พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว

บทที่ 510 ตกลงทุกอย่าง



บทที่ 510 ตกลงทุกอย่าง

จิรเวชเดินไปหยุดตรงหน้าของดัมพ์รงค์ เขายิ้มอย่างเป็นมิตร และยื่นมือออกไปตบบ่าดัมพ์รงค์

“ถ้าผมเดาไม่ผิด คุณคือดัมพ์รงค์สินะ โอ๊ย มือฉัน เจ็บๆๆ ปล่อยนะ” ดัมพ์รงค์บีบข้อมือของจิรเวช ทำให้เขาร้องออกมา ทั้งๆ ที่ยังพูดไม่จบ

ดัมพ์รงค์จ้องจิรเวชแล้วถามขึ้นว่า “นายเป็นใคร”

“ฉันคือจิรเวชไง คนที่จ้างนายมา รีบปล่อยฉันนะ” จิรเวชพูด ด้วยสีหน้าเจ็บปวด

เมื่อดัมพ์รงค์ได้ยินชื่อของจิรเวช จึงปล่อยมือที่บีบข้อมือเขา

จิรเวชรีบลูบข้อมือของตัวเอง เมื่อกดัมพ์รงค์บีบจนเขาแทบจะอยู่

ร้องไห้ออกมา

เดิมทีเข้ากะจะทักทายดัมพ์รงค์อย่างเป็นกันเอง ใครจะไปรู้ว่า อีกฝ่ายจะทำร้ายเขาอย่างไม่พูดพร่ำทำเพลง นี่มันสิ่งที่จิรเวชไม่

ได้คิดมาก่อน

หลังจากที่เริ่มสงบลง จิรเวชหันไปมองโยษิตาอย่าง กระอักกระอ่วน หลังจากนั้นเขาจึงพูดกับดัมพ์รงค์ว่า “เมื่อกี้แค่ เรื่องเข้าใจผิดเล็กน้อย ฉันดีใจที่นายมาที่นี่”
คนมีฝีมือระดับนี้ จิรเวชไม่สามารถทําเป็นเล่นได้ เพราะฉะนั้น เขาจึงทำเป็นใจกว้างเมื่ออยู่ต่อหน้าสัมพ์รงค์

“นายให้ฉันมาฆ่าใคร” ดัมพ์รงค์พูดออกมาอย่างไม่อ้อมค้อม

จิรเวชหัวเราะออกมา แล้วพูดว่า “ฆ่าใครบางคนที่ทรยศ ตระกูล ดูจากฝีมือของนาย การฆ่ามันน่าจะเป็นเรื่องง่าย เพราะ ฉะนั้นเราจึงไม่รีบร้อน สองวันนี้ฉันจะให้คนจัดที่พักให้นาย ให้ นายได้พักและเที่ยวเล่นก่อน ถ้าฉันเตรียมการพร้อมแล้ว เรา ค่อยลงมือ เพื่อที่รับประกันว่าจะฆ่าไอ้ทรยศนั่นให้ตายได้ทันที

“ไม่จำเป็น ถ้าไม่ลงมือตอนนี้ งั้นนายค่อยติดต่อฉันมาตอนจะ ลงมือ นี่เบอร์โทรฉัน” ดัมพ์รงค์โยนเศษกระดาษให้จิรเวช จาก นั้นก็หันหลังเดินออกไปโดยไม่พูดยืดเยื้อ

จิรเวชเห็นท่าทางเด็ดเดี่ยวของดัมพ์รงค์ก็ตกใจ คิดไม่ถึงว่าไอ้ หมอนี่จะไม่ไว้หน้าเขา จะไปก็ไป นี่มันทำให้เขาหงุดหงิดใจจริงๆ

แต่ว่าตอนนี้เขาต้องพึ่งดัมพ์รงค์เพื่อกำจัดรพีพงษ์ ดังนั้นเขา จึงไม่กล้าพูดอะไร เขาตะโกนไล่หลังดัมพ์รงค์ว่า “นายเดินทาง ดีๆ ถ้าพร้อมแล้วฉันจะติดต่อนาย

เมื่อเห็นว่าดัมพ์รงค์เดินออกไปแล้ว เขามีสีหน้าเคร่งขรึม จาก นั้นจึงหันไปมองโยษิตา “เขามาถึงแล้ว ต่อไปก็ทำตามแผน ให้ คนไปจองโรงแรม แล้วส่งการ์ดเชิญไปให้ตระกูลลัดดาวัลย์กับ หอการค้าสมน. บอกว่าฉันจะขอโทษรพีพงษ์ ครั้งนี้ฉันต้องให้มัน คุกเข่าอ้อนวอนฉันให้ได้!”

โยษิตาพยักหน้า ความคาดหวังปรากฏบนใบหน้าของเธอ
คฤหาสน์ใหญ่ตระกูลลัดดาวัลย์

รพีพงษ์กำลังนั่งอ่านหนังสือที่โต๊ะ ขณะนั้นมือถือก็ดังขึ้น เขา หยิบมือถือขึ้นมาดู จู่ๆ เขาก็ตกใจ

“ดัมพ์รงค์มาเกียวโต?”

เขาจ้องมือถืออยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงลุกขึ้นแล้วเดินออกจาก ห้องหนังสือ

จนกระทั่งตอนบ่าย รพีพงษ์กลับมาที่คฤหาสน์ใหญ่ตระกูลลัด ดาวัลย์อีกครั้ง

เขาไปยืดเส้นยืดสายในสวนบริเวณบ้าน ขณะนั้นท่านคทาเดิน มาและยื่นการ์ดเชิญให้เขา “กรุ๊ปKIN ส่งการ์ดเชิญมา ฝั่งนั้น บอกว่าจะขอโทษคุณ แล้วก็เชิญหอการค้าสมน. ด้วยครับ”

รพีพงษ์รับการ์ดเชิญมาแล้วพูดกับท่านคทาว่า “แจ้งฝั่งนั้นไป ว่าผมจะไป ให้เขาเตรียมเหล้าและอาหารดีๆ ให้ผมด้วย

ช่วงค่ำที่อาคารTY

ภายในห้องผู้ป่วย รพีพงษ์กับธีรศานติ์ยืนอยู่ข้างเตียงของจา รุณี มองจารุณีที่ยังไม่ลืมตา

หลังจากที่ชุติเทพรักษาจารุณีเรียบร้อย เขาเตรียมยาที่ต้องใช้ ไว้ในรายการ เขียนสิ่งที่ต้องให้ความสำคัญเวลาต้มยาไว้ และกําชับให้ธีรศานติป้อนยาจารุณีให้ตรงเวลาเสร็จเรียบร้อย เขาก็ ออกจากเกียวโต

“จิรเวชเชิญเราไปครั้งนี้ ดูภายนอกบอกว่าเชิญไปเพื่อขอโทษ แต่ผมว่าเรื่องมันไม่น่าจะง่ายขนาดนั้น เขาต้องวางกับดักอะไรไว้ แน่ๆ ผมว่าอย่าไปเจอเขาดีกว่า” ธีรศานติ์เอ่ยขึ้น

รพีพงษ์ยิ้มแล้วพูดว่า “อย่าคิดว่าเรื่องมันจะร้ายแรงขนาดนั้น ถ้าเขาอยากขอโทษผมขึ้นมาจริงๆ ล่ะ เราไปตามที่เขาเชิญ พอแล้ว เขาทำอะไรไม่ได้หรอก คุณวางใจได้เลย”

ธีรศานติ์ขมวดคิ้วเหมือนยังกังวลอยู่

“จารุณีดื่มยาที่ชุติเทพจัดให้ครบเจ็ดวันแล้วใช่ไหม” รพีพงษ์ พูดเปลี่ยนเรื่อง

ธีรศานติพยักหน้าแล้วถอนหายใจ “หมอเทพมีฝีมือทางการ แพทย์ก็จริง แต่อาการของจารุณีค่อนข้างสาหัส อาจจะทำให้ หมอวินิจฉัยพลาดไป จนถึงตอนนี้ก็จารุณียังไม่ฟื้นเลย”

รพีพงษ์มองจารุณีแล้วพูดว่า “ชุติเทพไม่พูดเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ วันนี้ครบหนึ่งสัปดาห์พอดี รออีกหน่อย ไม่แน่เดี๋ยวจารุณีอาจจะ ฟื้นขึ้นมาก็ได้”

ธีรศานติ์พยักหน้า เรื่องมาถึงขนาดนี้แล้ว เขาก็ทำได้ปลอบใจ ตัวเอง

จากนั้นทั้งสองก็เฝ้าอยู่ข้างเตียงของจารุณี เพื่อรอให้เธอฟื้นขึ้นมา
จนเมื่อถึงเวลาเที่ยงคืน ไม่มีวี่แววว่าจารุณีจะฟื้นขึ้นมา ขนาด รพีพงษ์ยังสงสัยว่าการวินิจฉัยของชุติเทพอาจจะผิดพลาด

ช่วงกลางวันธีรศานติ์จัดการงานที่บริษัท ตกดึกก็ยังต้องมา เฝ้าจารุณี ทําให้เขาร่างกายรับไม่ไหว รพีพงษ์จึงให้เขาไปพัก ผ่อน

หลังจากที่ธีรศานติออกไป รพีพงษ์นั่งอยู่ที่ข้างเตียงของจารุณี โดยมีแสงสว่างจากไฟดวงเล็กๆ เท่านั้น แสงสลัวส่องไปที่ ใบหน้าของจารุณี สะท้อนให้เห็นถึงสีหน้าที่ไร้ชีวิตชีวาของเธอ ในตอนนี้

เธออยู่ในอาการโคม่ามาเป็นเวลานานและไม่สามารถทาน อาหารได้ ทำได้เพียงส่งของเหลวที่เป็นสารอาหารเข้าไปใน ร่างกายของเธอ เมื่อเป็นเช่นนี้ทำให้ร่างกายของเธออ่อนแอกว่า แต่ก่อนมาก เธอซูบผอมมาก

“จารุณี ฉันรู้ว่าเธอกำลังล้อฉันเล่นอยู่ใช่ไหม ที่จริงเธอฟื้นขึ้น มาแล้ว แต่เธอโกรธฉันเลยจงใจไม่พูด ใช่ไหม” เวลาตีหนึ่ง กว่าๆ รพีพงษ์มองจารุณีที่ยังไม่มีวี่แววที่จะจะฟื้นขึ้นมา เขา กระวนกระวายใจ

“ถ้าเธอยังโกรธฉันอยู่ ก็พูดออกมาสิ ฉันสัญญาว่าจะฟังเธอ เธอจะตีจะด่าฉันก็ไม่เถียง ถ้าเธอขอร้องอะไรฉันจะตกลงทุก อย่าง ขอแค่เธอฟื้นขึ้นมาได้ไหม

หลังจากที่เขาพูดจบ ผ่านไปพักใหญ่ จารุณีก็ยังไม่ฟื้น รพีพงษ์ก้มหน้าลงอย่างสิ้นหวัง ในใจของเขามีทั้งความเสียใจและโทษตัวเอง ถึงแม้จะรู้ว่ารู้สึกไปก็ไม่มีประโยชน์

“จะ…จริงเหรอ นายจะตอบตกลงฉันทุกอย่างเหรอ” ขณะที่รพีพงษ์กำลังสิ้นหวัง เขาพบว่าไม่รู้เมื่อไรที่เด็กคนนี้ ลืมตาขึ้นมา เธอมองเขาน้ำตาคลอเบ้า

เหมือนยกภูเขาออกจากอก เขายิ้มให้จารุณีอย่างจริงจัง แล้ว พูดด้วยความเอ็นดูว่า “จริงสิ”


เพื่อการอัปเดตบทที่เร็วขึ้น กรุณาบริจาคสำหรับเว็บไซต์เพื่อซื้อบทใหม่! ขอขอบคุณ
THB

เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ