บทที่ 1034 ไม่ต้องกลัว ผมอยู่ตรงนี้
“หนิงหนิง ไม่ต้องกลัว ผมอยู่ตรงนี้
เขายื่นมือกอดเธอไว้ ตบหลังของเธอเบาๆ ปลอบโยนด้วย เสียงอ่อนโยน
“บอกผมมา เกิดอะไรขึ้นแล้ว
จิ่งหนึ่งไม่ได้พูดอะไร แค่กอดเอวของเขาไว้แน่นๆ เอาหน้าซุก อยู่ในแผ่นอกของเขา
เนื่องจากเวลานี้ยังเช้าอยู่ ทั้งไม่ได้เลยกับเซวยังไม่ตื่นเลย ส่วนเด็กน้อยสองคนก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงแล้ว กำลังนอนหลับอยู่ บนเตียงอย่างสบาย
หลังจากที่ลู่วิ่งเซินรู้สึกได้ว่าความถี่ในการสั่นเทาของคนใน อ้อมแขนค่อยๆ ลดลงแล้ว เขาจึงพยุงไหล่ของเธอไว้ ผลักเธอ ออกจากตัวเองเล็กน้อย แล้วมองลงไปที่ใบหน้าของเธออย่าง ตั้งใจ
กลับเห็นผู้หญิงตรงหน้าผมยุ่งและตาแดงเล็กน้อย สีหน้าก็ขาว ดผิดปกติ
เขาอดขมวดคิ้วขึ้นมาไม่ได้
พอก้มหน้าลงอีกครั้ง จึงเห็นเธอไม่ได้สวมรองเท้าและกำลังยืน อยู่บนพื้นด้วยเท้าเปล่า เท้าเล็กๆ อันขาวอย่างหิมะนั้นกลับยังขาวกว่า นอีก
สีหน้าอดไม่ได้ที่จะเคร่งขึ้นมา
“ทำไมรองเท้าก็ไม่ใส่ ไม่กลัวเป็นหวัดเหรอ”
ขณะที่เขาพูดอยู่ เขาอุ้มเธอขึ้นมา โดยที่ไม่รอให้อธิบาย จิ่งหนิงก็ไม่ได้ดิ้น ซุกอยู่ในอ้อมแขนของเขาและปล่อยให้เขา อุ้มไว้อย่างนั้น
สองคนเข้าไปในห้องนอน จึงเป็นวางเธอลงบนเตียง ไปเอา ผ้าเช็ดตัวมาเช็ดเท้าของเธออย่างละเอียดก่อน จากนั้นถึงนั่ง ยองๆ ต่อหน้าเธอ มองขึ้นไปที่เธอจากล่างขึ้นบนแล้วถามว่า “บอกผมมา เกิดอะไรขึ้นแล้ว
ขณะนี้ จึงหนิงกลับมามีสติแล้ว
ถึงแม้สีหน้าของเธอดูยังไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แต่ก็ดีกว่าก่อนหน้า นี้มากแล้ว
เธอส่ายหัว
“ฉันไม่เป็นอะไร ก็แค่…ฝันถึงอะไรบางอย่าง
ลู่วิ่งเซินเงยหน้าขึ้นมา เช็ดเม็ดเหงื่ออันละเอียดและแน่นที่ออก ตรงหน้าผากให้เธอ
“ฝันถึงอะไรเหรอ”
“ก็แค่พวก… วิ่งหนิงขมวดคิ้ว
ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมฝันที่ยังชัดแจ้งมากในเมื่อกี้ กลับกลาย เป็นเลือนราง ในเวลาเพียงไม่นาน
ก็เหมือนกับว่าเธอรู้ทั้งรู้ว่าเมื่อคืนนี้ตัวเองฝันถึงอะไร แต่พอ
ตอนนี้เธออยากจะพูด แต่กลับพูดอะไรไม่ออกเลย
ลู่จึงเป็นเห็นเธอขมวดคิ้วและคับอกคับใจ ก็พอเดา สถานการณ์ของเธอได้แล้ว
เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นว่า “ถ้าคิดไม่ออกก็ไม่เป็นไร เพราะมันคือความฝันมันก็แค่เรื่องเท็จ ไม่ว่าน่ากลัวแค่ไหน ตอน นี้เธอตื่นมาแล้ว สิ่งเหล่านั้นก็หายไปหมดแล้ว ดังนั้นไม่ต้อง คิดมาก เข้าใจไหม
จึงหนิงมองไปที่เขา เนิ่นนานถึงจะพยักหน้า
“หิวยัง อยากกินอะไรไหม
จิ่งหนิงส่ายหัวและเม้มปาก “ฉันอยากดื่มน้ำ
“ได้ งั้นคุณรอแป๊ปหนึ่ง เดี๋ยวผมกลับมา
ลู่จิ่งเซินพูดจบก็ลุกขึ้นมา
จิ่งหนิงกลับตื่นเต้นและจับมือของเขาไว้แน่นๆ ทันที
พอหันหลังกลับ ก็เห็นสายตาตื่นเต้นของผู้หญิง สายตาที่มอง ดูเขา ราวกับเห็นฟางช่วยชีวิตเพียงเส้นเดียวของตนเองอย่างนั้น
ลู่จิ่งเซินใจอ่อนลงมา
ถึงแม้เขาจะไม่รู้ว่าเมื่อกี้วิ่งหนึ่งฝันถึงอะไรจนทำให้เธอตกใจเช่นนี้
แต่เขากลับเข้าใจดีว่านี่คือความผูกพันที่เธอมีต่อตัวเองซึ่งลึก
ซึ่งกว่าใครๆ ในฐานะที่เป็นผู้ชายคนหนึ่ง ถูกผู้หญิงที่ตัวเองรักมากพึ่งพา เช่นนี้ เขามีความสุขและโชคดีอย่างไม่ต้องสงสัย
พอคิดแบบนี้แล้วลู่วิ่งเซินก็ยิ้มออกมา จู่ๆ ก้มตัวลงและอุ้มเธอ ขึ้นมาด้วยท่าเจ้าหญิง
จิ่งหนิงอึ้ง ถามโดยสัญชาตญาณว่า “คุณจะทำอะไร
“ก็คุณกลัวไม่ใช่เหรอ
ลู่วิ่งเซินยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ ไม่อยากให้ผมไปแม้แต่นาทีเดียว? งั้นผมอุ้มคุณไปดื่มน้ำด้วยกันเลยดีกว่า”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ใบหน้าของสิ่งหนึ่งก็แดงขึ้นมาทันที
กอดคอของเขาไว้และดิ้นรนเล็กน้อย
“คุณอย่าทำแบบนี้ ปล่อยฉันลงไป
“ไม่ปล่อย
ลู่วิ่งเซินยิ้มว่า: “ปล่อยคุณลงไป แล้วถ้าคุณกลัวอีกจะทำยังไง
ล่ะ”
“ฉันกลัวที่ไหน…” จึงหนิงรู้สึกเขินอายทันที แต่พอนึกถึงเมื่อกี้ ที่ตัวเองตื่นมาในห้องนอนมืดมนตัวคนเดียว ความหวาดกลัวที่ไร้ ค่าพูดนั้นทำให้เธอปิดปากทันที
จึงเป็นเห็นหน้าเธอแล้วก็รู้ว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่
ดวงตาของเขาลึกซึ้ง เขาไม่ได้พูดอะไรต่อ อุ้มเธอเดินลงไปชั้น ล่าง
เมื่อมาถึงห้องนั่งเล่นชั้นล่าง จึงเป็นถึงวางเธอลงมาและนั่ง บนโซฟา จากนั้นเขาจึงไปเทน้ำอุ่นแก้วหนึ่งมาและหลังจากเห็น เธอดื่มแล้วถึงถามว่า: “ตอนนี้รู้สึกเป็นยังไงบ้าง
จิ่งหนิงเลียปาก “ดีขึ้นเยอะแล้ว ฉันไม่เป็นอะไรแล้ว
“แล้วยังอยากนอนต่อไหม
จิ้งหนังดูแสงแดดข้างนอกและสายหัว “ไม่นอนแล้ว
“งั้นก็กลับห้องไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน
ลู่วิ่งเซินอุ้มเธอขึ้นมาและเดินไปที่ห้องนอนขณะที่พูดอยู่ กลับมาถึงห้องนอน จึงหนิงเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ ขณะนี้ความ รู้สึกหวาดกลัวในใจเธอนั้นหายหมดแล้ว
ลู่วิ่งเซินจับมือเธอเดินออกมาจากห้องนอน ตรงนี้ไม่ไฉ่เว ยกับเซวซูก็เดินออกมาจากห้องนอนพอดี
เมื่อเห็นพวกเขาโมไฉ่เวยยิ้มพูดว่า “เมื่อคืนฝนตกเธอสองคน ได้ยินไหม”
จึงหนิงตะลึงและส่ายหัว “ไม่ได้ยิน
โมไฉ่เวยยิ้มพูดว่า: “ที่นี่นานๆ กว่าจะฝนตกที ในปีหนึ่งเวลา ส่วนใหญ่จะแห้งแล้ง พอพวกเธอมาก็ได้เจอแล้ว เสียดายที่เป็นกลางคืน พวกเธอไม่เห็น ไม่อย่างนั้นต้องดีใจไปสักพักหนึ่งแน่ เลย”
ที่นี่อยู่ในทะเลทราย ฝนตกน้อยเป็นเรื่องปกติ
จิ่งหนึ่งก็ไม่ได้คิดอะไรมาก
เธอไปห้องนอนข้างๆ ปลุกอานอานตื่น จากนั้นเปลี่ยนเสื้อผ้า ให้จิ้งเจ๋อน้อยที่เพิ่งตื่นมา พาเขาสองคนล้างหน้าแปรงฟัน เรียบร้อยแล้วลงไปชั้นล่างทานอาหารเช้าด้วยกัน
คนใช้เป็นคนทําอาหารเช้า โจ๊กและผักเครื่องเคียงไม่ใช่ อาหารของที่นี่ แต่เป็นอาหารเช้าประเทศจีนที่ถูกปากพวกจิ้งหนึ่ง เขามากกว่า
ทุกคนทานข้าวไปด้วย พูดคุยกันไปด้วย
โมไฉ่เวยพูดเรื่องการแสดงของเมื่อคืนขึ้นมา จู่ๆ ถามว่า “ใช่ แล้ว เมื่อวานพวกเธอบอกว่าเจอคนรู้จัก คือใครเหรอ คนนั้นเขา เจอปัญหาอะไรเหรอ”
จิ่งหนิงส่ายหัว
“จริงๆ แล้วไม่ถือว่าเป็นคนรู้จัก คือว่าเมื่อคืนตอนที่อยู่ในโรง หนังอานอานเกือบล้มลง คนนั้นเขาช่วยอานอานไว้ หลังจากนั้น ในระหว่างทางที่เรากลับมาก็เห็นรถของเขาเสียและจอดอยู่ข้าง ถนน จึงจอดรถลงมาและช่วยส่งเขากลับไป
โม่ไฉ่เวยพยักหน้า “แบบนี้นี่เอง ฉันก็นึกว่าเป็นเพื่อนที่ทำ ธุรกิจของจิ่งเซิน”
เนื่องจากจิ้งหนิงกับลู่จิ่งเซินยังไม่มีหลักฐานที่แน่ชัดสำหรับ เรื่องที่คาดเตาประวัติของหนานจิ้น ดังนั้นจึงไม่สะดวกบอกให้ไม่ ไฉ่เวย
แต่พอเธอพูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา ซึ่งหนึ่งจู่ๆ ก็คิดวิธีหนึ่งขึ้นมาได้ ดังนั้น หลังจากทานอาหารเช้าเรียบร้อย เธอก็โทรถามเดียว ว่าเธอมีรูปของหนานกงจีนหรือไม่
พอเฉียวได้ยินเธอถามแบบนี้ยังรู้สึกประหลาดใจอยู่เล็กน้อย “เธอเอารูปของเขาทำไม
จิ่งหนิงจึงเล่าเรื่องเมื่อคืนให้กับเธอ
“ไม่ใช่ฉันคิดมาก แต่คือเรื่องนี้มีความเกี่ยวข้องกับพวกเธอ จริงๆ ฉันเลยต้องระมัดระวังหน่อย ถ้าหากว่าคนนั้นเป็นหนานกง จีนจริงๆ งั้นเขาก็ต้องรู้จักเราแน่นอน รู้จักเราแต่ยังจงใจทำเป็น ไม่รู้จักและเข้าใกล้เรา มันต้องมีวัตถุประสงค์อื่นแน่นอน ดังนั้น เราทำให้แน่ใจเผื่อไว้ดีกว่า”
เฉียวฉีคิดครู่หนึ่งและบอกว่า “ฉันไม่มีรูปของเขา ข้างนอกไม่ ค่อยมีข้อมูลเกี่ยวกับเขาเลย และฉันก็แค่เคยเห็นกับตา อธิบาย ไม่ค่อยถูก เอาอย่างนี้ดีกว่า เธอรอสักครู่ ฉันไปหาคนวาดรูป เดี่ยวให้เธอตอนดลางคืน”
Please enter a description
Please enter a price
Please enter an Invoice ID
เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ