ลู่จิ่งเซ็นมองเธออย่างเย็นชา
จิ่งหนิงยังคงล้อ “ฉันจะบอกคุณว่าหลายวัน นี้คุณจะต้องติดตามฉันทุกย่างก้าวไม่ห่าง เพื่อ หมาป่าจะไม่ได้คาบไป อยู่กับฉัน ฉันจะได้ปกป้อง เธอได้ ฮ่า ๆ”
เธอพูดจบแล้วหัวเราะร่วน แต่ลู่วิ่งเขินกลับ อึ้งไปเล็กน้อย
เขาลําบากใจเล็กน้อย ใครจะคิดว่าเขาซึ่ง เป็นประธานลู่ อกรุ๊ปผู้สง่างาม วันหนึ่งจะถูกคน อาแบบนี้
กลายเป็นว่าเขาพูดอะไรไม่ออกเลย
สุดท้ายทําอะไรไม่ได้นอกจากฉีดหน้าผาก
ของหญิงสาวหนึ่งที “คุณน่ะ ไม่รู้จะทำยังไงดีแล้ว ช่างเถอะ รีบไปเถอะ กินข้าวเสร็จเรายังต้องไป เขาเคอหมาเสินอีก”
ทั้งสองคนรีบเดินไปทางคฤหาสน์ด้วยกัน
ตอนเที่ยง ลู่วิ่งเงินเข้าครัวทําอาหาร วิ่ง หนิงรู้ตัวและเข้าไปเป็นผู้ช่วยเขา ล้างผัก ล้าง จานต่าง ๆ ทั้งสองคนดูเหมือนกับคู่สามีภรรยา หนุ่มสาว
ล้างผักเสร็จ จิ่งหนิงไม่มีอะไรทํา เธอจึง ย้ายม้านั่งตัวเล็กไปนั่งที่ประตูห้องครัวเพื่อดูชายหนุ่มทําอาหาร
เธอพบว่าผู้ชายที่หล่อเหลานั้นดูดีไม่ว่าจะ เป็นอะไรก็ตามแม้ว่าพวกเขาจะมีผมยุ่งเหยิงและ สวมผ้ากันเปื้อน แต่พวกเขาก็มีความหล่อเท่จาก ภายในสู่ภายนอก
ท่าทางสงบนิ่ง ท่วงท่า านาญ ตะหลิวใน มือไม่ใช่ตะหลิว มันคือไม้กําราบมังกรสยบเสือ
กระทะก็ไม่ใช่กระทะ มันคือสัญลักษณ์ คาถา สองมือกางออก คําสั่งฟ้าดิน จิตใจฮึกเหิม มุมปากเธอยกยิ้ม เธอจมอยู่กับจินตนาการ
ของผู้ชายที่สํารวจโลก ทันใดนั้นเสียงดัง “ปัง” ก็
ดังขึ้น
จิ่งหนิงตกใจและสะดุ้งเด้งตัวจากเก้าอี้ เธอ เห็นลู่วิ่งเชินรีบโยนฝาหม้อเพื่อปิดมันและเนื้อข้าง ในก็ยังเดือดปุด ๆ เสียงดัง
จิ่งหนิงจ้องมองเขาอย่างลึกซึ้งและเห็น สีหน้าโล่งอกฉายแวมออกมาจากอีกฝ่าย
ดีล่ะ!
เป็นเธอเองที่คิดมากไป ที่แท้ลู่จิ่งเซินก็ไม่ ค่อยจะได้ทําอาหาร แต่ก็ยังจะดื้อดึงใช้ความรู้ใน ชีวิตและความคิดเชิงตรรกะหยิบจับอานั่นนี่มา ปรุงให้สุกเท่านั้น
หลังจากทําอาหารเสร็จแล้วแม้หน้าตาจะดู จืดชืดแต่รสชาติยังพอนับว่าผ่าน ทั้งสองรับประทานอาหารเสร็จแล้วก็เก็บกระเป๋าเรียบร้อย แล้วพวกเขาก็ออกเดินไปทางเขาเคอหม่าเงิน
ระยะทางจากคฤหาสน์ของพวกเขาไปถึง เขาเคอหมาเสิน ใช้เวลาในการเดินทางโดย รถยนต์ประมาณหนึ่งชั่วโมง ทั้งสองนั่งแท็กซี่ใน บริเวณใกล้เคียงและมาถึงตีนเขาในอีกหนึ่ง ชั่วโมงต่อมา
แน่นอนว่านักท่องเที่ยวจํานวนมากจากทั่ว ทุกมุมโลกมารวมตัวกันที่นั่น จิ่งหนิงและลู่วิ่งเซ็น เดินขึ้นไปบนภูเขาด้วยกัน
ตอนนี้เป็นช่วงบ่าย แสงแดดจ้า จุดนี้อยู่ไม่ ไกลจากทะเลมากนักจึงมีลมทะเลพัดผ่านทราบ ให้ความรู้สึกสบายใจเป็นอย่างยิ่ง
เมื่อทั้งสองปีนขึ้นไปได้ครึ่งทางก็เป็นเวลา บ่ายสี่โมงแล้ว ลู่จิ่งเซินที่ออกกำลังกายมาหลาย ปีที่รู้สึกว่ายังดีอยู่ แต่จิ่งหนิงกลับเหนื่อยจน หายใจหอบ
ยังปืนไหวไหม?” ลู่จิ่งเซินพยุงเธอและ หยิบนําดื่มออกจากกระเป๋าเป้สะพายหลังแล้วส่ง ให้
จิ่งหนิงรับไปและกระดกน้ำหลายอึกและ พยักหน้า “ยังไหว
เธอจะต้องปีนขึ้นไปให้ได้และไม่เลิกล้ม กลางคัน ให้คนอื่นหัวเราะเยาะ
จิ่งหนีงถอนหายใจและพยายามปีนขึ้นไป ลู่จิ่งเซ็นตามมาข้างหลัง ประการแรกเพื่อปกป้อง เธอ ประการที่สองเขาไม่ต้องการให้เธอเห็นแวว ตาล้อเล่นภายใต้ดวงตาของเขา
“เอ๊ะ ตรงนั้นคืออะไร?”
ทันใดนั้นจิ่งหนิงยืดตัวตรงและถามชี้ไปที่ ต้นไม้ที่พันด้วยเชือกสีแดงที่อยู่ไม่ไกล
มีนักท่องเที่ยวไม่น้อยเดินเข้าไปทางนั้น ลู่ จิ่งเซินหยุดและมองดูแล้วพูดขึ้น “ไม่แน่ใจ ดู เหมือนตรงนั้นจะมีคนสวดมนต์อะไร”
จู่ ๆ จิ่งหนิงก็ให้ความสนใจ “ไป พวกเรา เข้าไปดูกัน
ทั้งสองเดินเข้าไปและพบว่าตรงนั้นมี ทะเลสาบเล็ก ๆ
ด้านหลังทะเลสาบมีต้นไทรใหญ่ที่มีป้ายไม้ สีแดงแขวนอยู่เต็มไปหมด ด้านหน้ามีพระเณร หนุ่มอายุยี่สิบกว่าปี สวมเสื้อคลุมซอมซ่อนั่งขัด สมาธิและสวดมนต์อยู่ตรงนั้น
จิ่งหนิงไม่เข้าใจว่านี่มันหมายความว่า
อย่างไรจึงได้ถามลู่วิ่งเซ็นขึ้นเบา ๆ “ท่านกำลังทำ อะไรอยู่คะ? ”
“ ปฏิบัติธรรม” ลู่จิ่งเป็นกระซิบตอบ
“ปฏิบัติธรรม?” จิ่งหนิงรู้สึกประหลาดใจ เล็กน้อย เมื่อลู่วิ่งเซินเห็นว่าเธอยังไม่เข้าจึงอธิบายต่อ
“ท่านเป็นผู้บำเพ็ญตบะ วัฒนธรรมทาง พระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองซึ่งแตกต่างจาก ศาสนาพุทธมหายานในหัวเซีย
วัฒนธรรมทางพระพุทธศาสนาที่นี่นั้น
เป็นการสืบทอตนิกายหินยาน บำเพ็ญปฏิบัติตน มี หลายรูปที่ออกบวชตั้งแต่ยังเด็ก และมีจิตใจ เลื่อมใสในพระพุทธศาสนา เดินทางธุดงค์ไปทั่ว มาตุภูมิด้วยเท้าทั้งสองข้าง ไม่ว่าจะเป็นฤดูหนาว หรือท่ามกลางอากาศร้อนอบอ้าว ไม่มีวันหยุด บำเพ็ญเพียรด้วยความยากลําบากหวังเพื่อหลุด พ้นในเร็ววัน
จิ่งหนิงผงะไปครู่หนึ่งแล้วก็ตะลึง
และถามเขาต่อ “แล้วพวกป้ายไม้สีแดงนั่น ล่ะคืออะไร?”
ลู่วิ่งเซ็นขมวดคิ้วเล็กน้อย “ไม่รู้สิ คาดว่า เมื่อคนทั่วไปเห็น ก็คงอยากจะขอพร คุณเห็นดิน ใต้ที่นั่งของท่านไหม? รอบ ๆ มันแห้งแต่ตรงท่าน กลับเปียกชื้นเล็กน้อย อีกทั้งยังบุ๋มลงไปไม่น้อย ท่านคงจะนั่งอยู่ตรงนี้หลายวันแล้ว”
“หลายวัน? แล้วท่านไม่ฉันไม่ดื่มไม่จำวัดเห รอ?”
ลู่จิ่งเซินส่ายหน้า “ผมรู้เกี่ยวกับเรื่องเพียง ผิวเผินเท่านั้น ผมไม่ค่อยรู้มากไปกว่านี้แล้ว”จิ่งหนิงย้มกริ่มและพูดประจบเอาใจ “ผิว เผินก็รู้มากกว่าฉันตั้งเยอะแล้ว ต้องขอชมคุณ
เลย” ลู่จึงเป็นเห็นท่าทางประจบประแจงของเธอ จึงทําได้เพียงส่ายหน้าไปมาแล้วทั้งสองคนก็ปืน ขึ้นไปบนเขาต่อ
พวกเขาเดิมจนมืดสนิทจึงปีนขึ้นมาถึงยอด
เขา
จิ่งหนิงเหนื่อยเสียจนไม่อยากจะขยับแม้แต่ นิ้ว ลู่วิ่งเซินลากเธอไปที่ร้านอาหารบนยอดเขา เพื่อกินข้าวหลังจากกินเสร็จเธอก็ฟื้นกลับมาแข็ง แรง
“คุณผู้หญิง คุณผู้ชาย ต้องการกุญแจคู่รัก ไหม? ออกมาคล้องกุญแจคู่รักข้างนอกสิ”
ตอนนี้เองหญิงชราผมขาวหงอกเดินเข้ามา บนตัวเธอมีกุญแจหลากหลายขนาดและรูปร่าง ต่างกันจํานวนมากนํามาขายพวกเขา
จิ่งหนิงถามขึ้นด้วยความอยากรู้ “กุญแจ คู่รัก? มันคืออะไร?”
“เขียน อพวกคุณลงไปแล้วเอาไปแขวนที่ สะพานชะตากรรมแล้วพวกคุณจะได้อยู่ด้วยกัน ตลอดชีวิตจนแก่เฒ่า ไม่มีวันแยกจากกัน”
แววตาของจิ่งหนิงเป็นประกาย
หันกลับมาและถามลู่วิ่งเซิน “พวกเราเอาอันหนึ่ง ไหมคะ?”
ลู่จิ่งเป็นพยักหน้า จิ่งหนิงจึงเลือกอันหนึ่ง จากบนตัวของหญิงชราและถาม: “เท่าไหร่คะ?”
“ยี่สิบ”
ลู่จิ่งเซินจ่ายไปด้วยธนบัตรหนึ่งร้อยหนึ่งใบ และส่งสัญญาณให้เธอว่าไม่ต้องทอน
หญิงชราทั้งดีใจและซาบซึ้งในทันใดและ มอบแม่กุญแจเล็ก ๆ ให้กับพวกเขา โดยบอกว่านี่ คือกุญแจลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมือง เมื่อแขวนไว้ บนสะพานชะตากรรม จะมีลูกหลานร้อยพัน ลูก หลานเต็มบ้าน
ทั้งสองรับมาอย่างซาบซึ้งใจ หลังคิดเงิน เสร็จแล้ว พวกเขาก็เดินไปสะพานชะตากรรมที่ ตามที่หญิงชราคนนั้นบอก
เดินไปได้ประมาณครึ่งกิโลเมตร ในที่สุดก็ เห็นสะพานแขวนที่พาดผ่านน้ำตกที่เหือดแห้ง นานแล้ว
สะพานน่าจะมีอายุประมาณหนึ่งและมื
กุญแจเล็กใหญ่มากมายหลายขนาดแขวนอยู่บน นั้น จิ้งหนังวิ่งเข้าไปอย่างรวดเร็วและเห็นว่ามีชื่อ และข้อความแสดงความรักเขียนอยู่บนลูกกุญแจ เหล่านั้น
“ที่แท้ก็ยังมีการเล่นแบบนี้อีก ใหม่จริง ๆ!” ลู่จิ่งเซินเม้มริมฝีปากเล็กน้อยแล้วเดินไป” ตรงนี้สิ! ตรงนี้ถูกเจอได้ยาก เก็บรักษาได้นาน หน่อย”
ลู่จิ่งเซ็นเห็นเช่นนั้นจึงหยิบปากกาออกมา จากกระเป๋าเสื้อและเขียนชื่อของทั้งสองคนบน พื้นผิวกุญแจ
Please enter a description
Please enter a price
Please enter an Invoice ID
เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ