พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว

บทที่415 บันไดเมนภา



บทที่415 บันไดเมนภา

เมื่อรพีพงษ์เห็นจงจินตน์ร้องขอความเมตตา จึงค่อยหยุด จากนั้นหันไปมองข้างหลัง และพูดอย่างเย็นชา “ยังมีใครไม่ พอใจอีกบ้าง?”

ทุกคนถอยหลังไปสองก้าว โดยไม่รู้ตัว และหลายคนก็จับ เป้าของตัวเองไว้โดยไม่รู้ตัว

ความแข็งแกร่งของรพีพงษ์ที่แสดงออกนั้นไม่ต้องสงสัย ใดๆเลย ในห้องหมายเลขสิบสามนี้ ความแข็งแกร่งของจง จินตน์นั้นก็ไม่ต้องสงสัยใดๆเลย รพีพงษ์สามารถเอาชนะให้ ผู้ชายจงจินตน์กลายเป็นผู้หญิงเสียงแหลมเล็กได้อย่าง ง่ายดาย นั้นเพียงพอที่จะให้แสดงความเห็นความน่ากลัว ของรพีพงษ์

ตอนนี้จงจินตน์หันกลับมา และตะโกนใส่ทุกคน: “จากนี้ ไปเขาก็คือลูกพี่ของห้องพวกเรา พวกแกมีใครไม่พอใจ ผ่าน ด่านฉัน ให้ได้ก่อน จากนี้ไปผมก็คือสุนัขรับใช้ที่ซื่อสัตย์ของ ลูกพี่ พวกแกได้ยินชัดไหม!

น้ำเสียงของจงจินตนไม่แข็งกร้าวเหมือนเมื่อก่อน แต่กลับ เปลี่ยนเป็นอ่อนโยน เมื่อรพีพงษ์ได้ยินตอนที่เขาพูด ก็สงสัย ว่าเท้าของตัวเองที่เตะไปไม่กี่ทีจนทำให้เขามีปัญหา
ทุกคนได้ยินเสียงของจงจินตน์ ก็อยากจะหัวเราะ แต่ก็อด กลั้นไว้ พยักหน้าอย่างรวดเร็ว แล้วตะโกนใส่รพีพงษ์: “ยินดี ต้อนลูกพี่!”

จงจินตนหันหัวมา ยิ้มประจบประแจงให้กับรพีพงษ์ แล้ว พูดว่า: “ลูกพี่ จากนี้ไปทุกคนในห้องนี้จะเชื่อฟังพี่ ผมก็เป็น ลูกน้องเบอร์หนึ่งของพี่ พี่มีเรื่องอะไรก็สั่งผมมาก็พอ

“เล่าสถานการณ์ที่นี่ให้ฉันฟัง”รพีพงษ์พูด เขารู้สึกงงงวย เล็กน้อย ยังไงก็ตามจงจินตน์ก็เป็นลูกพี่ของที่นี่ เพียงแต่ว่า ถูกตัวเองเตะไม่กี่ที ก็ยกตำแหน่งลูกพี่ให้กับเขาอย่างเปิด เผยตรงไปตรงมา ทำให้เขารู้สึกแปลกๆ

ดูท่าทางของจงจินตน์ หลังจากที่ยกตำแหน่งลูกพี่ให้กับ เขาแล้ว รู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก

จงจินตนพยักหน้าทันที และพูดว่า “พวกเราไปพูดกันที่นั่ง อีกฝั่งของเตียงเถอะ ลูกพี่เมื่อกี้พี่เพิ่งฟื้นขึ้นมา ร่างกายอาจ ยังไม่ฟื้นตัวคืนมา”

รพีพงษ์ก็ไม่ได้ปฏิเสธ และเดินตามจงจินตนไปที่ด้านหนึ่ง ของห้อง ด้านนั้นเป็นเพียงหนึ่งแถว มีผ้าห่มอยู่หลายผืน เพียงพอให้คนเหล่านี้นอน

แน่นอนว่า รพีพงษ์ก็คิดถึงความเป็นไปได้อีกอย่างหนึ่ง เตียงนอนที่นี่จัดเตรียมไว้เหมาะสมพอดี แต่ก็ไม่ได้ หมายความว่าทุกคนจะรอดชีวิตมานอนอยู่บนเตียงนี้ได้
หลังจากมาถึงบนเตียง จงจินตนก็พารพิพงษ์ไปที่เตียงของ ตัวเขาเองอย่างกระตือรือร้น เตียงของเขาสะอาดกว่าคนรอบ ข้างมาก และผ้าห่มก็พบวางซ้อนกันอย่างเรียบร้อย

“ลูกพี่ นี่คือเตียงของผม สะอาดที่สุดในห้องนี้ พูดตรงๆ แบบไม่ปิดบัง ผมรักความสะอาด ทนไม่ได้กับสภาพ แวดล้อมที่สกปรกเกินไปไม่ได้ เด็กพวกนั้นก็ไม่กล้าทำให้ เตียงฉันสกปรก ตอนที่จงจินตนพูด ใบหน้าที่แสดงถึง ความภาคภูมิใจออกมา

รพีพงษ์เหลือมองไปที่เตียงของจงจินตน์ จากนั้นก็เหลือบ มองไปเห็นเตียงนอนที่ไม่มีคนเคยขยับที่อยู่ไม่ไกล แล้วถาม “แล้วจากนี้ไปฉันต้องนอนที่นั่นเหรอ?”

จงจินตนพยักหน้า แล้วพูดว่า “ใช่แล้วครับ พวกเราที่นี่ ปฏิบัติอย่างเท่าเทียมกัน แม้ว่าจะเป็นลูกพี่ ที่นอนก็ไม่แตก ต่างมากนัก สะอาดไม่สะอาด ขึ้นอยู่กับความชอบของตัวเอง

ทั้งหมด”

รพีพงษ์พยักหน้าอย่างครุ่นคิด จากนั้นชี้นิ้วไปที่เตียงที่ ไม่มีคนเคยขยับ และพูดว่า “หลังจากนี้ไปนายนอนที่นั่น

จากนั้นเขาก็นั่งบนเตียงนอนตรงหน้า และพบว่าเตียงนอน นี้สะอาดกว่าเตียงนอนอื่นๆมาก

จงจินตน์นิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง แล้วก็เข้าใจรพีพงษ์หมายความ ว่าอะไร และพูดอย่างไม่เต็มใจ: “ลูกพี่ ผ้าห่มและผ้าปูที่นอนของผมต้องเสียแรงมากมายถึงได้มันมาอยู่ในที่แบบนี้อยาก ได้ผ้าห่มที่สะอาดมาสักชุดมันไม่ง่ายเลยนะ……

“ทำไม หรือว่านายจะฝ่าฝืนคำสั่งของลูกพี่อย่างฉันเห รอ?”รพีพงษ์พูดอย่างเย็นชา

จงจินตนรู้สึกหวาดกลัวกับรัศมีของรพีพงษ์ จากนั้นก็ กัดฟัน และพูดว่า: “เป็นเกียรติสำหรับผมมากที่ได้เตรียม เตียงนอนที่สะอาดให้กับลูกพี่”

รพีพงษ์ยิ้มแล้วพยักหน้า จากนั้นให้จงจินตน์เล่า สถานการณ์ของที่นี่ให้

จงจินตน์ก็เล่าเป็นฉากเป็นตอน รพีพงษ์ก็รู้คร่าวๆว่าตอนนี้ ตัวเองอยู่ที่ไหน เป็นสถานที่แบบไหน

ที่นี่คือเทือกเขาสนา ที่สำคัญพวกเขาอยู่ใต้ดิน พูดให้ ชัดเจน พวกเขาเทียบเท่ากับเป็นนักโทษที่ถูกเทือกเขาสนา ขังไว้

ที่นี่มีทั้งหมดสิบห้าห้องที่เหมือนกับห้องพวกเขา ห้องพวก เขาคือห้องหมายเลขสิบสาม ทุกห้องจะมีประมาณยี่สิบกว่า คน ทุกคนในที่นี้ ก็ผ่านวิธีการเข้ามาเหมือนรพีพงษ์

จุดประสงค์ของการคัดกรองคนเหล่านี้ของเทือกเขาสนา สอดคล้องกับข่าวลือที่รพีพงษ์ได้ยินมา พวกเขามาที่นี่ จุด ประสงค์เดียว ก็คือต่อสู้ ภายใต้การชมของกลุ่มผู้มั่งคั่งชั้นนำของโลก เข้าสู่การต่อสู้ความเป็นความตาย

เพื่อให้เป็นที่นิยมมากขึ้น พวกเขาเหล่านี้ ล้วนเป็นนักมวย ที่เทือกเขากิสนาเลี้ยงดู และอยู่ในที่เทือกเขาสนาแบบนี้ เป็นเหมือนเวทีประลองระดับโลก

แน่นอนว่าเทือกเขาสนาไม่ได้หาแค่พวกเดนตายเข้ามา ทำการต่อสู้เข่นฆ่า ที่นี่มียอดฝีมือที่แข็งแกร่งทรงพลังกว่านั้น แต่พวกเขาจะไม่มีทางปรากฏในห้องขังแบบนี้ การปฏิบัติตัว ต่อยอดฝีมือเหล่านั้น ดีกว่าพวกเขาหลายเท่า

แต่ละห้องของที่นี่ ก็เทียบเท่ากับกลุ่มเล็กๆ เพื่อให้กลุ่ม เล็กๆเหล่านี้เกิดความขัดแย้งที่รุนแรง อยู่บนเวทีประลอง ยิ่งต้องมีความพยายาม คนของเทือกเขาสนาจะให้อาหาร สิบห้าห้องทุกเดือนตามที่กำหนดไว้อยู่แล้ว แต่จะได้รับ เท่าไร ขึ้นอยู่กับประสิทธิภาพของแต่ละห้องที่อยู่บนเวที ประลอง

ห้องที่มีพละกำลังโดยรวมอ่อนแอ จะได้รับอาหารน้อย มาก ที่สำคัญคุณภาพแย่มาก โดยไม่มีสารอาหาร การเผชิญ หน้ากับความแข็งแกร่งสูง สารอาหารตามไม่ทัน ต่อให้ความ แข็งแกร่งเพียงพอ แต่ก็ออกแรงมากไม่ได้เพราะร่างกายขาด พลังงาน

เพราะแบบนี้ ที่นี่คนที่มีพละกำลังน้อย จะถูกกำจัดในไม่ ช้า ดังนั้นผู้ที่สามารถอยู่ต่อไปได้ คือผู้ที่มีพละกำลังที่เหมาะจากข้อมูลของจงจินตน์ ห้องหมายเลขสิบสามของพวกเขา เป็นห้องที่ค่อนข้างแย่ คนที่นี่ไม่ได้กินอาหารเพียงพอมาเป็น เวลานานแล้ว

ตอนที่พูดจงจินตน์ยังรู้สึกผิด ท่าทางราวกับกำลังบอกว่า ต้นเหตุไม่ใช่เขา

เนื่องจากที่นี่เป็นสถานที่เคารพกับความแข็งแกร่ง เมื่อมี สถานการณ์ที่อาหารไม่เพียงพอ คนในห้องเหล่านี้จึงมีแนว โน้มที่จะต่อสู้กันเพื่อแย่งชิงอาหาร

เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น คนในเทือกเขาสนา กำหนดไว้ว่าทุกห้องต้องมีลูกพี่ลูกพี่คนนี้ในเวลาปกติ จะได้ รับความสะดวก มีสิทธิ์ในการจัดการทั้งห้องทั้งหมด

แต่เมื่อมีสถานการณ์ที่อาหารไม่เพียงพอ ลูกพี่จำเป็นต้อง ออกมา ท้าทายลูกพี่ในห้องอื่นๆ หากสามารถชนะได้ ก็ สามารถแบ่งอาหารครึ่งหนึ่งจากห้องของพวกเขาไปได้ และ ถ้าแพ้ เทือกเขาสนาก็จะแบ่งอาหารให้ห้องนี้ แต่ว่าลูกพี่คน นี้มีเพียงทางตายทางเดียว

เมื่อฟังจากคำพูดของจงจินตน์ รพีพงษ์ถึงค่อยเข้าใจว่า ทำไมตอนนั้นจงจินตนถึงยอมสละตำแหน่งลูกพี่ให้กับตัวเอง เขาเพิ่งรู้ว่าห้องหมายเลขสิบสามมีแต่พวกไก่อ่อน ไม่ช้าไม่ เร็วก็มีตอนที่อาหารไม่เพียงพอ ถึงเวลานั้นเขาก็ต้องพยายามอย่างเต็มที่แล้ว

ดังนั้นตำแหน่งลูกพี่สละออกไป เขาก็จะสบายใจไปบ้าง อย่างน้อยก็ไม่ต้องใช้ชีวิตของตัวเองไปแย่งอาหารแทนคน

เหล่านี้

หลังจากที่ฟังจบ รพีพงษ์ขมวดคิ้ว จงจินตน์เพียงแต่พูดถึง สถานการณ์ทั่วไปที่นี่ และไม่ได้พูดข้อมูลที่เป็นประโยชน์มาก

เขามาที่นี่เพื่อตามหานนทภู ไม่ได้มาที่นี่เพื่อนเป็นนักมวย

ประลอง

“นายเคยได้ยินชื่อนนทภูชื่อนี้มั้ย?”รพีพงษ์ถาม

จงจินตนคิดอยู่พักหนึ่ง แล้วส่ายหัวให้กับรพีพงษ์ แล้วพูด ว่า “ไม่เคยได้ยิน แม้ว่าผมจะอยู่ที่นี่มาสามปีกว่า แต่ไม่เคย ได้ยินชื่อนี้มาก่อนเลย”

รพีพงษ์พยักหน้า นนทภูหายไปเกือบเจ็ดแปดปีก่อน เป็น เรื่องปกติที่คนที่นี่ไม่เคยได้ยินชื่อของเขา

ถ้าอย่างนั้นนายรู้วิธีออกจากที่นี่ ขึ้นไปบนพื้นดินหรือ เปล่า?”รพีพงษ์ถาม

“พี่ก็อย่าคิดเรื่องนี้เลย นอกจากตอนที่ให้พี่ขึ้นไปเวที ประลอง ในเวลาอื่นๆ อย่าคิดที่ได้ออกไป ถ้าพี่กล้าหลบหนี ออกจากคุก จะถูกยอดฝีมือของเทือกเขากิสนาไล่ฆ่า พี่คงไม่รู้ว่าแนวคิดของยอดฝีมือเทือกเขาก็สนาคืออะไร พูดแบบ นี้กับพี่ละกัน ในกลุ่มของพวกเขาแค่คนใดคนหนึ่ง ก็สามารถ ฆ่าทุกคนในห้องพวกเราได้สิบห้าคน” จงจินตนพูดเตือน

รพีพงษ์เลิกคิ้ว ไม่คาดคิดว่ายอดฝีมือของเทือกเขาสนา จะแข็งแกร่งขนาดนี้

“ถ้าอย่างนั้นบันไดเห็นนภาก่อนหน้านั้นที่พวกนายพูดถึง คืออะไร?”รพีพงษ์ถาม

จงจินตนยิ้มอย่างจนใจ แล้วพูดว่า “สิ่งนั้นนายก็อย่า แม้แต่จะคิดเลย สิ่งนี้เกือบจะเป็นตำนานของที่นี่ อันที่จริง บันไดเห็นนภาก็คือการท้าทายแข่งขันอย่างต่อเนื่อง พี่ต้อง ใช้เวลาภายในหนึ่งวัน ต้องท้าทายยอดฝีมือเก้าคนของ เทือกเขากิสนาต่อเนื่อง ความแข็งแกร่งของเก้าคนนี้แต่ละ คนนั้นแข่งกันแข็งแกร่ง ได้ยินมาว่าคนสุดท้าย มีพลังในการ เจาะกำแพงด้วยนิ้วเดียว เขาสามารถแทงคนตายด้วยนิ้ว ตั้งแต่การมีอยู่ของเทือกเขาสนาจนถึงวันนี้ มีเพียงสองคนที่ ประสบความสําเร็จบันไดเห็นนภา ถ้าหาว่าสำเร็จ พี่ก็จะมี อิสระในเทือกเขาสนา ที่สำคัญได้รับความชื่นชอบ โปรดปรานของเจ้านายเทือกเขาสนา สามารถพูดได้ว่า ผ่านบันไดเห็นนภาได้หนึ่งด่าน แต่ผู้ที่สามารถปีนบันไดเห็น นภาได้สำเร็จนั้นไม่ใช่ยอดฝีมือระดับของโลก คนแบบนี้ไม่ ว่าจะไปถึงไหนก็เป็นผู้มีอิทธิพลแห่งยุค อยากสำเร็จบันได เหินฟ้า ยากเกินไปจริงๆ คนที่ผมรู้จักที่พยายามท้ายบันไดเห็นนภา มักจะถูกฆ่าตายหากไม่ผ่านด่านแรก

หลังจากได้ยินคําอธิบายของจงจินตน์ รพีพงษ์ก็ครุ่นคิด สิ่งที่เขาสนใจไม่ใช่ความยากลำบากของบันไดเห็นนกา แต่ รู้ว่าเทือกเขาสนาไม่มีทางออกไปได้ เพียงแค่สำเร็จบันได เห็นนภา ก็จะเป็นอิสระ เพียงแต่ว่าถ้าอยากสําเร็จ ความยาก มีมากเท่านั้นเอง ดังนั้นจนถึงตอนนี้ประสบความสำเร็จไปแค่ เพียงสองคน

แม้ว่าจะไม่รู้แน่ชัดว่ายอดฝีมือในเทือกเขาสนามีความ แข็งแกร่งเพียงใด อย่างน้อยรพีพงษ์ก็รู้ว่าตัวเองจะไม่ติดอยู่ ที่นี่ไปตลอดชีวิต ถ้าหากสามารถหาที่อยู่ของนนทภูได้ อย่าง นั้นเขาก็ไม่รังเกียจที่จะไปลองบันไดเห็นนภานี้

ตอนนี้ที่เขาเพิ่งมาถึงสถานที่แห่งนี้ และยังไม่คุ้นเคยกับ หลายๆสถานการณ์ ดังนั้นจึงไม่สามารถทำสิ่งเหล่านี้อย่าง บุ่มบ่ามได้ ทุกอย่างต้องรอจนกว่าคุ้นเคยกับสถานการณ์ที่นี่

ขณะที่รพีพงษ์และจงจินตน์กำลังพูดคุยกัน มีเจ้าหน้าที่ของ เทือกเขาสนาได้เข้ามาจัดการกับศพชายคนหนึ่ง จากนั้นมี ชายคนหนึ่งสวมชุดเครื่องแบบสีดำก็เดินมาหาพวกเขา และ พูดอย่างใบหน้าไร้ความรู้สึก “ห้องหมายเลขสิบสาม ตอน บ่ายจะมีการแข่งขันประลอง คู่ต่อสู้ของพวกนายคือห้อง หมายเลขเจ็ด ต่อสู้ระยะประชิดสิบคน ฝ่ายพวกนายออกไป ห้าคน ถ้าหากว่าครั้งนี้พวกนายแพ้อาหารของพวกนายจะได้ คุณภาพที่แย่ที่สุด”
เมื่อได้ยินคําพูดของคนคนนั้น ทุกคนในห้องก็เงียบลง

ทันที


เพื่อการอัปเดตบทที่เร็วขึ้น กรุณาบริจาคสำหรับเว็บไซต์เพื่อซื้อบทใหม่! ขอขอบคุณ
THB

เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ