บทที่ 978 เหมือนยกภูเขาออกจากอก
“แล้วคุณไม่เคยสงสัยเขาบ้างเลยเหรอ”
โมไฉ่เวยมีความอึ้งเล็กน้อย สามยตาเต็มไปด้วยความมึนงง และความสงสัย
“ทำไมฉันต้องสงสัยเขา อะดีกับฉันมากเลยนะ เขาคือคนที่ดี กับฉันมากที่สุดบนโลกใบนี้ ฉันไม่มีทางสงสัยเขา”
หน้าตาไร้เดียงสา อๆของเธอนี้ทำให้สิ่งหนึ่งรู้สึกปวดหัวนิด
หน่อย
เธอถอนหายใจออกคำหนึ่งเบาๆ “ก็ได้ ถึงจะเป็นแบบนี้ แล้ว ทำไมคุณถึงต้องหลบฉัน อย่าบอกฉันนะ ว่าที่คุณรีบจากไปครั้งนี้ ไม่ใช่เพราะฉัน”
เมื่อโมไฉ่เวยได้ยิน ก็เหมือนกับคำโกหกที่ซ่อนไว้อย่างลำบาก
ถูกคนเปิดเผยแล้ว เกลียวนิ้วมืออย่างตื่นเต้น
“ฉัน…ฉันก็ไม่ได้ตั้งใจอยากหลบคุณ…ฉันก็แค่กลัว
“กลัว?” จิ่งหนิงยกคิ้ว “คุณกำลังกลัวอะไรอยู่
“ฉัน…” จู่ๆ เธอก็ตะขิดตะขวงใจสุดๆ สายตาหมุนไปหมุนมา เหมือนกำลังค้นหาอะไรอยู่
วิ่งหนึ่งรู้ว่าเธอกำลังมองหาเซวอยู่
ผู้ชายคนนั้น ตอนนี้ก็เหมือนพลังหลักของเธออย่างนั้น ไม่สามารถห่างออกจากภายในขอบเขตสายตาของเธอ ไม่อย่างนั้น เธอก็จะรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาอย่างไร้เหตุผล
ถึงแม้จิ้งหนึ่งไม่ใช่คุณหมอ แต่สำหรับด้านจิตวิทยาแล้วก็มี ความรู้อยู่บ้าง
เธอสังเกตเห็นสภาพของ โม่ไฉ่เวยในตอนนี้ เหมือนเป็นโรค เครียดหลังผ่านเหตุการณ์ร้ายแรงอย่างหนึ่ง
เธอเคยถูกทำร้ายอย่างรุนแรงหนักมาก ในการถูกทำร้ายครั้ง นั้น คนที่เธอเชื่อใจที่สุดหักหลังเธอ และยังอยากได้ชีวิตของเธอ อีกด้วย
เพราะฉะนั้น เธอตื่นตลึง เธอกระสับกระส่าย แม้ว่าหลังจากที่ เธอตื่นมาแล้วจะเสียความทรงจำทุกอย่างไป แต่ความหวาดกลัว ภายใต้จิตใต้สำนึกนั้นยังคงหลงเหลือไว้อย่างลึกซึ้ง
คนที่ช่วยเธอไว้คือเซวซู
เหมือนกับคนที่จมน้ำคนหนึ่ง อยู่ๆ ก็จับฟางเส้นที่ช่วยชีวิตไว้ ได้ ก็คิดว่าเขาเป็นแสงแดดหนึ่งเดียวในชีวิตแล้ว ดึงไว้แรงๆ ไม่ ยอมปล่อยมือ
สำหรับเธอแล้ว ทุกอย่างในรอบตัวนั้นไม่คุ้นเคยเลยและ ทำให้คนรู้สึกกระสับกระส่าย มีแต่เซวซู ผู้ชายที่เคยช่วยเธอไว้ คนนี้ ทำให้เธอเชื่อใจ ทำให้เธอเพิ่งพา
ทันใดนั้นจึงหนิงก็ปล่อยวางได้แล้ว
เพราะฉะนั้น ตัวเองกำลังคิดหยุมหยิมอะไรอยู่เหรอ
เหมือนอย่างที่ลู่วิ่งเซินกล่าวไว้ เธอสามารถมีชีวิตอยู่รอดมา จากอุบัติเหตุรุนแรงอย่างนั้นมาได้ ถือว่าเป็นความเมตตาที่ พระเจ้ามอบให้พวกเธอแล้ว
สิ่งที่เธอต้องทําไม่ใช่กล่าวโทษกับตำหนิ แต่คือควรรักและ ทะนุถนอมเธอ ชดเชยเวลาที่สองคนไม่มีโอกาสได้อยู่ด้วยกันใน สิบปี กลับมาทั้งหมด
พอคิดถึงตรงนี้ มุมปากของจิ้งหนึ่งก็ยิ้มออกมา
“พอแล้ว ถ้าคุณไม่อยากบอกก็ไม่ต้องบอกแล้ว”
เธอชะงักและถามหยั่งเชิง: “ฉันขออยู่ใกล้คุณหน่อยจะได้
ไหม”
โมไฉ่เวยตะลึง เงยหน้าขึ้นมามองเธออย่างงงงัน
จิ่งหนึ่งก้าวเท้าอย่างระมัดระวัง “คุณไม่ต้องกลัว ฉันเป็น ลูกสาวของคุณ คือคนในครอบครัวของคุณ ฉันไม่ทำร้ายคุณ หรอก ก็เหมือนอะของคุณ พวกเรารักคุณมาก เพราะฉะนั้นคุณ ไว้ใจได้เลย ฉันก็แค่คิดถึงคุณมาก อยากอยู่ใกล้ๆ คุณ คุณอย่า หลบฉันได้ไหม”
โม่ไฉ่เวยมองเธออย่างตะลึง อาจเป็นเพราะเข้าใจสิ่งที่เธอพูด แล้ว ดังนั้นถึงแม้ตัวจะตื่นเต้นอย่างเห็นได้ชัด แต่ยังคงพยายาม ยืนอยู่ที่เดิมไม่ได้ขยับไปไหน
ในที่สุดจึงหนิงก็เดินมาถึงข้างหน้าของเธอ เธอยื่นสองมือออกไป โอบไหล่ของโมไฉ่เวย กอดเธอเข้ามาในอ้อมแขน
ตะโกนออกมาค่หนึ่ง น้ำตาเต็มไปด้วยทั้งขอบตาแล้ว
โม่ไฉ่เวยยืนอยู่ตรงนั้นอย่างงงงัน สงสัยจะสัมผัสอารมณ์ของ จิ่งหนิงได้แล้ว เธอก็ยื่นมือออกไปโอบกอดตัวของเธอเบาๆ
“แม่ ท่านไม่เป็นไรก็ดีแล้ว หลายปีนี้ฉันเคยฝันเป็นหลายรอบ แล้ว ฝันถึงภาพที่ท่านอยู่กับฉันตอนเด็ก ฉันยังนึกว่าชาตินี้จะไม่ เจอท่านอีกแล้ว แต่ตอนนี้เราสามารถมาพบกันอีกครั้ง ฉันดีใจ และรู้สึกขอบคุณมาก ฉันไม่อยากบีบบังคับท่านให้นึกถึงเรื่อง เจ็บปวดเหล่านั้น ท่านไม่อยากจำฉันได้ก็ไม่เป็นไร แต่ถือว่าฉัน ขอร้อง แม่ อย่าหลบฉันอีกต่อไปแล้ว ได้ไหม”
โมไฉ่เวยตกตะลึง ไม่รู้ว่าทำไม จริงๆ แล้วเธอจำอะไรไม่ได้ เลย แต่พอได้ยินเสียงของจิ่งหนิง ขอตาของเธอก็อดเสียใจไม่ได้
“ได้ ฉันไม่หลบคุณอีกแล้ว”
เธอพูดเสียงเบา
จิ่งหนิงอึ้ง ปล่อยเธอออกมาอย่างคาดไม่ถึง กุมมือของเธอไว้
“จริงเหรอ แม่ ท่านสัญญากับฉันแล้วเหรอ”
พอมาถึงจุดนี้ ไม่ไฉ่เวยไม่ป้องกันเธออีกแล้ว ถึงแม้ยังไม่ สามารถสนิทสนมกันมากขนาดนั้นเหมือนที่สิ่งหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้ ปฏิเสธอย่างตอนแรกแบบนั้นแล้ว
เธอยิ้มอย่างเคอะเขินและพยักหน้า
จิ่งหนิงตื่นเต้นไม่หยุด
“แม่ ฉันสัญญากับท่าน เมื่อไหร่ที่ท่านรู้สึกไม่ชอบ ฉันก็จะไม่ มารบกวนท่านเด็ดขาด แต่ถ้าท่านรู้สึกไม่พอใจหรือมีใครทำร้าย ท่าน ท่านก็ต้องบอกให้ฉัน ได้ไหม”
โม่ไฉ่เวยยิ้มอีกครั้ง ครู่หนึ่งจึงพูดขึ้นมาว่า “ฉันสบายดีมาก
ไม่มีใครทําร้ายฉัน”
หน้าตาใจดีและไร้เดียงสาของเธอนี้ยังคงเหมือนอย่างสิบปีที่ แล้วอย่างนั้น
จิ่งหนิงถอนหายใจออกอย่างจําใจ
“ก็ได้!”
เธอนิ่งงันครู่หนึ่งและถามต่อว่า “แล้วต่อไปพวกท่านอยากไป ไหนต่อ ตกลงหรือยัง
โม่ไฉ่เวยสายหัว “ฉันไม่ได้โกหก เรายังไม่ได้ตัดสินใจจะไป ที่ไหนต่อจริงๆ ถึงแม้ที่จากไปอย่างกะทันหัน เป็นเพราะการ ปรากฏตัวของพวกคุณ ทำให้ฉันรู้สึกกลัวนิดหน่อย ขอโทษนะ จึงหนิง ฉันไม่ได้หมายถึงอย่างนั้น ความหมายของฉันคือฉันไม่ ได้กลัวคุณ….
โม่ไฉ่เวยเหมือนจะเข้าใจได้อะไรบางอย่าง อยู่ๆ ตื่นเต้นขึ้นมา อธิบายด้วยเสียงรีบร้อน
จิ่งหนิงรีบพูดแทรกเธอและปลอบใจว่า “ฉันรู้ คุณไม่ต้องตื่น เต้น ฉันรู้ว่าคุณไม่ได้กลัวฉัน คุณก็แค่กลัวฉันจะพูดถึงเรื่องใน อดีตให้คุณฟัง ทำให้คุณก็นึกถึงอดีตที่เจ็บปวดทรมานนั้นด้วย ใช่ไหม”
ไม่ไฉ่เวยชะงักหลายวินาทีและพยักหน้า
จึงหนิงโล่งอกโล่งใจแล้ว ปลอบใจด้วยเสียงเบา “คุณไม่ต้อง กลัวและไม่ต้องห่วง ถ้าคุณไม่อยากจำเรื่องเหล่านั้นขึ้นมาได้ งั้น พวกเราก็คิดซะว่าเรื่องเหล่านั้นไม่เคยเกิดขึ้นเลย อย่าพูดถึงเลย ไม่ว่าใคร ดีไหม”
ทีนี้โม่ไฉ่เวยถึงเหมือนยกภูเขาออกจากอกและพยักหน้า
วิ่งหนึ่งยิ้ม “ถ้ายังคิดไม่ได้ว่าจะไปไหน ก็อยู่ในเมืองหลวงอีก สักสองวันไหม ก่อนหน้านี้คุณบอกว่าพวกคุณเคยไปเดินเล่น เคย ไปเที่ยวมาแล้วทุกที่ ฉันไม่เชื่อ ฉันรู้มีสถานที่ยอดเยี่ยม คุณไม่ เคยไปแน่นอน อยู่ที่นี่อีกสักสองวัน ฉันพาพวกคุณไปเดินเล่นดี ไหม”
โม่ไฉ่เวยตะลึง เหมือนลังเลอยู่เล็กน้อย อย่างไรก็ตาม เธอเป็นคนใจอ่อน ซึ่งหนึ่งเพิ่งแสดงสีหน้า ขอร้องและไม่อยากให้จากไปออกมา เธอก็ยอมแพ้ทันทีแล้ว
“ก็ได้ ฉันสัญญากับคุณ”
ทีนี้จึงหนิงจึงเผยรอยยิ้มออกมากว้างๆ ขณะนี้ ข้างนอกห้องรับแขก
ผู้ชายสามคนยืนอยู่ตรงนั้นเงียบกริบทั้งแถว
เจ้านายหยูรู้สึกพะอืดพะอมอยู่แล้ว ถึงแม้ฝ่ายหนึ่งจะเป็น เพื่อนของเขา อีกฝ่ายหนึ่งก็อาจจะเป็นผู้ร่วมมือด้านธุรกิจใน อนาคตของเขา พอพูดถึงแล้วก็รู้จักกันหมด
แต่ถึงอย่างไร นี่คือเรื่องครอบครัวของคนอื่น เขาเป็นคนนอก ยืนอยู่ตรงนี้มักจะมีความรู้สึกแปลกๆ และเป็นส่วนเกินอย่างหนึ่ง
แต่ขณะนี้ข้างในมีอยู่แค่โม่ไฉ่เวยกับวิ่งหนึ่งสองคน เชวพวก เขาเป็นคนต่างจังหวัด มาเมืองหลวงครั้งแรก ถ้าตัวเองทิ้งพวก เขาไว้ที่นี่และจากไปก็ดูเหมือนไม่ค่อยสนิทกันเท่าไหร่
อย่างไรก็ตาม แม้จะเป็นแม่ลูกแท้ๆ แต่ปัจจุบันไม่ไฉ่เวยจำ อะไรไม่ได้แล้ว
Please enter a description
Please enter a price
Please enter an Invoice ID
เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ