พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว

บทที่ 340 เพื่อนวัยเด็ก



บทที่ 340 เพื่อนวัยเด็ก

หลังออกมาจากสำนักบูโดวงแสง รพีพงษ์มุ่งหน้าไปยังร้าน อาหารแห่งหนึ่งบริเวณนั้น

ตอนนี้เที่ยงพอดี เขารู้สึกหิวจึงไปหาอะไรทาน และร้าน อาหารที่เขากำลังจะไปคือร้านอาหารที่เขาชอบมาในวัยเด็ก นี่ก็ผ่านมาหลายปีแล้ว ไม่รู้ว่าร้านนั้นยังเปิดอยู่ไหม

เขาจำได้ว่าตอนเด็กไม่มีเพื่อนเล่น จึงมาทานอาหารร้านนี้ บ่อยๆ และได้เล่นกับลูกชายเจ้าของร้าน ไม่รู้ว่าลูกชายของ เจ้าของร้านยังจำเขาได้ไหม

ผ่านไปครู่หนึ่ง รพีพงษ์มาถึงหน้าร้านอาหารที่ตกแต่งนับ ว่าพอใช้ได้ หน้าร้านอาหารแขวนป้ายว่าร้านเกี๊ยวเจ๊คโอม เขาจำได้ว่าตอนเด็กๆ ชื่อร้านคือร้านอาหารเจ๊ค โอม คิดไม่ ถึงว่าจะเปลี่ยนเป็นร้านเกี่ยวแล้ว

เขาเดินเข้าไปในร้าน ข้างในมีลูกค้าพอสมควร โต๊ะกว่า ครึ่งถูกจับจองเอาไว้แล้ว

รพีพงษ์เดินไปนั่งลงที่โต๊ะตัวหนึ่ง คงจะเพราะลูกค้าเยอะ เขารออยู่ครู่หนึ่งพนักงานจึงเดินเข้ามา เขาจำได้ว่าตอนเด็ก กิจการของที่นี่ดีมาก มีบางครั้งที่ลูกค้าเยอะจนเขากับลูกชาย เจ้าของร้านต้องมาเป็นพนักงานเอง
ตอนนี้กิจการของร้านก็ยุ่งเช่นกัน รพีพงษ์ไม่ได้ตะโกน เรียกพนักงาน เขาลุกขึ้นแล้วเดินไปทางห้องครัว รพีพงษ์ ผลักประตูห้องครัวเข้าไปเจอกับคนที่อายุรุ่นราวคราวเดียว กับเขา แต่ดูเหมือนว่าใบหน้าของชายคนนั้นจะมันเยิ้มกว่า เขาเยอะ ชายคนนั้นกำลังยืนกำกับอยู่หลังครัว

เมื่อรพีพงษ์เห็นชายคนนั้นครั้งแรก เขาก็แน่ใจได้ว่าชาย คนนั้นคือเพื่อนที่เล่นด้วยกันกับเขาในวัยเด็ก ชื่อของเขาคือ ก่อเกียรติ

ดูเหมือนว่าตอนนี้ก่อเกียรติจะเป็นคนจัดการร้านนี้แล้ว ท่าทางเร่งรีบเหมือนกับตอนที่รพีพงษ์กับเขาเร่งรีบกันเสิร์ฟ อาหารไม่มีผิด

ขณะนั้นเองก่อเกียรติสังเกตว่าประตูหลังห้องครัวถูกเปิด ออก เขาจึงหันหน้ามามอง เมื่อเห็นว่าเป็นคนแปลกหน้า เขา จึงรีบพูดขึ้นมาว่า “คุณรอสักครู่ อีกแป็บอาหารก็จะเสร็จแล้ว ผมกำลังเร่งพวกเขาอยู่ คุณก็เห็นนี่”

รพีพงษ์หัวเราะแล้วพูดว่า “นายจำฉันไม่ได้เหรอ”

ก่อเกียรติมองรพีพงษ์อีกครั้ง แววตาเขาฉายแววความ สงสัย แต่ไม่นานเขาก็เบิกตาโต แล้วพูดอย่างดื่นเต้นว่า “นายคือรพีพงษ์ไข่ไหม”

รพีพงษ์ยิ้มแล้วพยักหน้า “คิดไม่ถึงว่านายยังจำฉันได้ ฉัน คิดว่าผ่านมาหลายปี นายจะลืมฉันแล้ว”
“ช่า ช่า ฉันจะลืมนายได้ยังไงล่ะ ตอนเด็กนายมาเล่นที่ บ้านฉันบ่อยๆ นายลืมแล้วเหรอว่าตอนเด็กฉันกับนายเคย เป็นพนักงานที่ร้าน ยุ่งจนหัวหมุนเลย” ก่อเกียรติหัวเราะออก มา “ตอนนี้ฉันยุ่งอยู่ นายไปนั่งข้างนอกก่อนเถอะ เดี๋ยวฉัน เสร็จงาน เราไปหาอะไรดื่มกันหน่อย”

“ฉันก็ไม่มีอะไรทำ เดี๋ยวฉันช่วยนายเอง อยากสัมผัสการ เป็นพนักงานอีกครั้งหนึ่ง” รพีพงษ์หัวเราะแล้วพูดออกมา

ก่อเกียรติไม่ได้ปฏิเสธ เขาไม่รู้ว่ารพีพงษ์คือคนในตระกูล ลัดดาวัลย์ ตอนเด็กๆ รพีพงษ์แอบมาเล่นกับก่อเกียรติ ครอบครัวของก่อเกียรติเห็นรพีพงษ์แต่งตัวดี แต่ก็คิดว่าเป็น ลูกของเศรษฐีคนใดคนหนึ่ง โดยไม่ได้คิดว่าเขาจะอยู่ใน ตระกูลลัดดาวัลย์

อีกอย่างพวกเขาค้าขายในร้านอาหารมาเป็นเวลานาน

คลุกคลีแต่กับคนทั่วไป จะไปคิดได้อย่างไรว่าเด็กที่มาเล่น กับลูกชายเขาจะเป็นคุณชายตระกูลลัดดาวัลย์แห่งเกียวโต ไม่นานอาหารถูกยกออกมาจากห้องครัว พนักงานเดิน ออกไปแล้ว รพีพงษ์รับอาหารจานนั้นแล้วถามว่าเป็นของโต๊ะ

ไหน จากนั้นเขาจึงเดินออกไปหน้าร้าน

รพีพงษ์ยกอาหารเดินเข้าไปที่โต๊ะตัวหนึ่ง โต๊ะนี้มีคนนั่ง ล้อมกันหกคน เป็นผู้ชายห้าคนผู้หญิงหนึ่งคน ซายทั้งห้าคน นั่งหลังตรงอย่างสุภาพ การกระทำของพวกเขาดูเป็นระเบียบดูก็รู้ว่าไม่ใช่คนธรรมดา

ส่วนผู้หญิงอีกคนดูแล้วไม่ได้มีราศีเหมือนกับผู้ชายทั้งห้า คน แต่ใบหน้าของเธอดูมีความเด็ดเดี่ยวแตกต่างจากผู้หญิง ทั่วไปเล็กน้อย

เพราะว่าคนที่นั่งโต๊ะนี้ค่อนข้างพิเศษ รพีพงษ์จึงมองพวก เขา ผู้หญิงคนนั้นเห็นรพีพงษ์จ้องพวกเธอ เธอจึงมองด้วย ท่าที่ดูถูก แล้วพูดออกมาว่า “มองอะไร จะเสิร์ฟก็เสิร์ฟสิ พวก เรารอนานแล้วนะ มัวยืนอึ้งอะไรอยู่”

“ขอโทษครับ” รพืพงษ์ตั้งสติได้ จึงรีบวางอาหารลงบน โต๊ะ แต่ทว่าเขารีบเกินไป จนทำให้จานเกือบหลุดออกจาก มือเขา

ดีที่เขามีปฏิกิริยารวดเร็ว เขาจึงจับจานได้อย่างรวดเร็ว และวางอาหารลงบนโต๊ะได้อย่างเรียบร้อย

ภาพนี้เรียกความสนใจจากชายที่ค่อนข้างมีอายุที่นั่งอยู่ ตรงหัวโต๊ะ เขามองรพีพงษ์ตั้งแต่หัวจรดเท้า แววตาของเขา เหมือนมีเลศนัย

แต่หญิงสาวมีแววตาไม่พอใจ เธอพีมพำออกมาว่า “พนักงานที่นี่ไม่เป็นมืออาชีพเอาเสียเลย เสิร์ฟอาหารยังไม่ คล่อง ดูเหมือนว่าเกียวโตจะไม่มีอะไรดีสักอย่าง พนักงานใน ร้านอาหารยังเทียบไม่ได้กับที่โน่นเลย”
“ขอโทษจริงๆ ครับ วันนี้ที่ร้านยุ่งมาก เลยทำให้คุณได้ อาหารช้า ผมจะเร่งคนในครัวให้ทำอาหารที่เหลือของคุณให้ นะครับ” รพีพงษ์เลียนแบบน้ำเสียงของก่อเกียรติแล้วพูดกับ ผู้หญิงคนนั้น

หญิงสาวแบะปากแล้วพูดว่า “เออ เออ รีบไปเถอะ อย่ามา ยืนอยู่ตรงนี้ เราจะคุยกัน”

รพีพงษ์ไม่ได้สนใจ เขาหมุนตัวเดินกลับไปช่วยก่อเกียรติ ในห้องครัว

ผู้ชายดูมีอายุที่นั่งอยู่ตรงหัวโต๊ะหัวเราะแล้วมองคนที่มา ด้วยกัน จากนั้นจึงพูดว่า “พนักงานคนเมื่อกี้ดูจะไม่ธรรมดา นะ ดูท่าแล้วน่าจะเรียนศิลปะการป้องกันตัวมา ไม่งั้น ปฏิกิริยาคงไม่รวดเร็วขนาดนั้น ที่เกียวโตนี้มีเสือซ่อนเล็บ เยอะจริงๆ”

“พี่ใหญ่ พี่ดูผิดแล้วมั้ง พนักงานคนเมื่อกี้ก็แค่คนธรรมดา ไม่มีอะไรแปลกนิไม่เห็นเหมือนคนที่เรียนศิลปะการป้องกัน ตัวสักนิด มันรู้เรื่องศิลปะการป้องกันตัวได้ยังไง” ผู้หญิงคน นั้นพูดแย้งทันที

“ใช่ครับพี่ใหญ่ พี่เห็นว่ามันรับจากได้ใช่ไหมล่ะ ถึงคิดว่า มันเรียนศิลปะป้องกันตัว ผมเห็นพนักงานแบบนี้มาเยอะแล้ว คนแบบนี้จัดการง่ายจะตายไป ผมว่ามันน่าจะทำอาชีพนี้มา นาน เลยชินกับสถานการณ์แบบนี้มากกว่า ไม่ใช่เพราะเรื่องศิลปะการป้องกันตัวหรอกครับ” ชายคนหนึ่งพูดแล้วหัวเราะ

ออกมา

หญิงสาวรีบพยักหน้าทันที “นายพูดถูก แค่พนักงาน ธรรมดาทั่วไป พี่ใหญ่คิดเยอะไปแล้ว”

คนที่โดนเรียกว่าพี่ใหญ่หัวเราะแล้วพูดว่า “เหรอ งั้นฉันคง คิดเยอะไปเอง”

“พี่ใหญ่ เราไม่ต้องไปพูดถึงมันดีกว่า พี่เล่าเรื่องสำนักบู โดวงแสงมาเถอะ ครั้งนี้พวกเราต้องสู้กับเจ้าของสำนักจริงเห รอ ฉันได้ยินมาว่าปีนั้นท่านอาจารย์ยังสู้เจ้าของสำนักบูโดวง แสงไม่ได้เลย” หญิงสาวเปลี่ยนหัวข้อสนทนา

“น้องหก ตอนนี้ฝีมือของพี่ใหญ่แข็งแกร่งกว่าท่านอาจารย์ ไม่น้อย ปีนั้นที่เจ้าของสำนักบูโดวงแสงทำให้ท่านอาจารย์ พ่ายแพ้ เพราะฉวยโอกาสใช้กลอุบายเท่านั้น เรามาครั้งนี้ เพื่อที่จะแก้แค้นให้ท่านอาจารย์ ขอแค่ทำให้เจ้าของสำนักบู โดวงแสงพ่ายแพ้บูโดแปดพยัคฆ์ ของเราจะกลับมามีชื่อ เสียงอีกครั้ง” ชายที่นั่งข้างพี่ใหญ่พูดขึ้นด้วยความมั่นใจ

“ใช่ ปีนั้นตอนที่ท่านอาจารย์ประลองกับเจ้าของสำนักบู โดวงแสง เขายังแสดงฝีมือออกมาไม่หมด ที่เจ้าของสำนักบู โดวงแสงชนะได้ก็เพราะกลวิธีบางอย่างเท่านั้น วันนี้ฉันได้รับ เคล็ดวิชาที่ท่านอาจารย์สอนให้ พละกำลังของฉันแข็งแกร่ง กว่าเจ้าของสำนักบูโตวงแสงเยอะ ในตอนนี้ท่านอาจารย์ไม่สามารถมาเกียวโตได้ คงต้องอาศัยฝีมือของเราทำให้ เจ้าของสำนักบูโดวงแสงพ่ายแพ้” พี่ใหญ่พูดด้วยท่าทีแน่ว

แน่

ภายในร้านอาหารยุ่งอยู่ตลอด จนกระทั่งเวลาบ่ายสอง โมง ลูกค้าจึงเริ่มซาลง รพีพงษ์ช่วยเก็บโต๊ะเสร็จเรียบร้อย ก่อเกียรติให้พ่อครัวทำอาหารมาสองสามอย่าง ทั้งสองคน นั่งดื่มและพูดคุยกัน

ก่อเกียรติถามรพีพงษ์ว่าช่วงนี้ทำอะไรอยู่ รพีพงษ์ไม่ได้ ปิดบังอะไร เขาบอกว่าตัวเองชอบใช้ชีวิตในเมืองเล็กๆ จึงไป ใช้ชีวิตอยู่ที่เมืองริเวอร์ เขากลับมาเพราะมีเรื่องสำคัญต้อง ทำ

หลังจากก่อเกียรติโตขึ้น และเข้าเรียนมหาวิทยาลัย เดิมที เข้าหางานทำ แต่ว่าเขาไม่ชอบ จึงทำได้เพียงช่วงหนึ่งและลา ออกมารับช่วงธุรกิจร้านอาหารของที่บ้าน

ตอนนี้พ่อของเขาไม่มีแรงทำงานแล้ว ก่อเกียรติจึงต้อง จัดการร้านอาหารเพียงคนเดียว เพราะกิจการร้านอาหารไป ได้สวย ทำให้เขายังชีพได้

เมื่อพูดถึงตรงนี้ แววตาของก่อเกียรติก็ฉายแววหน่ายใจ เขาถอนหายใจออกมา

รพีพงษ์เห็นท่าทางของเขา จึงเอ่ยถามขึ้นว่า “ร้านอาหารนายขายดีขนาดนี้ ถอนหายใจทำไมล่ะ”

ก่อเกียรติแค่นยิ้มแล้วส่ายหน้า “ร้านอาหารขายดี แต่ เพราะได้เงินเยอะไง คนเลยอิจฉา ชีวิตของฉันไม่ได้ราบรื่น เลย บางครั้งฉันก็ต้องกล้ำกลืนฝืนทน ช่างเถอะ อย่าไปพูดถึ มันเลย ดื่มเหล้าดีกว่า”

รพีพงษ์มองก่อเกียรติ เขาเดาว่าก่อเกียรติคงมีเรื่องทุกข์ ใจปิดบังอยู่ จึงเอ่ยถามออกไปว่า “นายเจอปัญหาอะไรเหรอ พูดกับฉันเถอะ ถึงสองสามปีนี้ฉันอยู่ที่เมืองริเวอร์มาตลอด แต่ฉันก็มีเพื่อนที่อยู่เกียวโตนะ บางทีฉันอาจจะช่วยนาย จัดการได้”

ก่อเกียรติยิ้มแล้วยกเหล้าในแก้วขึ้นดื่มรวดเดียวจนหมด “ไม่มีอะไรหรอก ฉันรับมือได้น่า ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร เสีย เงินนิดหน่อยเรื่องก็จบแล้ว”

เมื่อได้ยินก่อเกียรติพูดเช่นนี้ รพีพงษ์จึงไม่ได้ถามอะไรอีก

ดื่มเหล้าไปสามรอบ ตอนที่ทั้งสองใกล้จะทานข้าวกันเสร็จ ก่อเกียรติลุกขึ้น เขากะว่าจะไปเอาอาหารมาเพิ่ม

ขณะนั้นเอง จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังขึ้นจากนอกร้าน ต่อ มาก็มีกลุ่มผู้ชายที่ร่างกายเต็มไปด้วยรอยสัก เดินเข้ามาใน ร้าน ท่าทางน่ากลัวมาก

ก่อเกียรติเห็นคนพวกนั้น สีหน้าเขาจึงเปลี่ยนไปและพูดพิมพ์ขึ้นมาว่า “ทำไมพวกมันมากันตอนนี้ล่ะ เพิ่งให้เงินไป เมื่อสองสามวันก่อนไม่ใช่หรือไง”

รพีพงษ์หันไปมองกลุ่มชายที่เพิ่งเข้ามา แล้วหันไปมองก่อ เกียรติ หลังจากที่เห็นสีหน้าของเพื่อน เขาจึงเดาได้ว่าคน พวกนี้น่าจะสร้างปัญหาให้ก่อเกียรติ

ก่อเกียรติมองรพีพงษ์แล้วพูดว่า “รพีพงษ์ นายไปก่อน เถอะ น่าจะมีเรื่องวุ่นวายนิดหน่อย ฉันไม่อยากให้นายชวย ไปด้วย เดี๋ยวมีโอกาสไว้ดื่มเหล้ากันอีกนะ”

รพีพงษ์ยิ้มแล้วพูดว่า “ถ้าเจอปัญหาแล้วเดินจากไป งั้นฉัน ก็ไม่เห็นนายเป็นเพื่อนสิ”

ก่อเกียรติถอนหายใจและไม่พูดอะไรอีก ตอนนี้เขาไม่มี เวลามาพูดให้รพีพงษ์ออกไปจากที่นี่แล้ว

ก่อเกียรติเดินเข้าไปหาชายกลุ่มนั้น แล้วแค่นยิ้มออกมา เขาโค้งตัวเคารพและพูดว่า “พี่สือดาว ทำไมวันนี้มาอีกแล้ว ล่ะครับ ผมเพิ่งให้เงินพวกพี่ไปเมื่อสองสามวันก่อนไม่ใช่เห รอครับ”

คนที่เป็นหัวหน้าสวมเสื้อยืดมีลาย เขาไว้ผมทรงถัก หน้าตามีดูมีเล่ห์เหลี่ยม เขามองก่อเกียรติแล้วแบะปาก “แก ใช้ชีวิตอย่างดีเลยนี้ ยังมีกะจิตกะใจมานั่งดื่มเหล้ากับคน อื่น”
“วันนี้เพื่อนเก่ามาหาผม ผมจึงดื่มกับเขานิดหน่อย พี่สี อดาว พวกพี่อยากทานข้าวเหรอ ถ้าพี่มาทานข้าวก็นั่งก่อน เถอะ ผมจะให้คนในครัวเตรียมอาหารให้” ก่อเกียรติไม่กล้า หืออือต่อหน้าของพี่สือดาว

พี่สือดาวนั่งลงบนเก้าอี้แล้วพูดว่า “พวกเราไม่ได้มากิน ข้าว แต่จะมาบอกให้แกรีบเซ็นเอกสารเรื่องโอนย้ายร้านนี้ ที่ ชิตบอกแล้วว่าถ้านายไม่เซ็น วันนี้เราจะพังร้านนี้ให้เละ”

ก่อเกียรติหน้าเปลี่ยนสี จากนั้นจึงพูดว่า “พี่สือดาว เราคุย กันแล้วไม่ใช่หรอว่าผมจะจ่ายส่วนแบ่งให้พี่ทุกเดือน พี่ก็จะ ไม่ให้ผมเซ็นสัญญาโอน นี่เป็นร้านที่พ่อทิ้งไว้ให้ผม ผมอยาก เปิดมันต่อไป พี่เห็นใจผมเถอะ ถ้าไม่ได้จริงๆ ผมจะเพิ่มเงิน ส่วนแบ่งให้อีกก็ได้”

พี่สือดาวถลึงตาโตแล้วด่าออกมาว่า “ให้ตายเถอะ ไม่รู้ว่า อะไรเป็นอะไร ฉันจะเตือนแกไว้นะ คนที่อยากได้ร้านนี้คือซิต วร คนที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่ว แกกล้าขัดคำสั่งของพี่ชิตเห รอ หรืออยากให้ฉันสั่งสอนแกแทนพี่ซิต?”

ก่อเกียรติมีสีหน้าล่าบากใจ เขาเคยได้ยินชื่อเสียงของซิต วร แต่เขาไม่อยากเอาร้านที่พ่อทิ้งไว้ให้เขาไปให้คนอื่น แถม เงินที่พี่สือดาวให้เรื่องโอนร้านยังน้อยจนน่าเวทนา ถ้าไม่มี ร้าน เขาไม่รู้จะทำอะไรต่อไปจริงๆ

ตอนที่ก่อเกียรติกำลังลังเลอยู่ รพีพงษ์ลุกขึ้นยืนแล้วเดินเข้ามาหาพี่สือดาว เขาพูดด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นว่า “พวก นายจะบังคับให้เขาโอนร้านนี้ให้พวกนายอย่างนั้นเหรอ”


เพื่อการอัปเดตบทที่เร็วขึ้น กรุณาบริจาคสำหรับเว็บไซต์เพื่อซื้อบทใหม่! ขอขอบคุณ
THB

เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ