บทที่ 1045 เลือกซื้อของขวัญ
ลู่จิ่งเซินกลับถ่อมตน
*ที่ไหนกันครับ ครอบครัวเดียวกันจะมีความดีความชอบอะไร กัน แม่มีความสุข หนิงหนึ่งถึงจะมีความสุข หนึ่งหนึ่งมีความสุข ผมก็มีความสุข”
จู่ ๆ ก็อวยกันออกสื่อ
โมไฉ่เวยเห็นอย่างนั้นจึงอดที่จะทำไม่ได้
ในคืนนั้น เซวซูนอนสับส่ายอยู่บนเตียงและยากที่จะหลับลง
ครอบครัวของเขาประสบปัญหาและออกจากบ้านมาอยู่ใน ทะเลทรายตั้งแต่อายุสิบขวบ จนถึงตอนนี้เป็นเวลาสามสิบกว่าปี ที่นี่กลายเป็นบ้านของเขา จะให้เขาจากที่นี่ไป มันไม่ใช่เรื่องง่าย เลยจริง ๆ
แต่ลู่วิ่งเซินก็ให้ข้อเสนอที่ดึงดูดใจมาก บวกกับโม่ไฉ่เวย…
เฮ้อ สุดท้ายแล้วเขาไม่ไว้ใจที่โมไฉ่เวยจะเดินทางกลับไป ประเทศจีนเพียงลำพัง
สุขภาพของเธอยังไม่ดีพร้อม ถึงแม้การพูดคุยกับคนแปลก หน้าจะดีขึ้นกว่าเมื่อก่อนมากแล้ว แต่ความจริงแล้วอารมณ์ของ เธอก็ยังไม่คงที่
มีหลายครั้งที่พอไปอยู่ในสถานที่ที่มีคนเยอะ ๆ ก็ยังรู้สึกประหม่า โดยไม่รู้ตัว
ช่วงเวลาแบบนั้น โมไฉ่เวยไม่เชื่อใจใครอีกเลยนอกจากเขา ดังนั้นเซวซูคิดไปคิดมาและคิดว่ายังไงก็ยังคงไม่วางใจ เช้าวันรุ่งขึ้น เขาเดินออกมาจากห้องนอนพร้อมขอบตาดำคล้ำ พอเห็นลู่วิ่งเซินก็พูดพร้อมสีหน้าเย็นชา “เรื่องกลับประเทศจีน ผมรับปาก”
ซึ่งลู่จึงเป็นกำลังนั่งอยู่ที่โซฟาและอุ้มจิ้งเจ๋อน้อย สอนเขาใช้ คอมพิวเตอร์
เมื่อได้ยินก็เงยหน้าขึ้นมองเซวซูแล้วยิ้มและพูด “ตัดสินใจ แล้วเหรอครับ? ไม่เสียใจนะ?”
เซวที่อารมณ์ไม่ดีอยู่ก่อนแล้ว มองเขาที่เป็นแบบนี้แล้วยิ่ง อารมณ์เสีย
เขาเบิกตาโพลงอย่างไร้อารมณ์ “ผมพูดแล้ว ไม่มีทางเสียใจภายหลัง”
พูดจบก็ไม่แม้แต่จะกินข้าวเช้าและเดินออกไปพร้อมกับความ โมโห
โมไฉ่เวยออกมาจากห้องอาหารแล้วเห็นเขาถือกุญแจรถเดิน ออกไปด้านนอกจึงรีบถาม: “เอ๊ะ รีบมากินข้าวสิคะ คุณจะไปไหน
เซวซูพูดและไม่ยอมหันกลับมา: “ไปห้องทดลองโม่ไฉ่เวยขมวดคิ้วและกระทืบเท้า: “คนคนนี้ จริง ๆ เลยเชียว! ข้าวเช้าไม่กินก็จะไปห้องทดลองแล้ว
จึงหญิงยิ้มแล้วเดินเข้าไปจับไหล่ขอเธอ “แม่คะ คุณอาเซวไป ห้องทดลองเพื่อจะไปส่งมอบงานที่จะย้าย แม่ไม่ต้องเป็นห่วง หรอกค่ะ”
โม่ไฉ่เวยรู้อยู่แล้วว่าเขาจะต้องตอบตกลง แต่พอได้ยินมันเข้า
จริง ๆ ใบหน้าของเธอก็อดที่จะแสดงความสุขออกมาไม่ได้
เธอกับจิ่งหนิงต้องพลัดพรากกันกว่าสิบปี ได้เจอกันอีกครั้ง ย่อมอยากที่จะใช้เวลากับจิ้งหนึ่ง
แต่เธอเองก็ไม่อยากจะต้องอยู่ห่างจากเซว ท้ายที่สุดเซวซู เป็นมากกว่าความกรุณาของเธอมานานแล้ว แต่ยังเป็นความรัก ซึ่งกันและกันในช่วงสิบปีที่ผ่านมา
แต่ตั้งแต่ไหนแต่ไรมาปลากับอุ้งตีนหมีได้มาพร้อมกันไม่ได้
เรื่องที่ดีพร้อมทั้งสองด้าน บนโลกนี้จะเกิดขึ้นได้อย่างไร?
ดังนั้นเธอจึงเข้าใจดี หากจะให้เซวต้องจากสถานที่ที่เขาอยู่ มาตั้งแต่เล็กจนโต และละทิ้งห้องทดลองที่สร้างขึ้นด้วยความ ตั้งใจหลายปีมานี้ของเขา เขาก็คงจะทำใจได้ยาก
เรื่องนี้หากเป็นใครก็คงจะเป็นเรื่องที่ยากจะยอมได้
แต่สุดท้าย เซวซูก็ยังรับปากเพื่อเธอ ดังนั้น นี่คือสิ่งที่เขาเลือกที่จะให้ตนเองต้องเป็นฝ่ายเสียสละ เพื่อส่วนรวมเพื่อจะเติมเต็มสิ่งที่เธอต้องการ
หากจะบอกว่าไม่ไฉ่เวยไม่รู้สึกอะไรเลยก็เป็นเรื่องโกหก
แต่ต่อหน้าเด็ก ๆ อย่างจิ้งหนึ่งและลูจึงเซ็น เธอจึงไม่อาจจะ แสดงออกมาได้
ได้แต่เช็ดหางตาและฝืนยิ้ม: “แม่รู้ งั้นก็ได้ เราไม่ต้องรอเขา แล้ว พวกเรากินข้าวเถอะ กินเสร็จยังต้องไปซื้อของอีกไม่ใช่เห รอ? อีกเดี๋ยวแม่จะไปเป็นเพื่อน
จิ่งหนึ่งพยักหน้า
ทุกคนจึงเดินไปที่ห้องอาหารเพื่อกินข้าว
เพราะเป็นเที่ยวบินตอนบ่าย ช่วงเช้าจึงยังพอมีเวลาออกไปทำ ธุระ หลังกินข้าวเสร็จ จึงหนิงจึงให้ลู่จิ้งเซินอยู่ดูแลลูก ๆ สองคน อยู่ที่บ้าน ตนเองกับโมไฉ่เวยออกไปซื้อของจำเป็น
ลู่จึงเป็นที่ไม่วางใจจะให้พวกเธอออกไปกันสองคน
แต่เพราะวิ่งหนึ่งอยากจะซื้อของไปฝากพนักงานในออฟฟิศ การที่เธอเดินทางครั้งนี้ ทุกอย่างในบริษัทต้องมอบหมายให้ เสี่ยวเหอและพวกเธอจัดการ
ดังนั้นเธอจึงคิดว่า เมื่อจะกลับไปไม่เพียงแต่คุณอาและท่านปู่ ท่านย่า ก็ควรจะมีของฝากติดมือไปฝากพนักงานบ้างก็เป็นเรื่อง
ของฝากเหล่านี้เมื่อซื้อเสร็จก็ให้คนส่งกลับไป พวกเขาไม่ต้อง แบกกลับไปเอง ดังนั้นจึงไม่ได้ยากอะไร
แต่การเลือกของฝากกลับไป คงจะต้องให้จิ้งหนึ่งไปเลือกด้วย ตัวเอง
แม้ลู่จิ่งเซินจะมีความคิดละเอียดอ่อนแค่ไหน สุดท้ายเขาก็เป็น
ผู้ชายคนหนึ่ง บริษัทซิงฮุยของเธอ พนักงานส่วนใหญ่เป็นผู้หญิง เธอกลัวว่า ลู่วิ่งเซินจะเข้าไม่ถึงความชอบของพวกเธอ
ดังนั้นเรื่องนี้เธอจึงต้องลงมือเอง
และถ้าเด็ก ๆ สองคนตามพวกเธอออกไปด้วย ก็จะดูเอิกเกริก เป็นที่โดดเด่นและยุ่งยากเกินไป
ดังนั้นจึงหนิงจึงคิดว่า อย่างไรเสียมันไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร เธอไปกับโม่ไฉ่เวยก็พอแล้ว
และให้ลู่วิ่งเซินอยู่ดูแลลูก ๆ สองคนที่บ้าน
การเลือกของขวัญ ใช้เวลาอย่างมากก็ชั่วโมงเดียวเท่านั้น ให้ คนขับรถพาไปคงไม่มีเกิดเรื่องอะไร
บวกกับ ถึงแม้ว่าปกติแล้วโม่ไฉ่เวยจะไม่ออกไปไหน แต่ อย่างไรเสียก็อยู่ที่นี่กว่าสิบปี คนพื้นที่จำนวนไม่น้อยรู้จักเธอ รู้ว่า เธอคือภรรยาของเซว
และจากอิทธิพลของเซวซูที่มีผลต่อที่นี่ก็ยากที่จะเกิดเรื่องอะไร
ลู่จิ่งเซินเห็นดังนั้นก็ได้แต่ปล่อยตามใจพวกเธอ ให้พวกเธอออกไปกันเอง
จิ่งหนิงกับโมไฉ่เวยจึงนั่งรถออกไปและมุ่งหน้าไปยังห้างสรรพ สินค้าที่ใหญ่ที่สุดในพื้นที่
ห้างฯ มีของขายมากมายซึ่งมีเอกลักษณ์และรูปแบบท้องถิ่น
จิ่งหนึ่งพบร้านบูติกร้านหนึ่งและเลือกของทุกอย่างในนั้นอย่าง ละสองสามชิ้นและให้คนแพ็คของและให้ที่อยู่ทางไปรษณีย์ก่อน ออกจากร้าน
จนออกมาจากห้างฯ จู่ ๆ โม่ไฉ่เวยก็พูดขึ้น “เอ้ แม่จำได้ว่า อยู่อีกฝั่งของถนนมีร้านอาหารอร่อยและรสชาติดีมาก ยังไงก็จะ ไปแล้ว สู้ไปซื้อกินสักหน่อยให้ทุกคนได้ชมเป็นอาหารเที่ยง
จิ่งหนิงเองก็เข้าใจดีว่าเธออยู่ที่นี่มาสิบปี ถึงจะบอกว่าไม่คุ้น ชินแต่อย่างน้อยก็มีความรู้สึกอยู่ไม่มากก็น้อย
ตอนนี้เมื่อเห็นว่าจะจากไป ดังนั้นจึงอยากจะซื้ออาหารท้องถิ่น
รสชาติดีและได้กินเป็นครั้งสุดท้ายเพื่อเป็นการบอกลา
จิ่งหนิงจึงพยักหน้า
เพราะในขณะที่กำลังเดินซื้อของตอนนี้ วันนี้หิมะไม่ตก อากาศ แจ่มใสและมีแดด บวกกับอุณหภูมิที่อุ่นขึ้นและไม่ร้อนเหมือน ก่อนหน้านี้
มีรู้สึกเหมือนดวงอาทิตย์ในฤดูหนาวที่อบอุ่น จึงมีถนนคนเดิน เที่ยวมากมาย
ท้ายที่สุดมันก็แค่ไปที่ถนนฝั่งตรงข้าม จิ้งหนึ่งพบว่าการขับรถ ลำบากจึงขอให้คนขับจอดรถที่นี่และรอพวกเขา
หลังจากพวกเธอเข้าไปสั่งอาหารแล้วก็เดินออกมาก็ได้แล้ว
เมื่อคนขับรถเห็นอย่างนั้นจึงไม่ห้ามและรออยู่ในรถด้วยดี
โม่ไฉ่เวยจูงมือของเธอและยิ้มพร้อมกับเดินไปด้วย: “พูดไป ลูกคงจะไม่เชื่อ แม่อยู่ที่นี่มาสิบปี ออกมากินข้าวนอกบ้านนับครั้ง ได้ ร้านอาหารท้องถิ่นร้านนี้ แม่เคยได้ยินชื่อเสียงมาก่อน แต่ก็ ไม่เคยได้มีโอกาสมากินเลย ได้แต่คิดว่าครั้งหน้าค่อยมา ๆ แต่ ตอนนี้มาคิด ๆ ดูแล้ว ยังจะมีครั้งหน้าไหมนะ?”
จิ่งหนิงยิ้มและพูด: “ก็ไม่แน่นะคะ ต่อไปหากแม่คิดถึงที่นี่ พวก เราก็กลับมาเที่ยวที่นี่เป็นเพื่อนแม่
Please enter a description
Please enter a price
Please enter an Invoice ID
เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ