บทที่ 265 บังเอิญเจอกันที่สนามบิน
ณ ตระกูลส
ฟ้าส่องสว่างไปทั่วบ้านหลังใหญ่ของตระกูล คุณนายยู่นั่งบนโซฟาที่ตั้งอยู่ในห้องรับแขกอย่ายิ้มแย้ม แจ่มใส คนที่นั่งอยู่ตรงข้ามเป็นคุณกวนที่สีหน้าจริงจัง
“คุณกวนคะ คุณไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ! เรื่องที่คุณสั่งมา ฉันจะ ตั้งใจจัดการเหมือนเป็นเรื่องของตัวเองเลย”
กวนจี้หมิงยิ้มพร้อมพูด “แน่นอนว่าผมไว้ใจคุณนายอยู่แล้ว ครับ พวกเราสืบมาตั้งหลายปี ก็สืบได้แค่ว่าตอนนั้นเด็กคนนั้น อาจจะถูกเหล่าค้ามนุษย์จับตัวไปที่เมืองจิ้นแล้ว แล้วเบาะแสหลัง จากนั้นก็ขาดหายไปเลย พวกเราพยายามสืบอย่างเต็มที่แล้ว แต่ ก็ไม่ได้ผล ดังนั้นจึงต้องไปขอความช่วยเหลือจากคนอื่น ทั้งเมือง เมืองชิ้นนี้ เรื่องการตามหาคน ถ้าตระกูลเป็นที่2 คงไม่มีใคร กล้าบอกว่าตัวเองเป็น 1
ครั้งนี้ที่ผมมาเมืองขึ้นด้วยตัวเองก็เพราะเรื่องนี้แหละครับ แต่ ว่าถึงยังไงเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องส่วนตัวของตระกูลกวนของเรา ก็หวัง ให้คุณนายสืบอย่างลับๆ ไม่โจ่งแจ้งเกินไปนะครับ”
ท่านพ่อผมป่วยมานาน ตอนนี้ความหวังของท่านก็คือหาเด็ก คนนั้นให้เจอ เพราะฉะนั้นสุดท้ายแล้วจะเจอหรือไม่ก็ขอรบกวน ให้ติดต่อผมมาโดยด่วนเลยนะครับ ให้ผมได้แน่ใจก่อนแล้วจึงบอกกับท่าน เผื่อว่าท่านจะมีหวังแล้วผิดหวังเปล่าๆ
คุณนาย พยักหน้า
“แน่นอนอยู่แล้วค่ะ คุณกวนไม่ต้องกังวลนะคะ ถ้ามีเบาะแส อะไร ฉันจะติดต่อคุณเป็นคนแรกค่ะ”
“ถ้าอย่างนั้น ก็ขอบคุณคุณหญิงมากๆ เลยนะครับ นี่เป็นรูป ถ่ายของเด็กคนนั้น แต่ว่านี่เป็นรูปตอนเขาอายุสองสามเดือนเอง ครับ รูปอาจจะช่วยอะไรไม่ค่อยได้นะครับ”
กวนหนึ่งยื่นรูปที่เก่าจนเหลืองเล็กน้อยไปให้เธอ และสีหน้า ของเขาดูผิดหวังเล็กน้อย
คุณนายยู่รีบรับรูปมาแล้วมองดูอย่างละเอียด แม้ว่ารูปนี้จะเก็บมานาน10กว่าปี แต่นอกจากเหลืองเล็กน้อย แล้วด้านอื่นๆ ถือว่ารักษาได้ดีมาก
รู้ได้เลยว่าเจ้าของรูปใบนี้รักษารูปนี้มากแค่ไหน คุณหญิงดูไปสักพักก็หัวเราะออกมา
“จะว่าไปเด็กก็หน้าตาคล้ายๆ กันทุกคน แต่ว่าเด็กที่อยู่ในรูป นี้ดูหน้าตาดีสดใสเป็นพิเศษ จากที่ฉันดูฉันรู้สึกว่าค่อนข้าง เหมือนตอนหนึ่งหนึ่งสมัยเด็กๆ นะ”
ชายวัยกลางคนที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็รีบพูดขึ้นมาว่า “แม่ครับ คุณ แม่แก่แล้วเบลอหรือเปล่าครับ? ซึ่งหนึ่งเธอมีพ่อมีแม่นะครับ ตอนนั้นที่ไม่ไฉ่เวยท้องเธออยู่ พวกเรายังเคยไปเยี่ยมเธอที่บ้านเลยนะ เธอจะไปเกี่ยวข้องกับคุณหนูกวนได้ยังไง? คุณนายยู่หัวเราะพร้อมพูด “ใช่ ใช่ ฉันก็แค่พูดไปแค่นั้นเอง แต่กวนจี้หมิงกลับรู้สึกสนใจขึ้นมา
“คนที่พวกคุณพูดถึง คือคุณจีนที่ร้องเพลงที่เขียนสยเกือคราว ทีแล้วใช่ไหมครับ?”
คุณนายพยักหน้า “เธอคนนั้นแหละค่ะ”
กวนจี้หมิงยิ้ม “อันที่จริงครั้งแรกที่ผมเจอเธอ ผมก็รู้สึกว่าเธอ เหมือนเสี่ยวหวั่นมากๆ เลยครับ ผมไม่ได้หมายความว่าหน้า คล้ายกันนะครับ แต่หมายถึงบุคลิกของเธอแล้วความรู้สึกที่ส่ง ออกมาจากแววตาของเธอน่ะครับ ปีนี้เธออายุเท่าไหร่แล้วครับ?”
“เหมือนว่าจะอายุ25นะ!”
“25?” สีหน้าของกวนหนึ่งก็เปลี่ยนไป
ถ้าเสี่ยวหวั่น ยังมีชีวิตอยู่ ตอนนี้ก็คงอายุ25พอดีแหละ
เขารู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา “เมื่อสักครู่พวกคุณบอกว่า แม่ของเธอ ชื่อโม่ไฉ่เวยเหรอครับ? พวกคุณเห็นไม่ไฉ่เวยให้กำเนิดเธอมา กับดารึเปล่าครับ?”
คุณนาย งงเล็กน้อย
ตอนนั้นเธอไม่ได้อยู่ในเมืองขึ้น แน่นอนว่าเธอไม่ได้เห็นมากับ ตา แต่ว่าเธอเคยไปเยี่ยมไม่ไฉ่เวยตอนที่เธอกำลังตั้งท้อง หลัง จากที่คลอดลูกออกมาเธอเองก็ได้อุ้มเด็กคนนั้นไปหลายครั้ง
คุณหญิงเองก็ไม่รู้ว่าควรตอบว่ายังไงดี
ขณะที่เธอกำลังลังเล ก็มีเสียงดังมาจากตรงประตู “แน่นอนว่า
เห็นมากับตา คะ” พวกเขามองไปตามเสียง พวกเขาเห็นหญิงวัยกลางคนเดินเข้า
มา
คุณหญิงรีบแนะนำเธอให้เขารู้จัก “อ๋อ ฉันขอแนะนำให้คุณ ทราบหน่อยนะคะ นี่ลูกสะใภ้ของฉันเองค่ะ ชื่อซิวเพิ่งอาเพิ่ง ท่านนี้คือคุณชายรองของตระกูลกวนแห่งเมืองหลวงค่ะ เธอเรียก เขาว่าคุณกวนก็พอ”
ชิวเฟิง ก็รีบทักทายเธอ
กวนจี้หมิงรีบถามเธอว่า “คุณเห็นมากับตาเหรอครับ?”
ชีวเพิ่งยิ้มอ่อนๆ “ใช่ค่ะ แม่ของโม่ไฉ่เวยเสียไปตั้งแต่เธอยัง เล็ก ตอนนั้นที่เธอคลอดลูก เธอไม่มีเพื่อนที่ไว้ใจได้อยู่ข้างๆ เธอ เลย เราทั้งสองตระกูลรู้จักกันมาตั้งนาน ฉันเองก็เคยคลอดลูก ก่อนเธอมาสองปี เพราะฉะนั้นฉันก็เลยไปเยี่ยมดูเธอสักหน่อย ไม่มีผิดอย่างแน่นอน”
กวนจี้หมิงเห็นเธอพูดอย่างจริงจังก็รู้สึกผิดหวังเล็กน้อย แต่คุณนายยกลับรู้สึกสงสัยขึ้นมา
แม้ว่าตอนนี้ไม่ไฉ่เวยคลอดลูกเธออยู่ต่างแดนไม่ได้ไปเยี่ยม แต่เธอก็ส่งแม่บ้านไปถามไถ่อยู่บ้าง เธอจำไม่ได้ว่าชีวเพิ่งเคย บอกว่าเธอมาเยี่ยมเธอ
หรือว่าเธอจะจําผิด หรือว่า เพิ่งแอบไปเยี่ยมเธอในภาย
หลัง?
แม้ว่าเธอจะมีข้อสงสัยอยู่ในใจ แต่เธอเชื่อว่าถ้ามันเป็นเรื่อง ใหญ่ขนาดนี้ สะใภ้ของตนคงจะไม่โกหกอย่างแน่นอน
เพราะฉะนั้นเธอจึงไม่ได้พูดอะไรต่อ
กวนจี้หมิงเผลอใจไปเปล่าๆ ดูออกอย่างชัดเจนเลยว่าเขา ค่อนข้างผิดหวัง พวกเขาอยู่พูดคุยกันต่ออีกสักพักแล้วจึงส่งเขา กลับไป
หลังจากที่กวนจี้หมิงกลับไปแล้ว คุณนายก็เรียกจิ๋วเพิ่งมา ถามว่า “อาเฟิง ตอนนั้นที่ไม่เวยคลอดลูก เธอไปเยี่ยมเธอจริงๆ เหรอ?”
ดวงตาของชิวเพิ่งมองไปมา
เธอยิ้มพร้อมพูด “แน่นอน เรื่องแบบนี้จะโกหกได้ยังไงคะ? แต่ตอนนั้นหนูรีบมาก คนขับรถที่บ้านก็ยังไม่กลับมา เพราะ ฉะนั้นหนูก็เลยเรียกรถไปส่ง
คุณนายยู่ได้ยินเช่นนี้จึงพยักหน้า
ก็แปลกใจทำไมตัวเองถึงไม่รู้ ที่ไหนได้เธอไม่ได้นั่งรถที่บ้าน
ไป
คุณหญิงครุ่นคิดแล้วเดินขึ้นห้องไป แต่ชิวเพิ่งที่อยู่ข้างหลังเธอ ก้มตาลงเล็กน้อย มีแววตาแปลกๆ ที่ยากที่จะสังเกตเห็นปรากฏ ขึ้น
เวลาเที่ยงวัน ซึ่งหนึ่งเห็นว่าใกล้จะถึงเวลาแล้ว จึงเป็นกำลัง จะมาถึงสนามบินแล้วเธอจึงรีบเก็บของแล้วเดินทางไปที่สนาม
น ไม่คาดคิดว่าเธอยังไม่ถึงสนามบินก็ได้รับข้อความจากชาย
คนนี้
เขาส่งข้อความมาบอกว่าไฟร์ทบินเลท อาจจะมาช้ากว่า เดิม2ชั่วโมง
จิ่งหนึ่งไม่คาดคิดว่าจะเป็นเช่นนี้ แต่ในเมื่อเธอออกจากบ้าน มาแล้วถ้าจะนั่งรถกลับไปมันก็ยุ่งยาก
แต่โชคดีที่ข้างๆ สนามบินมีลานแฟชั่นที่ค่อนข้างหรูหราอยู่
หนึ่งที่ เธอจึงตัดสินใจไปเดินเล่นแถวนั้นก่อน
ตอนนี้เป็นเวลา12นาฬิกา ได้เวลากินอาหารเที่ยงพอดี
เดิมทีจึงหนึ่งวางแผนไว้ว่าจะมารับลู่จึงเป็นก่อน แล้วค่อยไป กินข้าวด้วยกัน แต่ตอนนี้ก็จะไม่ทันแล้ว
เพราะฉะนั้นเธอจึงตัดสินใจหาร้านอาหารสักที่แล้วทานข้าว
ก่อน
แต่ไม่คาดคิดว่าเธอเพิ่งจะหาร้านอาหารเจอแล้วกำลังจะเดิน เข้าไป ดันไปเจอคนคนหนึ่งหน้าประตูร้าน
คุณกวน? เขามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง?
กวนจี้หมิงเองก็ไม่คาดคิดว่าจะเจอเธอที่นี่ เขายิ้มพร้อมพูด “หม คุณจึงครับ คุณก็มากินข้าวที่นี่เหรอครับ?
วิ่งหนึ่งสืบพยักหน้าพร้อมยิ้มตอบรับ “ใช่ค่ะ คุณก็มากินข้าว เหรอคะ?”
“ใช่ครับ ผมกำลังจะบินกลับเมืองหลวงครับ แล้วถึงเวลา อาหารเที่ยงพอดี ผมเห็นว่ายังพอมีเวลาอยู่ก็เลยมาหาอะไรกิน แถวนี้ครับ”
จิ้งหนึ่งพยักหน้า ทั้งคู่เงียบกันไปสักพัก เธอเองก็ไม่รู้ว่าควร พูดอะไรดี เธอจึงตัดสินใจจะทักทายแล้วรีบไป
แต่ไม่คาดคิดว่ากวนหนึ่งถามเธอขึ้นมาอย่างกะทันหันว่า “คุณจิ่งมาคนเดียวเหรอครับ?”
จิ้งหนึ่งพยักหน้า “ใช่ค่ะ” “ผมเองก็มาคนเดียวครับ ถ้าคุณจึง ไม่ถือสาเราสองคนไปกินข้าวด้วยกันได้นะครับ
วิ่งหนึ่งรู้สึกเก้อเขินเล็กน้อย “นี่มัน…จะรบกวนคุณไหมคะ?
“ไม่ครับ พอดีที่ครั้งที่แล้วคุณจึงร้องเพลงให้ผมฟัง ผมยังไม่ ได้ขอบคุณคุณเลยครับ ถ้าอย่างนั้นวันนี้ผมเป็นเจ้าภาพเลี้ยงข้าว คุณสักมือได้ไหมครับ?
จิ่งหนึ่งรู้สึกเกรงใจเล็กน้อย เธอกำลังจะปฏิเสธ
กวนหมิงก็รีบพูดขึ้นมาอีกว่า “ผมกินข้าวคนเดียวก็น่าเบื่อ ถ้าคุณไม่รังเกียจก็ถือว่ากินเป็นเพื่อนผมก็ได้นะครับ”
เขาพูดมาขนาดนี้แล้ว ถ้ายังปฏิเสธเขาอีกก็ดูจะใจร้ายเกินไป จะว่าไปกินคนเดียวก็ถือว่ากินข้าว กินข้าวกันสองคนก็กินข้าว เช่นกัน ไม่ต่างอะไรกันมาก
ดังนั้นจึงหนังลังเลไปครู่หนึ่งจึงตอบกลับไปว่า “ก็ได้ค่ะ”
Please enter a description
Please enter a price
Please enter an Invoice ID
เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ