั้น

จึงหนิงฟังแล้วก็อดสนใจไม่ได้ “ถ้างั้นพวกเขาเก่ง หรือว่าคุณ เก่งล่ะ?”
ลู่จิ้งเซินหรี่ตาลงเล็กน้อย “แล้วคุณคิดว่ายังไง?”

ทั้งน้ำเสียงและสายตานั้น ทำให้จิ้งหนึ่งเข้าใจคำตอบของเขา ได้ในทันที หัวใจของเธอกระตุกไปเล็กน้อย ก่อนจะรีบเอ่ยชมอีก ฝ่ายอย่างร้อนรน “แน่นอนอยู่แล้วว่าต้องเป็นคุณ

ลู่วิ่งเซินเผยรอยยิ้มออกมาเบา ๆ

ภาพที่พวกเขาทั้งสองแสดงความรักกัน ผ่านเข้ามาในสายตา ของ เจ้านายหยูตลอด แววตาของเขาก็เกิดเป็นประกายขึ้นมา แวบหนึ่ง ในใจก็ยิ่งเข้าใจสถานะของสิ่งหนึ่งที่อยู่ในหัวใจของ จิ่งเซินมากขึ้น

ที่ว่ากันว่าตระกูลอันร่ำรวยและมีอิทธิพลมักจะไร้ความจริงใจ ดูท่าแล้ว มันก็ไม่แน่หรอก

อย่างน้อยคุณนายที่อยู่ตรงหน้าเขาท่านนี้ ก็ไม่เหมือนกับ

ตระกูลอันร่ำรวยก่อน ๆ ที่เขาเคยพบเจอมา

หลังจากที่ทุกคนทานเสร็จ เจ้านายหยูก็พาคนทั้งหมดเข้าไป เดินเล่นในเมือง

ไม่ว่าจะเป็นขนบธรรมเนียม สถาปัตยกรรม อาหารการกิน ของประเทศ T ทั้งหมดล้วนต่างจากของจีนมาก

เมื่อก่อนจึงหนิงก็เคยไปเที่ยวมาหลายที่ แต่เธอไม่เคยมาที่ ประเทศ T เลยสักครั้ง

ส่วนลู่วิ่งเซินก็เคยมาเพียงสองครั้งเท่านั้น และทุกครั้งไม่ว่า เขาจะไปไหนก็จะมีแต่เรื่องงาน ซึ่งปกติรอบตัวเขาจะมีคนรายล้อมเต็มไปหมด ทำให้แต่ไหนแต่ไรมาเขาก็ไม่เคยได้สังเกต สภาพแวดล้อมรอบตัวอย่างจริงจังสักที เพราะงั้น ความคุ้นชินใน สถานที่ของเขาก็ไม่ได้ดีไปกว่าวิ่งหนึ่งไปสักเท่าไร

กลับเป็นลู่หลันจือ ที่ถึงแม้จะไม่เคยมาประเทศ T แต่เพราะดูซี รีส์ทางฝั่งของประเทศ T เยอะ ทำให้เธอคุ้นชินกับ ขนบธรรมเนียมต่าง ๆ ไปโดยปริยาย


เพื่อการอัปเดตบทที่เร็วขึ้น กรุณาบริจาคสำหรับเว็บไซต์เพื่อซื้อบทใหม่! ขอขอบคุณ
THB

เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ