บทที่ 939 ออกเดินทางไปเมืองผิง
เธอยิ้มและพูดว่า “ยินดีต้อนรับสู่เมืองหลวง
พร้อมกับกางแขนทั้งสองข้างของเธอ และกอดเฉียว เฉียว ก็ดีใจมากเช่นกัน ที่ดีใจก็เพราะเพียงไม่นานเธอก็พบ เบาะแสแล้ว และการได้พบกับวิ่งหนึ่งก็เป็นเรื่องที่น่าดีใจอีกเรื่อง
หนึ่ง ตอนนี้ลู่จึงเป็นอยู่ที่บริษัท เลยไม่สามารถมาทักทายพวกเขา
ได้ แต่โชคดีที่เขาโทรมาล่วงหน้าแล้ว
ทั้งสองเข้าใจดี และรอให้เขากลับมาจากเลิกงานก่อน แล้ว ค่อยพูดคุยเรื่องสำคัญกัน
หลังจากเข้าไปในบ้าน ป้าหลิวก็เตรียมอาหารอร่อยๆ ไว้ให้
เรียบร้อยแล้ว
เธอเคยได้ยินเกี่ยวกับกู้ซื้อเฉียนและเฉียวมาก่อนแล้ว ครั้ง ก่อนที่จิ้งหนึ่งกลับมาจากเมืองหลิน ก็นำอาหารพื้นเมืองมาฝาก เยอะแยะเลย จากนั้นมาป้าหลิวก็ชมเธอไม่หยุด
ได้เจอหน้ากันคราวนี้ ยิ่งรู้สึกว่าหนุ่มสาวคู่นี้ทั้งหล่อทั้งสวย แถมยังมีสง่าราศี เหมือนกับคุณท่านและคุณนายไม่ผิดเลย
ทั้งหมดเข้าไปในห้องอาหารเพื่อทานอาหารค่ำ วันนี้จิ้งเจ๋อ น้อยและอานอานต้องไปเรียน ทั้งคู่ก็เลยไม่อยู่ ที่บ้านจึงเงียบลงไปทันตา
หลังอาหารเย็น จิ่งหนิงพาพวกเขาไปเดินเล่นในเมืองหลวง รอบหนึ่ง ส่วนกู้ซือเฉียนนั้นเป็นเพราะตระกูล จึงได้มาประเทศจี นบ่อยๆ เพราะอย่างนั้นจึงไม่รู้สึกว่าสิ่งเหล่านี้ดูแปลกตาเท่าไหร่
แต่กลายเป็นเฉียวฉี ที่มาประเทศจีนเป็นครั้งแรก จึงเต็มไป ด้วยความอยากรู้เกี่ยวกับทุกที่
ทั้งสามคนเดินไปรอบๆ และใช้เวลาไม่นาน พวกเขาก็มาถึง ข้างล่างอาคารกู้ชื่อกรุ๊ป
จิ่งหนิงยิ้มและพูดว่า “ว่าไงล่ะ? ถึงบ้านคุณแล้ว อยากจะเชิญ พวกเราขึ้นไปนั่งข้างบนหน่อยไหม?”
แม้ว่ากู้ซื้อเฉียน จะเข้ายึดครองธุรกิจส่วนใหญ่ของกู้ชื่อกรุ๊ป แล้ว แต่อาคารกู้ชื่อกรุ๊ปตึกนี้ เขาก็ไม่ได้มาบ่อยนัก
เพราะแม่ของเขา เขายังคงเกลียดชังตระกูลเข้ากระดูกดำ
แม้ว่าในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาฉางไห่จะพยายามเอาใจเขาแล้ว ก็ตาม แต่ความเกลียดชังแบบนั้น ไม่สามารถลบล้างได้ภายใน วันหรือสองวัน
ดังนั้น เมื่อฉันได้ยินสิ่งที่จิ้งหนึ่งพูด เขาก็ชำเลืองมองเธออย่าง เฉยเมย แล้วพูดว่า “อยากไปก็ไปเอง เธอคุ้นเคยกับที่นี่มาก ไม่ใช่หรือไง?”
เมื่อวิ่งหนิงเห็นเขาเหมือนจะหัวเสีย จึงหัวเราะออกมาเบาๆ “หึ ฉันไม่คุ้นเคยเท่าคุณหรอก ก็ได้ ถ้าคุณไม่อยากไปก็ช่างเถอะมันก็ไม่สำคัญกับฉันหรอก เพราะเหตุผลหลักที่ฉันมาก็เพราะว่า ตามเฉียวมา ตามว่าที่คุณผู้หญิงมาที่นี่ เพื่อตรวจดูพื้นที่ของตัว เองสักหน่อยก็เป็นเรื่องปกติไม่ใช่เหรอ?”
เมื่อเธอพูดแบบนี้ กู้ซือเฉียนก็คิดไปถึงขั้นนั้น
แล้วรีบหันไปมองที่เฉียว
เฉียว จะไม่รู้ได้อย่างไรว่าในใจเขากำลังคิดอะไรอยู่ แต่หาก เขารู้สึกสะเทือนใจ เธอก็บังคับอะไรเขาไม่ได้มาก
เขาจึงยิ้มอย่างอ่อนโยน “วันนี้พอแล้วดีไหม พวกเรายังต้อง ไปอีกหลายที่ อย่ามัวเสียเวลาอยู่ที่นี่เลย
ขณะที่วิ่งหนึ่งมองดูคู่สามีภรรยาที่เข้ากันเป็นที่เป็นขลุ่ยแบบนี้ ก็ส่ายหน้าและถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้
“นี่พวกนาย เห็นฉันเป็นธาตุอากาศหรือไง ถึงแสดงความรัก
แบบหวานชื่นต่อหน้าคนอื่นแบบนี้เนี่ย”
เฉียวเม้มริมฝีปากและยิ้ม
ทั้งสามคนเดินเล่นอยู่เป็นเวลานาน จนถึงเวลาหกโมงเย็น รถ ก็มารอรับอยู่ด้านล่างอาคารซื้อกรุ๊ป
จิ่งหนิงโทรหาลู่วิ่งเซิน และถามเขาว่าเขาเลิกงานแล้วหรือยัง ถ้าเขาเลิกงานแล้ว จะได้รอรับเขากลับไปด้วยกันเลย
ลู่วิ่งเป็นไม่รอช้า ภายในไม่กี่นาทีหลังจากรับสาย เขาก็เดินลง มา
หลังจาก นรถ ทั้งหมดก็ไม่ได้รีบร้อนกลับวิลล่า แต่ไปปักหลัก ที่เถาหรับที่อยู่ข้างๆ และกินข้าวนอกบ้านกัน
หลังจากนั่งลงแล้ว จิ่งหนึ่งก็สั่งอาหาร และในขณะที่รออาหาร มาเสิร์ฟ ทั้งสี่ก็เริ่มพูดถึงจุดประสงค์ที่จะมาประเทศจีนในครั้งนี้
“ท่านปูชิวที่คุณพูดถึงก่อนหน้านี้ เมื่อวานหนิงหนิงได้ตรวจ สอบแล้ว และข้อมูลที่เป็นรูปธรรมพวกคุณน่าจะรู้ชัดแล้ว แล้วมัน บังเอิญมาก ฉันได้โทรหาคุณย่าของฉันวันนี้ และเธอบอกว่าเธอ เคยพบกับท่านปูชิวมาก่อน พวกเขามาจากที่เดียวกัน และยินดีที่ จะแนะนำพวกเรา พอถึงตอนนั้นฉันสามารถไปหาเขาเป็นเพื่อน พวกนายได้ ”
ลู่จิ่งเซินกล่าวด้วยเสียงราบเรียบ ดวงตาของเฉียวเป็น ประกาย
“จริงเหรอ? เยี่ยมไปเลย
ตอนบ่ายวันนี้ขณะที่อยู่บนรถ จึงหนิงได้บอกข้อมูลที่พบเมื่อ วานนี้ให้พวกเขาฟังแล้ว
เมื่อรู้ว่าท่านคนนี้ไม่ใช่คนธรรมดา เขาจึงกังวลว่าหาก บุ่มบ่ามเข้าไป คนคนนั้นจะเต็มใจช่วยเหลือพวกเขาหรือไม่
แต่ตอนนี้ดีขึ้นแล้ว หากมีคำแนะนำจากท่านย่า ก็เหมือนกับ การลงทุนลงแรงเพียงนิดเดียวแต่ผลตอบแทนเป็นทวีคูณเลยที เดียว
ลู่จิ่งเซินหัวเราะเบา ๆ “พวกนายอย่ามองโลกในแง่ดีเกินไปเท่าที่ฉันรู้มาท่านปูชิวท่านนั้น ตั้งแต่หลานสาวของเขาหายตัวไป ก็เปลี่ยนไปมาก ไม่ได้คุยง่ายเหมือนเมื่อก่อนแล้ว แม้จะมีค่า แนะนำของคุณย่า ก็ไม่มีใครรู้ว่าจะมอบแผ่นหยกคัมภีร์สวรรค์ หยกชิ้นนี้ให้หรือเปล่า”
กู้ซื้อเฉียนขมวดคิ้ว “ไม่ว่าเขาจะเต็มใจหรือไม่ก็ตาม ฉันต้อง ได้ของมา”
ลู่วิ่งเซินพยักหน้า “ถึงตอนนั้นค่อยดูอีกทีแล้วกัน ถ้าไม่ได้ จริงๆ ก็ค่อยช่วยกันหาทางออก
คุยกันไม่กี่คํา อาหารก็มาเสิร์ฟ พวกเขาจึงหยุดพูดถึงประเด็น นี้ และเปลี่ยนไปคุยเรื่องอาหารแทน
ทุกคนทานอาหารอย่างมีความสุข พอทานเสร็จ ทั้งสี่ก็นั่งรถ กลับบ้านด้วยกัน ป้าหลิวได้ทำความสะอาดห้องพักรับรองแขก และเตรียมของที่ใช้ในชีวิตประจำวันทั้งหมดไว้แล้ว
เนื่องจากเป็นเวลาดึกแล้ว และต้องออกเดินทางแต่เช้าตรู่ของ วันพรุ่งนี้ กู้ซือเฉียนไม่ได้ไปเยี่ยมท่านย่าและท่านปู เขาจึงเพียง โทรศัพท์ไปทักทายเท่านั้น นอกจากนี้เขายังขอบคุณสําหรับการ แนะนําของพวกเขา จากนั้นก็ผล็อยหลับไป
วันรุ่งขึ้น ลู่วิ่งเซินจัดการเรื่องบริษัทเรียบร้อยแล้ว และพาพวก เขาไปที่ เมืองผิงกับจิ่งหนึ่ง
เมืองผิงอยู่ทางตอนใต้ของจีน เป็นเมืองชายแดนที่มีการ พัฒนาด้านการท่องเที่ยวอย่างมากเมืองหนึ่งเลย
หมู่บ้านของท่านปูซิวตั้งอยู่ทางตอนล่างของ เมืองผิงในสถาน ที่ที่เรียกว่า หมู่บ้านตระกูลว่าน
ที่เรียกที่นี่ว่าหมู่บ้านตระกูลว่านไม่ได้หมายความว่าคนที่นี่ทุก คนแซ่ว่านแต่ที่นี่เคยรุ่งเรืองและพัฒนาอย่างมาก ขณะที่มี ประชากรมากที่สุด ก็มีนับหมื่นครัวเรือน ขนาดในยุคที่เศรษฐกิจ ยังด้อยพัฒนา ประชากรยังเยอะขนาดนี้
ต่อมาเศรษฐกิจของเมืองพัฒนา และคนหนุ่มสาวก็ออกจาก ชนบทกันไปทีละคน ทำให้คนในหมู่บ้านเหลือน้อยลง จนถึงทุก วันนี้ ก็ตกต่ำลงเรื่อยๆ บางคนที่ไม่มีหนทางไปก็เต็มใจที่จะอยู่ บ้านเกิดต่อ อาศัยทำงานหัตถกรรมและงานเกี่ยวกับการท่อง เที่ยวเพื่อใช้ชีวิตให้ผ่านไปในแต่ละวัน
เมื่อทั้งสี่มาถึงหมู่บ้านตระกูลว่านก็ยังเป็นเวลาเช้าอยู่ ภายใต้ การนำของชาวบ้านในท้องที่ พวกเขาก็มาถึงวิลล่าที่ท่านช วอาศัยอยู่
เนื่องจากเขาเป็นคนเดียวในหมู่บ้านนี้ที่มีวิลล่า ตระกูลชิวจึง หาได้ไม่ยาก
จากนั้นก็เห็นสิ่งปลูกสร้างที่ปูด้วยกระเบื้องสีแดงและผนังสี ขาวอยู่ข้างหน้า วิลล่านี้ค่อนข้างใหญ่เลยทีเดียว แต่ประตูถูก ล็อกอย่างแน่นหนา และรอบๆ ก็ไม่มีบ้านของมนุษย์อยู่เลย ด้าน หลังมีภูเขาอยู่หนึ่งลูก และเมื่อมองผ่านกำแพงที่กั้นบริเวณลาน บ้านสามารถมองเห็นดอกไม้ต้นไม้ข้างในได้อย่างเลือนราง น่า จะไม่มีคนมาทําความสะอาดและตัดแต่งมานานแล้ว ใบไม้หลายใบเปลี่ยนเป็นสีเหลืองหมดแล้ว ยิ่งดูก็ยิ่งหดหู่และอ้างว้าง กู้ซือเจียนก้าวไปข้างหน้า และเคาะประตู “มีใครอยู่ไหมครับ?”
ไม่มีเสียงตอบรับจากภายใน
เขาจึงเคาะอีกสองสามครั้ง แต่ดูเหมือนว่าไม่มีใครอาศัยอยู่ ภายใน อย่าว่าแต่ค่าตอบรับเลย แม้แต่เสียงการเคลื่อนไหวใดๆ ก็ไม่มี เขาหันหน้าไปทางผู้นำทางในท้องที่ที่เชิญมาชั่วคราว และ
ถามว่า “คุณแน่ใจเหรอว่าท่านซิวอยู่ที่บ้าน?”
ผู้นําทางเป็นชายวัยกลางคนธรรมดาๆ เกาหัวด้วยความงุนงง “น่าจะอยู่นะครับ เขาแก่แล้ว ตาก็ไม่ดีอีก ปกติเขาไม่ค่อยออกไป ข้างนอก เวลานี้เขาก็น่าจะต้องอยู่บ้านนะ”
หลังจากพูดเสร็จ เขาก็ไม่ยอมแพ้และเดินขึ้นไปเคาะประตู พร้อมกับตะโกนด้วยภาษาท้องถิ่นอีกสองสามประโยค
สักพัก ก็มีเสียงดังมาจากข้างใน
มันเป็นเสียงคนแก่ที่แหบแห้ง แต่เต็มไปด้วยพลัง
“ไม่ต้องเคาะแล้ว! จะเคาะอะไรนักหนา!”
เมื่อเสียงสิ้นสุดลง ประตูก็ถูกเปิดออกจากด้านใน
Please enter a description
Please enter a price
Please enter an Invoice ID
เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ