พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว

บทที่784 ชัยชนะ



บทที่784 ชัยชนะ

วันแรกที่รพีพงษ์ท้าทายวงการหัวเซีย ดูจากการประลองสิบยก ทำให้ทุกคนเปลี่ยนสายตาที่มอง

เดิมทีคิดว่ารพีพงษ์เสแสร้งแกล้งทำ แล้วก็เห็นวิสัยทัศน์ตนเอง พวกเขารู้สึกว่ารพีพงษ์คงไม่สามารถท้าทายวงการแห่งหัวเซีย ได้ ก็เลยทีกทักเอาว่ารพีพงษ์ไม่น่าจะไหว

แต่รพีพงษ์ใช้การกระทำในการพิสูจน์ การประลอง ไม่ได้ง่าย อย่างทีพวกเขาคิด

คนของห้าตระกูลใหญ่เดิมที่ดูแคลนรพีพงษ์อยู่แล้ว แต่พอเห็น การต่อสู้ของรพีพงษ์ในวันแรกแล้ว

พวกเขาก็เริ่มให้ความสำคัญขึ้นมา

รพีพงษ์รับมือกับปรมาจารย์สองคนไหนวันแรก และยอดฝีมือ ระดับปรมาจารย์อีกแปดท่าน ถ้าดูจากศักยภาพห้าตระกูลใหญ่ นี่นับเป็นอะไร

แต่ว่าในขณะที่ประลองสิบยก คนๆหนึ่งจะมีฝีมือแค่ไหน ก็ ต้องมีช่วงเวลาที่ตกอับ ส่วนรพีพงษ์ราวกับมีพลังไม่จบไม่เสร็จ หลังจากการประลองสิบยก ไม่มีปรากฏที่ท่าอ่อนเพลียเลยแม้แต่ น้อย

ต่อให้เป็นประมุขของห้าตระกูลใหญ่ ก็ยอมรับว่าทำไม่ได้ ขนาดนี้
ห้าตระกูลใหญ่ผู้ที่รับรู้ได้ถึงปัญหาหนัก จึงได้จัดยอดฝีมือ จํานวนหนึ่งไปที่โรงแรมพระจันทร์ทอง รพีพงษ์ดูเวอร์เกินไป ไม่ เห็นคนที่มีวิทยายุทธ์อย่างพวกเขาอยู่ในสายตา พวกเขาจึงร่วม กันรุมรพีพงษ์

พวกนักวิทยายุทธ์เหล่านี้เป็นพวกที่มีสายเลือด พอเห็นรพีพงษ์ ต่อสู้ รวมกับท่าทีของพวกเขา เมื่อผ่านตระกูลใหญ่ห้าตระกูล พวกเขาต่างก็รู้สึกเดือดดาล และประกาศกร้าวว่าจะต้องเอาชนะ รพีพงษ์ให้ได้ ให้รพีพงษ์สำนึกว่าอะไรคือเหนือฟ้ายังมีฟ้า

นักประลองฝีมือในเกียวโตมากันเกือบครึ่งวงการหัวเซีย อย่างไรเสียเครดิตของห้าตระกูลใหญ่ก็ยังคงมีสูงมาก เพียงแค่ ปรมาจารย์ยอดฝีมือ ก็มากันเป็นกอง ต่างก็ส่งยอดฝีมือประจำ สํานักมา

แม้ว่าปรมาจารย์จะมีน้อย และยากที่จะหยั่งถึง แต่ว่าหัวเซีย ใหญ่ขนาดนี้ มีชื่อเสียงนับพันปี มีคณะกำลังภายในนับไม่ถ้วน รวมกันทั้งหมด ดูไม่น้อย

ดังนั้นพอเริ่มวันที่สอง คู่ต่อสู้ที่รพีพงษ์เผชิญ ล้วนเป็น ปรมาจารย์ทั้งสิ้น

เรื่องแบบนี้ไม่เคยปรากฏในประวัติศาสตร์วงการอย่างไร เสียไม่เคยมีใครกล้าท้าประลองวงการ

หัวเซี่ยคนเดียวแบบนี้ ดังนั้นเหตุการณ์ที่ปรมาจารย์กับยอด ฝีมือจะออกตัวรวมกันจึงไม่เคยปรากฏ

แรงกดดันทั้งหมดที่รพีพงษ์รับ ก็แค่การปะทะฝีมือกับปรมาจารย์และยอดฝีมือ เป็นเรื่องสองเรื่องที่

ต้องแยกออกจากกัน ต่อให้รพีพงษ์ยืนหยัดได้นาน ก็ต้านยอด ฝีมือที่ถาโถมเข้ามาไม่ได้หรอก

หากแตรพีพงษ์ไม่มีทีท่าล่าถอย เขาพยายามท้าทายการฝึก ซ้อมของตัวเอง ตอนนี้ความสามารถเขา

อยู่ในระดับสูง หากอยากจะยกระดับความสามารถ ก็เพียงแต่

ฝึกฝนไม่หยุดเท่านั้น ให้ตัวเองเคยชิน และสมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น จึงจะสามารถเลื่อนระดับฝีมือตนเอง

ความเร็วนั้นว่องไวปานแสง แต่นั่นเพราะมีพื้นฐานของพลัง เน่ยจิ้ง ก็เลยมีปฏิกิริยาเร็ว และถ้าต้องการพลังวิเศษเสนชั้นยอด รพีพงษ์ต้องผ่านการฝึกนับร้อยนับพัน เวทีนี้ ถ้าจะก้าวขึ้นไป มัน ก็ไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด

ตอนนี้ที่เกียวโตมีคนมารวมตัวกันในวงการแห่งหัวเซียเกือบ ครึ่งเมือง ผู้ชมในสนามกีฬา โดยมากเป็นคนในวงการกำลัง ภายใน และในคนจํานวนมหาศาลนี้ มีเพียงปรมาจารย์ไม่กี่สิบ เท่านั้น

เห็นได้ชัดว่าการที่จะแตกฉานในเนยจิ้งเสร็จสมบูรณ์นั้น ไม่

ง่ายเลย

พลังวิเศษเสนนั้นล้ำลึกกว่าเนยจิ้ง ดังนั้นการจะฝึกวิทยายุทธ์ เส้นให้สําเร็จนั้น ยากเสียยิ่งกว่าทะยานฟ้าเสียอีก

เริ่มจากวันที่สองของการต่อสู้ ประมุกห้าตระกูลใหญ่ต่างก็ทยอยให้มาปะทะฝีมือกับรพีพงษ์ พวกเขารอขึ้นเวทีในจังหวะ การประลองที่สิบ ในเวลานั้นรพีพงษ์คงจะหมดกำลังไปเยอะ จากศักยภาพของปรมาจารย์ สามารถจู่โจมให้รพีพงษ์ถึงแก่ชีวิต ได้ง่ายๆ

แต่พวกเขาประมาทฝีมือรพีพงษ์มากเกินไป

วันที่สอง ในการประลองที่สิบของรพีพงษ์ ประมุขตระกูล ตะกั่วทุ่งเป็นคนขึ้นประลอง หลังจากปะทะฝีมือกันแล้ว ก็โดนร พงษ์จู่โจมเสียแพ้ราบคาบ

วันที่สาม นิรภาพประมุขตระกูลตระกูลยสบวรเป็นคนขึ้น ประลองกับรพีพงษ์ ปรมาจารย์ที่อยู่ด้านหน้าค่อนข้างมีแวว เห็น ท่าทีรพีพงษ์ไม่เลว จึงปล่อยหมัดยุติการประลอง

วันที่สี่ ประมุขตระกูลตระกูลเมฆมหัสเป็นคนขึ้นประลองกับร พงษ์ เนื่องจากตรงหน้ามียอดฝีมือจากตระกูลใหญ่ทั้งห้าปรากฏ อยู่ตรงหน้า ในตอนการประลองครั้งสุดท้าย รพีพงษ์เหนื่อยจน หมดกำลัง สุดท้ายต้องออกหมัดเด็ด ชนะการประลอง

จนกระทั่งบัดนี้ ตระกูลใหญ่ทั้งห้าได้รู้แล้วว่ารพีพงษ์วิปริตแค่ ไหน

ส่วนรพีพงษ์ประลองกันมาวันติด เริ่มรับไม่ไหว จึงประกาศ พักการประลองสามวัน แล้วสามวันหลังจากนี้ เขาจะเข้าร่วมสิบ การประลองสุดท้าย ถ้าอยากจะเอาเขาให้ลง ก็เหลือโอกาส เพียงสิบครั้งเท่านั้น

ห้องโถงโรงแรมจันทร์ทอง
ตระกูลใหญ่ทั้งห้ามารวมตัวกันอยู่ที่นี่

ตอนนี้บรรยากาศในห้องโถงขมุกขมัว ตามความเข้าใจของ รพีพงษ์ไม่กี่วันนี้ พวกเขารู้สึกว่าการขจัดรพีพงษ์เป็นเรื่องที่ยาก ทําบากเหลือเกิน

ประมุขตระกูลตะกั่วทุ่งตบโต๊ะอย่างเดือดดาล กล่าว”ถ้ารู้ว่า เป็นแบบนี้ ตอนแรกพวกเราทั้งห้าตระกูลควรจะรวมตัวกันสู้กับ เจ้าหนุ่มนี่ ดูจากการต่อสู้เมื่อวาน ความสามารถเจ้าหนุ่มนี่ก็สุด แค่นี้ แต่พวกเรามักจะคิดว่าแค่คนๆเดียวขึ้นเวทีประลองก็คงเอา เจ้าหนุ่มนี้อยู่หมัด ช่างเลอะเลือนเสียจริง

“พี่ทัดเทพพูดถูก เมื่อวานผมรู้สึกได้ว่ารพีพงษ์เหนื่อย ถ้าไม่ใช่ ว่าเขารวมพลังสูงสุดในเฮือกสุดท้าย ผมว่าผมยังมีโอกาสพลิก เกมส์ได้ เสียดายที่ในห้าตระกูลใหญ่พวกเราบาดเจ็บไปสามคน เลยแสดงฝีมือออกไปเต็มที่ไม่ได้ อาศัยแต่พืชเยศกับพี่บดีศวร เกรงว่าคงไม่ไหว ธนพลพูดอย่างอ่อนใจ

บดีศวรกับชเยศเองก็เพิ่งรู้สึกว่ากลยุทธ์ของตนนั้นผิดพลาด แต่แรก

แต่จะไปโทษพวกเขาก็ไม่ได้ อย่างไรเสียในตอนเริ่มต้น ไม่มี ใครรู้ว่ารพีพงษ์น่ากลัวขนาดนี้ ถ้าพวกเขาผลัดกันต่อสู้กับรพี พงษ์ตั้งแต่แรก ทั้งวงการคงจะหัวเราะพวกเขาทั้งห้าที่ร่วมมือรัง แกคนๆเดียว

จะว่าไปหาเรื่องใส่ตัวชัดๆ

“เรื่องมาถึงขนาดนี้ พวกเราคงได้แต่งัดไม้สุดท้ายออกมาใช้ยังมีเวลาอีกสามวัน พวกท่านทั้งสามรีบฟื้นฟูแผลให้หาย ไม่มี ใครตั้งกติกาไว้ว่าคนแพ้จะขึ้นประลองอีกไม่ได้ ผมกับชเยศจะ เป็นตัวเลือกสุดท้าย การประลองกับเขาที่หนึ่ง หวังว่าคงจะรบ ชนะพวกเขา พอถึงเวลานั้น ก็ไม่ต้องคำนึงถึงเรื่องหน้าตาอีกต่อ ไป”บตีศวรเอ่ยปาก

“แม้ว่าจะเป็นแบบนี้ พวกเราก็ยังคงรบชนะรพีพงษ์ไม่ได้อยู่ดี เมื่อวานรพีพงษ์ประลองกับยอดฝีมือทีเดียวสามคน วันนี้พวกเขา ทั้งสามบาดเจ็บ พลังหายไปเยอะ เกรงว่าคงจะทำได้ไม่ดีเท่าเมื่อ วาน”

ชเยศพูดออกมาอย่างกังวลใจ

บดีศวรก็รู้ว่าสถานการณ์ตอนนี้ไม่เป็นที่น่าพอใจ แต่ว่าตอนนี้ พวกเขาไม่มีวิธีอื่นๆแล้ว จึงได้แต่ลองสู้ยกสุดท้าย

ในขณะที่ทุกคนกำลังทอดถอนหายใจ ชายสวมชุดคลุมสีดำก็

โผล่มา ส่วนหัวของเขาถูกคลุมด้วยฮู้ดที่ติดอยู่กับเสื้อคลุม เขา

เดินปรากฏกายเข้ามาในห้องโถง

“อย่ามองโลกในแง่ร้ายไปหน่อยเลย ผมช่วยทุกคนกําจัดร พงษ์ได้”


เพื่อการอัปเดตบทที่เร็วขึ้น กรุณาบริจาคสำหรับเว็บไซต์เพื่อซื้อบทใหม่! ขอขอบคุณ
THB

เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ