วิวาห์หวาน นายซาตาน ที่รักของฉัน

บทที่ 1022 ก่อนไปทะเลทราย



บทที่ 1022 ก่อนไปทะเลทราย

บรรยากาศรอบๆรู้สึกโดดเดี่ยวกับทิวทัศน์ทะเลทราย

ทุกหนทุกแห่งล้วนเต็มไปด้วยพื้นที่สีเหลือง น้อยมากที่จะเห็นสี เขียว นานๆทีจะเห็นสักครั้ง นั้นเป็นเพียงส่วนเล็กๆส่วนหนึ่ง เท่านั้น หากไม่ดูอย่างละเอียดก็คงจะไม่เห็นจริงๆ

จึงหนิงถอนหายใจอยู่ภายในใจ ที่แท้หลายปีที่ผ่านมานี้ แม่ ของเธออาศัยอยู่ในสถานที่แบบนี้

เธอไม่ได้คิดว่าที่นี่ไม่ดี แต่ภายในใจว่า แม่ของเธอตั้งแต่ เล็กจนโต ในฐานะที่เป็นลูกสาวคนโตของตระกูลโม่ มีเมื่อไหร่ บ้างที่ไม่สูงส่งราวกับเงินและสวยราวกับหยก

ต่อมาเมื่อได้แต่งงานกับนิ่งเชี่ยวเต๋อ ซึ่งเกี่ยวเต๋อก็ไม่ได้ให้ใจ หล่อนเต็มร้อยแต่ก็ไม่กล้าที่จะตัดญาติขาดมิตรกับเธอ

อย่างน้อยในการดำเนินชีวิต หล่อนก็ไม่เคยต้องลําบากใดๆ แต่ว่าในสภาพทะเลทรายแบบนี้ แม้ว่าจะมีเงินมากมายขนาด

ไหน ต่อให้มีเงินมากกว่านี้ ทรัพยากรบางอย่างก็ยากที่จะซื้อหา มาอยู่ในมือได้

แม่อาศัยอยู่ในสถานที่แห่งนี้ ก่อนหน้านี้สองสามปี คงจะยัง ไม่คุ้นชิน คงจะปรับตัวอยากอยู่

เมื่อคิดเช่นนี้ อารมณ์ความรู้สึกของเธอก็อดที่จะหดหูไม่ได้
ลู่วิ่งเป็นราวกับพอรู้ความคิดของเธออยู่บ้าง จึงยื่นมือออกไป จับมือของหล่อนไว้ พลางพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำว่า “อย่าคิด เพ้อเจ้อ อ่า? ”

วิ่งหนึ่งหันไปมองที่เขา ครู่หนึ่งก็พยักหน้า

ผ่านไปอยู่นาน เด็กน้อยทั้งสองคนก็เล่นจนเหนื่อยแล้ว ทะเลาะจนเหนื่อยแล้ว พวกเขารู้สึกแปลกใหม่แค่ตอนเริ่มแรก เท่านั้น ต่อมาเมื่อเห็นรถวิ่งไปข้างหน้าไม่ยอมหยุด และหน้าต่าง นอกจากทะเลทราย ก็เป็นเพียงดินสีเหลือง ไม่มีของอย่างอื่น แลยแม้แต่น้อย

ทำให้จู่ๆก็ขาดความสนใจ อีกทั้งอากาศที่ร้อนอบอ้าวคืบ คลานเข้ามา ก็อดไม่ได้ที่จะนั่งอย่างเรื่องซึมอยู่ในรถ

ลู่วิ่งเงินให้พวกเขามานั่งข้างๆตนเอง อุ้มเด็กหนึ่งคน และให้ พวกเขานอนหลับในอ้อมกอดของตน

จึงหนิงก็รู้สึกไม่ค่อยสบายใจนัก

ในเมื่อเธอเป็นคนท้อง แม้แต่หลายปีมานี้หากมีพื้นฐานทาง สุขภาพที่แข็งแรงสักเท่าไหร่ แต่ก็คงไม่สามารถทนต่อเส้นทางที่ คลอนแคลน ในระยะเวลาที่นานได้

ดังนั้น หลังจากประมาณครึ่งชั่วโมง สีหน้าของเธอก็เริ่ม เปลี่ยนไป

ที่จริงแล้วลู่วิ่งเซินก็แอบสังเกตเธออยู่เงียบๆ เมื่อเห็นสีหน้า ของค่อยๆซีดขาวขึ้น จึงพูดขึ้นอย่างเป็นกังวลว่า “หนึ่งหนึ่งคุณเป็นยังไงบ้าง? ไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า? ”

จิ้งหน่งสายศีรษะ

“ไม่เป็นไรค่ะ ก็แค่อยากอาเจียน

เมื่อคีริมที่อยู่ด้านหน้าได้ยิน จึงหยิบน้ำเย็นขวดหนึ่งออกมา จากตู้เย็นเล็กที่อยู่ข้างๆเขา พลางพูดขึ้นอย่างเป็นมิตรว่า “คุณ หน้ามืดเพราะถูกแดดร้อนจัด ไม่เป็นไร ดื่มน้ำเย็นสักหน่อย เดี๋ยวอีกสักพักก็หาย เมื่อสักครู่นี้เพิ่งขึ้นมาจากทะเลทราย คน ส่วนใหญ่ก็เป็นแบบนี้แหละ ผ่านไปสักสองสามวันก็จะคุ้นชินไป เอง”

ลู่วิ่งเซ็นรับน้ำเย็นมาดื่ม รู้สึกเพียงว่าเมื่อถือขวดน้ำนั้นในมือ รู้สึกเย็นยะเยือกอย่างตกใจ

เขาเป็นกังวลว่าจิ้งหนิงมีอาการร้อนมาโดยตลอด หากจู่ๆดื่ม

น้ำเย็นเข้าไปจำนวนมาก ก็จะทำให้ลำไส้ของเธอถูกกระตุ้นได้

ดังนั้น จึงไม่ได้เปิดฝาขวดน้ำออกให้เธอดื่ม แต่กลับให้เธอ ขวดน้ำไปถึงที่หน้าผากเพื่อรับความเย็น

เมื่อคีริมเห็นสถานการณ์เช่นนั้น ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา ทำ เพียงค่อยๆปรับอุณหภูมิลงเล็กน้อย

ประมาณหนึ่งชั่วโมงต่อมา ก็ไม่เห็นทรายสีเหลืองที่อยู่ด้าน

นอกหน้าต่างแล้ว

ในที่สุดรถก็วิ่งเข้าเมืองที่เต็มไปด้วยสีเขียวคีริมบอกว่า เมืองนี้แม้ว่าจะเป็นเมืองใหญ่ แต่แท้ที่จริงแล้ว ด้านนอกเป็นทะเลทราย และมีเพียงพื้นที่เล็กๆเท่านั้นที่จะมีคน อาศัยอยู่

เนื่องจากสถานที่ๆอยู่ใกล้ๆนี้มีแม่น้ำอยู่หนึ่งสาย แม่น้ำสาย นั้นมีประวัติความเป็นมากว่าสองพันกว่าปี บริเวณรอบๆมีผืน หญ้าเล็กๆอยู่ผืนหนึ่ง สีเขียวสวยงามเป็นอย่างมาก หากพวกเขา มีเวลาว่าง และมีใจที่เอ้อระเหย ก็สามารถแวะไปดูได้

จิ่งหนิงและลู่วิ่งเซินไม่ได้พูดจาอะไร ตอนนี้จึงหนึ่งไม่อยากพูด อะไรทั้งนั้น นับตั้งแต่ที่เธอตั้งครรภ์ สถานการณ์ก็ไม่ดีมาโดย ตลอด

เด็กน้อยทั้งสองที่อยู่ในท้องของเธอก็เงียบมาโดยตลอด ไม่ เคยสร้างความวุ่นวายให้กับเธอ แม้แต่อาการอยากอาเจียนก็ไม่ เคยมีมาก่อน

แต่ว่าการออกมาในครั้งนี้ กลับไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม ความ รู้สึกอยากอาเจียนถึงได้เกิดขึ้นตลอด อย่าพูดถึงว่าให้เธอต้อง พูดคุยเลยแม้แต่แรงที่จะลืมตาก็ยังไม่มี

เนื่องจากลู่นิ่งเซินเป็นห่วงเธอ และก็ไม่ได้อยากที่จะพูด

เด็กน้อยทั้งสองคนที่อยู่ในท้องของเขาก็นอนหลับแล้ว อีก ด้านหนึ่งเขาก็โอบกอดอยู่ ส่วนอีกด้านหนึ่งก็อดไม่ได้ที่จะสังเกต อาการของจิ่งหนึ่ง ทำให้เขาต้องทําหลายอย่างในเวลาเดียวกัน แท้ที่จริงแล้ว ครั้งนี้โม่หนานก็อยากจะตามมาด้วย
แต่เป็นเพราะเป็นห่วงท่านและท่านย่า ดังนั้นจึงให้ไม่หนาน อยู่ที่นั่นเพื่อดูแลพวกเขา

แม้ว่าตระกูลจิ้นและท่านย่าจะมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ก็คง

ไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นหรอก แต่ถึงยังไงก็เป็นคนนอก และอยู่ในสถานที่ที่ตนไม่คุ้นเคย หากข้างกายท่านว่าไม่มีคนที่สามารถไว้ใจได้ บางครั้งก็ลำบาก

พอสมควร

โม่หนานมีฝีมือในการต่อสู้ที่ไม่เลว ละเอียดอ่อน และที่สำคัญ ที่สุดก็คือซื่อสัตย์ ดังนั้นการที่ให้เขาอยู่ที่นั่นถือเป็นตัวเลือกที่ดี

รถได้วิ่งมาเป็นระยะเวลาหนึ่ง ในที่สุด ก็มาจอดอยู่ที่ด้านหน้า สิ่งก่อสร้างที่ยิ่งใหญ่แห่งหนึ่ง

จิ่งหนิงรู้สึกได้ว่ารถได้หยุดลง จึงเริ่มมีแรง และค่อยๆลืมตา

ขึ้น

เบื้องหน้าเห็นเพียงปราสาทสีขาว ซึ่งคล้ายกับปราสาทในยุค กลางของยุโรป มีหลังคาแหลม สวยราวกับในรูปวาด

ในเวลานี้เธอจึงได้พยายามทำตัวให้มีชีวิตชีวา และค่อยๆนั่ง ลงพลางเปิดผ้าม่านดูบรรยากาศภายนอก

เห็นเพียงพนักงานรักษาความปลอดภัยยืนอยู่บริเวณด้านหน้า ประตูที่สลักรูปดอกไม้ คีริมใช้ป้ายอะไรบางอย่าง เพื่อแสดงตัว ตน คนพวกนั้นจึงได้เปิดประตูให้รถผ่าน ในเวลานี้คริมจึงได้ ค่อยๆขับรถเข้าไป
เมื่อขับรถเข้าไปในคฤหาสน์ ก็เห็นบรรยากาศด้านในที่แตก ต่าง

ในสถานที่แบบนี้ แน่นอนว่าดอกไม้ที่อ่อนแอก็คงไม่สามารถ ดารงชีวิตอยู่ได้

แต่ว่าแม้ว่าจะเป็นเช่นนี้ก็ไม่ได้กระทบต่อทิวทัศน์ของที่นี่

เห็นเพียงพื้นที่สีเขียว ที่เต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่ และพืชไม้เตี้ย แต่ละต้นดูเหมือนว่าจะมีการออกแบบอย่างประณีต แม้แต่ที่ตั้ง จัดวางไว้อย่างเรียบร้อย

พื้นที่ตรงกลางปูด้วยหินอ่อนที่มีความแวววาว และรถที่วิ่งอยู่ ด้านบนนั้นก็ราวกับวิ่งอยู่บนกระจกสีขาว เปล่งประกายแสงที่ กระทบจากพระอาทิตย์จนแสบตา

ในใจของจิ้งหนึ่งอดไม่ได้ที่จะพูดประโยคหนึ่งว่า หลุมหลบ

ภัย!

ที่นี่ราวกับหลุมหลบภัยจริงๆ คนที่ทราบก็คงรู้ว่าเธอมายังบ้านของหมอ ส่วนคนที่ไม่รู้ก็คง คิดว่าที่นี่คือพระราชวัง

ไม่ผิดที่สไตล์ของที่นี่ ในใจของสิ่งหนึ่งก็รู้สึกว่าที่นี่เป็นเหมือน พระราชวังยุคกลางของตะวันตก

เมื่อรถขับตรงไปข้างหน้าประมาณห้าหกนาทีสุดท้ายจึงหยุด อยู่ที่สิ่งก่อสร้างที่สูงใหญ่เบื้องหน้า
คีริมกระโดดลงจากรถ และเปิดประตูรถให้กับพวกเขา พลาง ยิ้มและพูดขึ้นว่า “คุณผู้ชาย คุณผู้หญิง พวกเรามาถึงแล้วครับ เชิญลงจากรถครับ”

ในเวลานี้ลู่วิ่งเซินจึงได้อุ้มเด็กลงจากรถ จึงหนิงเดิมตามอยู่ ข้างหลัง คริมเขยิบขึ้นมาข้างหน้าพลางโอบไหล่เธอ

หลังจากลงจากรถวิ่งหนึ่งจึงได้เห็นอย่างชัดเจนว่า สิ่งก่อสร้าง ที่อยู่เบื้องหน้าเต็มไปด้วยสถาปัตยกรรมยุโรปของยุคเก่าเสา หินที่อยู่เบื้องหน้า ทุกการแกะสลักเหมือนของจริงเป็นอย่างมาก ราวกับเข้าไปอยู่ในแดนสวรรค์

คีริมเดินทางอยู่ข้างหน้า ยิ้มพลางพูดขึ้นว่า “เชิญตามผม มาครับ”

กลุ่มคนสองสามคนก็เดินตามเขาไปข้างหน้า

สถาปัตยกรรมเบื้องหน้าเป็นบันไดสูงประมาณยี่สิบสามชั้น

พวกเขาเดินได้เพียงครึ่งทาง ยังไม่ทันได้เดินขึ้นไปจริงๆ ก็ได้ ยินเสียงเชิญของผู้หญิงดังออกมา

“หนิงหนึ่งมาถึงแล้วทำไมไม่บอก? ทำไมไม่รีบบอกฉัน? ฉัน จะได้ออกไปรับพวกคุณ


เพื่อการอัปเดตบทที่เร็วขึ้น กรุณาบริจาคสำหรับเว็บไซต์เพื่อซื้อบทใหม่! ขอขอบคุณ
THB

เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ