บทที่ 656 ความสัมพันธ์ที่คลี่คลายลง
ทั้งครอบครัวล้วนมีความสุขกันถ้วนหน้า
ก่อนหน้านี้ มีข่าวลือมาจากต่างประเทศว่า พบฆาตกรคนที่ฆ่า ตาK แล้ว
โดยเป็นคนของกลุ่มชาวจีน
เรื่องนี้ ในเมื่อหาตัวคนร้ายได้แล้ว การจะจัดการต่อก็ไม่ใช่ เรื่องยาก
แม้ว่าจะมีความขัดแย้งทางผลประโยชน์กันอยู่มากระหว่าง กลุ่มมังกรและกลุ่มชาวจีนแต่อย่างไรก็ตาม ทั้งสองฝ่ายก็ยังยึด หลักการที่ว่า จะไม่ให้มีความเคียดแค้นเกิดขึ้นต่อกันอีก ทั้งคู่ ต่างถอยกันคนละก้าว เรื่องก็เลยยิ่งจัดการได้ง่ายขึ้น
อีกอย่างในขั้นตอนการจัดการเรื่องนี้ ก็มีหัวหน้าตระกูลอ นอย่างจูเก่อหลิวเฟิงที่ให้การช่วยเหลือได้เยอะมาก
ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับจิ้งหนึ่งก็เริ่มคลี่คลายลง
ทั้งสองคนไม่ได้ทำสงครามเย็นใส่กันแล้ว อีกทั้งยังมีการไป มาหาสู่กันอีก อันที่จริงจึงเป็นก็เป็นคนที่ยินยอมให้เกิด สถานการณ์แบบนี้เอง
เพราะถึงยังไง คนรอบข้างวิ่งหนึ่งก็ถือว่าน้อยเกินไปจริง ๆ
บางที คนเราก็ต้องการคนที่สนิทใจจริง ๆ เพื่อมาปลอบใจ
ก็เหมือนกับการฉลองงานเทศกาลต่าง ๆ ที่ยิ่งญาติมิตรคน
สนิทเยอะเท่าไร ก็ยิ่งจะสนุกสนานครึกครื้นมากขึ้นเท่านั้น
โชคดี ที่หลังจากนี้ความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับจูเก่อหลิวเฟิง ได้ค่อย ๆ คลี่คลายลง ถึงขนาดที่ช่วงวันตรุษจีนเก่อหลิวเพิ่งจะ เข้ามาทักทายครอบครัวเธอ เธอก็ไม่ได้ว่าอะไร
พอเป็นแบบนี้ ก็ยิ่งสามารถยืนยันเรื่องการตบตาค ดาความ สัมพันธ์ของเธอกับจูเก๋อหลิวเฟิงได้ชัดเจนขึ้น
เห็นได้ชัดว่าจูเก่อหลิวเฟิงก็รู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงของเธอ ด้วย ทำให้เขาเริ่มมีความสุขขึ้นมาบ้างเป็นธรรมดา
หนึ่งปีผ่านไป พร้อมกับบรรยากาศที่มีชีวิตชีวาเหล่านี้ อย่างไรก็ตาม ปีนี้หัวเหยาไม่ได้ใช้เวลาช่วงตรุษจีน ในเมือง หลวง แล้วก็ไม่ได้ไปประเทศ F กับจี้หลินยวนด้วย
แต่เธอกลับกลับไปที่เมืองขึ้น เพื่อไปฉลองวันตรุษจีนกับ ตระกูลหัวแทน
ก่อนหน้านี้ ก็เพราะเรื่องของเธอกับหลินยวน ทำให้เธอต้อง ทะเลาะกับพ่อหัวจนเกือบจะตัดขาดความสัมพันธ์พ่อลูกกันไป
แต่พอเวลาค่อย ๆ านไป ความสัมพันธ์นั้นก็เริ่มแข็งตัว เพราะถึงยังไงก็เป็นพ่อลูกกัน เมื่อเด็กคนหนึ่งค่อย ๆ เติบโตขึ้น หลาย ๆ อย่างก็เริ่มจะคลี่คลายลง
จนถึงวันนี้ ลูกของหัวเหยาก็อายุได้สองขวบแล้ว
ซึ่งกำลังอยู่ในช่วงหัดเรียกชื่อคนอยู่พอดี ทุกครั้งที่โทรศัพท์ กัน ก็จะได้ยินเสียงร้องเรียก “คุณตา คุณตา” ตลอด
เรียกจนหัวใจของพ่อหัวจะละลายตามแล้ว
ในตอนแรก พ่อหัวดูเหมือนจะต้านทานเสียงเรียกนั้นได้ แต่ จริง ๆ ในใจเขานั้นหวั่นไหวไปแล้ว
หลังจากนั้น เด็กน้อยก็โทรมาที่บ้านบ่อยขึ้น จนพ่อหัวค่อย ๆ ต้านไม่ไหว เริ่มมีการตอบสนองต่อคำพูดของเด็กน้อยผ่านทาง โทรศัพท์
ตอบไปตอบมา ก็เริ่มติดเสียแล้ว
ถึงแม้ หัวเองก็แต่งงานแล้ว แต่เขาก็ยังไม่มีลูก พ่อหัวก็เฝ้า คอยอยากจะอุ้มหลานทุกคืนวัน แต่ก็ไม่ได้สักที
แล้วก็ไม่ง่ายเลยที่ตอนนี้จะมีหลานตัวน้อย ๆ สักคน มาร้อง เรียกคุณตา คุณตาทุกวัน ปากก็หวานไม่เบา แบบนี้จะไม่ให้เขา รักได้ยังไงกัน?
แต่ถึงอย่างนั้น พอถึงตอนที่เขารู้สึกขาดเจ้าตัวเล็กไปไม่ได้ เจ้าตัวเล็กกลับ โทรหาเขาน้อยลง
ได้ยินจากหัวเหยาว่า ช่วงนี้เจ้าตัวเล็กเป็นหวัด รู้สึกไม่ค่อย สบาย ก็เลยไม่ค่อยได้โทรหาเขา
นี่ทําให้พ่อหัวร้อนรนจนทนไม่ไหว
อยากจะมาที่เมืองหลวงเพื่อดูเจ้าตัวเล็ก แต่ก็ยังกลัวเสียหน้า
เพราะถึงยังไง เขากับหัวเหยาก็ยังถือว่าทำสงครามเย็นกันอยู่ แต่พอไม่ไปดู ในใจมันก็ร้อนรนแปลก ๆ สับสนวุ่นวายไปหมด สุดท้ายก็ต้องเป็น หัวยู่ที่ช่วยดึงเขาลงมาจากจุดนั้น
ว่ากันว่าหัวเหยาไม่ได้กลับมาฉลองตรุษจีนที่นี่กว่าสองปีแล้ว ตรุษจีนปีนี้พวกเขาเองก็อยู่ที่เมืองหลวงพอดี ก็เลยได้กลับมา ฉลองที่เมืองจิ้นด้วยกัน
พ่อหัวได้แต่พ่นลมหายใจเบา ๆ โดยที่ไม่ได้ตอบว่าได้หรือไม่
ได้ ท่าทางแบบนี้เห็นได้ชัดว่าเป็นการยินยอมไปโดยปริยาย
หัวยู่หัวเราะออกมาอย่างช่วยไม่ได้ ที่หมดหนทางจริง ๆ กับผู้ เฒ่าที่ไม่ยอมเสียหน้าคนนี้
หลังจากโทรหาหัวเหยาเสร็จโชคดีที่หัวเหยาเองก็เป็นคนมี
เหตุผล เลยทำการตัดสินใจทันทีว่าปีนี้จะพาลูกกลับมาที่บ้าน
เพื่อฉลองปีใหม่
และเป็นธรรมดาที่จี้หลินยวนจะไม่วางใจให้แม่กับลูกสองคน เดินทางมา เพราะงั้นเขาก็เลยตามมาด้วย
สำหรับจุดนี้ หัวก็ไม่ได้ว่าอะไร
เพราะถึงยังไงทั้งคู่ก็แต่งงานกันมานานแล้ว ความสัมพันธ์ก็ เริ่มมั่นคงขึ้น ต่อไปก็ถือว่าเป็นครอบครัวเดียวกัน จะไม่เจอหน้า กันเลยตลอดไปก็คงเป็นไปไม่ได้
เพราะฉะนั้น อะไรที่ควรจะชัดเจน ก็ต้องทำให้มันชัดเจน
ยังมีเรื่องเข้าใจผิดมากมายที่ยังไม่ได้แก้ไข ก็ใช้โอกาสที่ดี ครั้งนี้ อธิบายกันให้ชัดเจนไปเลย เพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย้ง ภายใน และความลำบากใจในอนาคตของทุกคน
เพียงไม่กี่วันก่อนวันส่งท้ายปีเก่าหัวเหยาก็พาจี๋หลินยวน กับ เจ้าตัวเล็กกลับมา
หลังจากกลับมาถึงเมืองขึ้นแล้ว พ่อหัวก็ไม่ได้ทำให้พวกเขา นําบากใจเลย
เขายังมีท่าทีไม่สนใจหัวเหยามาตลอด เห็นได้ชัดว่ายังโกรธ อยู่
ส่วนจี๋หลินยวนยิ่งไม่ต้องพูดถึง เรียกได้ว่าเขากลายเป็น อากาศธาตุไปเลย
จี้หลินยวนเองก็ไม่ได้สนใจ เพราะถึงยังไงในความคิดเขา คน ที่เขาแต่งงานด้วยก็คือหัวเหยา ไม่ใช่ผู้เฒ่าตระกูลหัวเสียหน่อย พ่อหัวไม่สนใจเขา เขาก็ไม่สนใจพ่อหัวเหมือนกัน คนเดียวที่พ่อหัวมีสีหน้าดี ๆ ให้ ก็คือเจ้าตัวเล็กเท่านั้น ถึงแม้เจ้าตัวเล็กจะอายุแค่สองขวบ แต่เขากลับมีรูปร่างอ้วน กลมน่ารัก
น่ารักเหมือนกับเจ้าก้อนแป้งที่ขาวอมชมพูน้อย ๆ พ่อหัวทั้งกอดทั้งหอมเขาหนักขึ้นทุกวัน เรียกง่าย ๆ ว่าชอบจน ทําใจวางไม่ได้
เห็นได้ชัดว่าเขาอายุก็เกือบหกสิบปีแล้ว แต่ดูไม่ต่างจากเด็ก เลย ยังคงเล่นเกมแบบเด็ก ๆ กับเจ้าตัวเล็กอย่างสนุกสนาน
หัวเหยาที่เห็นดังนั้น จริง ๆ ในใจก็รู้สึกตื้นตันไม่น้อย
แต่ความแน่วแน่ของคุณพ่อเธอ ทำให้เธอหมดหนทางที่จะก้าว เข้าไปทำลายความสัมพันธ์ที่มันหยุดชะงักดังเช่นปัจจุบันได้
โชคดีที่เจ้าตัวน้อยฉลาดมาก ไม่รู้ว่าเพราะไม่ได้รู้สึกถึงอะไร เปล่า ทุกครั้งที่ไปหาคุณตาก็จะลากแม่ไปด้วยเสมอ
พอเป็นแบบนี้ ต่อให้พ่อหัวไม่อยากสนใจหัวเหยายังไง แต่ เพื่อเจ้าตัวน้อย เขาก็ต้องพูดออกมาสักสองสามประโยคอยู่ดี
เพราะยังไงก็เป็นพ่อลูกกัน ความสัมพันธ์ทางสายเลือดยังไงก็ ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงได้
เพราะงั้น ในช่วงที่อยู่ด้วยกันมา ความสัมพันธ์ของหัวเหยากับ
พ่อหัวก็คลี่คลายลงไปได้มาก
อีกอย่างพ่อหัวก็ดูออกว่าผ่านมาสองปีแล้ว นิสัยใจคอของหัว เหยาคนปัจจุบันนั้น ต่างจากเมื่อสองปีก่อนที่ทั้งไร้เดียงสาทั้ง หุนหันพลันแล่นอย่างสิ้นเชิง
เธอในตอนนี้ทั้งสุขุม รู้จักยับยั้งชั่งใจมากขึ้น ไม่แน่อาจเป็น เพราะว่ามีลูกแล้ว เรื่องหลาย ๆ เรื่องก็ต้องมองหลาย ๆ มุมก่อน จะลงมือทํา
ซึ่งมันแตกต่างจากเมื่อก่อนจริง ๆ
จริง ๆ ในใจของพ่อหัวก็รู้สึกตื้นตันแล้ว แต่แค่ทำใจเสียหน้า ไม่ได้ก็เท่านั้น
แต่คำพูดนี้ยังไงก็ต้องมีใครสักคนพูดออกมา แน่นอนว่าไม่ใช่ พ่อหัวแน่ ๆ เพราะงั้นก็มีแค่หัวเหยาเท่านั้นที่จะพูดได้
ในเย็นวันนั้น หลังจากที่ครอบครัวตระกูลหัวทานข้าวเย็นกัน
เสร็จ พ่อหัวก็ออกไปเล่นที่สวนกับเจ้าตัวเล็ก
ทันใดนั้นก็มีเสียงหัวเหยาพูดขึ้นว่า “พ่อคะ ฉันมีอะไรจะคุยกับ พ่อหน่อย”
พ่อหัวตกตะลึงไปชั่วครู่ ก่อนจะหันกลับมามองเธอ โดยที่ไม่ได้ ปฏิเสธอะไร
ก่อนที่เขาจะถามขึ้นด้วยสีหน้าเย็นชาว่า “คุยอะไร?”
หัวเหยาเม้มริมฝีปากเล็กน้อย พร้อมกับเหลือบมองจี๋หลินยวน
ที่ยืนอยู่ไม่ไกล
เธอเห็นแค่ว่าหลินยวนยืนเอนกายอยู่ตรงนั้นอย่างสบาย ๆ พร้อมกับทำท่ากอดอก สีหน้าที่เขาแสดงออกมานั้น ไม่สามารถ แยกออกได้ว่าชอบหรือโกรธ
แต่สายตาที่เขาส่งมาให้ กลับสัมผัสได้ถึงความรู้สึกที่ สนับสนุนเธอ
หัวเหยาจึงตอบกลับเสียงเบาว่า “พวกเราไปคุยที่ห้องหนังสือ ชั้นบนกันดีกว่า”
พ่อหัวนิ่งไปสักพัก แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ปฏิเสธอะไร
เขายื่นเจ้าตัวเล็กในอ้อมแขนให้หัวยที่ยืนอยู่ข้าง ๆ จากนั้นก็ เดินขึ้นไปชั้นบน
หัวเหยาค่อย ๆ เดินตามไป พอเดินผ่าน หัว หัวก็ยกก่าปั้น ให้เธอหนึ่งที เป็นท่าทางส่งกำลังใจให้
เธอเลยอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาเล็กน้อย
พอไปถึงห้องหนังสือชั้นบน พ่อหัวก็นั่งลงบนโซฟา พร้อมกับ เริ่มซงซาบนโต๊ะด้านหน้าไปด้วย ก่อนจะพูดขึ้นว่า “มีเรื่องอะไรก็ พูดมา”
Please enter a description
Please enter a price
Please enter an Invoice ID
เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ