พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว

บทที่ 654 กลับเกียวโต



บทที่ 654 กลับเกียวโต

บนรถบัสที่มุ่งหน้าสู่เกียวโต รพีพงษ์นั่งตรงที่นั่งติดหน้าต่าง เขา มองไปนอกหน้าต่างอย่างเหม่อลอย

เพราะว่าเขาใช้ชีวิตอยู่ในหุบเขา โดยไม่รู้เรื่องราวข้างนอก กว่าครึ่งปี เขาไม่ได้ตัดผมและโกนหนวด เพราะฉะนั้นตอนนี้ผม และหนวดของเขาจึงยาวมาก เสื้อผ้ามักจะขาดตอนที่ฝึกฝน สภาพของเขาจึงดูเละเทะ แทบจะจำภาพเดิมของเขาไม่ได้เลย

และด้วยสภาพของเขาในตอนนี้ ทำให้คนที่อยู่บนรถมองเขา ด้วยสายตาแปลกประหลาด ที่นั่งข้างๆ เขาไม่มีใครนั่ง เพราะว่า ทุกคนดูเหมือนจะหวาดกลัว

ดีเหมือนกันเขาจะได้นั่งอย่างสงบๆ

ตั้งแต่รพีพงษ์ออกมาจากตำบลเล็กๆ นี่ก็เป็นเวลาสองวันแล้ว ผ่านไปสองวัน ในที่สุดรพีพงษ์ก็มาถึงเกียวโต เขาสูดอากาศที่นี่ เขาสัมผัสถึงบรรยากาศที่คุ้นเคย

“พวกนายได้ยินหรือเปล่าว่าคืนพรุ่งนี้ ตระกูลนวัตปกรณ์กับ ตระกูลวรโชติธีรธรรมจะร่วมกันจัดงานเลี้ยงใหญ่ที่โรงแรม ไพศาล ตอนนั้นพวกคนใหญ่คนโต ในด้านธุรกิจของเกียวโตจะ มาร่วมงาน ได้ยินมาว่างานเลี้ยงครั้งนี้จัดเพื่อปรึกษากันเรื่อง จัดการกับตระกูลลัดดาวัลย์ ฉันได้ยินญาติของฉันพูดว่าตระกู ลนวัตปกรณ์กับตระกูลวรโชติธีรธรรมจะบีบบังคับให้ตระกูลลัด ดาวัลย์ส่งทรัพย์สินมาให้ทั้งหมด และให้ทุกคนแบ่งกัน
เมื่อได้ยินคนบนรถพูดถึงเรื่องตระกูลลัดดาวัลย์ รพีพงษ์ก็รีบ ตั้งใจฟัง

“เหรอ ในที่สุดตระกูลนวัตปกรณ์กับตระกูลวรโชติธีรธรรม จะตอบโต้ตระกูลลัดดาวัลย์แล้วเหรอ ฉันได้ยินมาช่วงก่อนหน้านี้ คนในตระกูลนฤวัตปกรณ์ไปหาเรื่องที่คฤหาสน์ใหญ่ตระกูลลัด ดาวัลย์ พวกเขาไม่รู้เอาคนมีฝีมือมาจากไหน ทําจนตระกูลลัดดา วัลย์เละเทะไปหมด ไม่มีความเกรงใจสักนิด”

“ฉันได้ยินเรื่องนี้แล้ว เห็นว่าตระกูลลัดดาวัลย์มีผู้มีฝีมือที่ชื่อ ว่าดัมพ์รงค์ ก่อนหน้านี้พอมีคนไปหาเรื่องตระกูลนั้น ดัมพ์รงค์ จะเป็นคนจัดการ แต่ครั้งนี้พอดัมพ์รงค์เจอคนที่ตระกูลนวัต ปกรณ์พาไปด้วย เขาก็เหมือนเด็กน้อยที่ไม่สามารถสู้ได้ แล้วก็ โดนจัดการ”

“คิดไม่ถึงว่าตระกูลลัดดาวัลย์ที่เคยรุ่งเรืองจะตกต่ำมาจนถึง จุดนี้ มันน่าตกใจจริงๆ”

“ก็เพราะการตายของนายใหญ่ตระกูลนั้นยังไงล่ะ บวกกับการ ที่มีคนคอยยุยง ตระกูลนวัตปกรณ์กับตระกูลวรโชติธีรธรรมที่ เคยโดนพวกเขากดขี่ข่มเหง กล้าที่จะสู้กับตระกูลนั้น เมื่อตระกูล ใหญ่ไม่มีคนที่คอยบริหารก็แตกเป็นเสี่ยงๆ ได้ยินมาว่าตอนนี้ สะใภ้ของตระกูลลัดดาวัลย์เป็นคนบริหาร เธอเป็นผู้หญิงที่เก่ง มาก บริหารตระกูลขณะที่กำลังตั้งท้อง ผ่านมานานขนาดนี้ ยังไม่ สามารถล้มรพีพงษ์ได้ ถ้าไม่ใช่เพราะเธอ ตระกูลนฤวัตปกรณ์กับ ตระกูลวรโชติธีรธรรมคงไม่จัดงานนี้ขึ้น
“ฉันรู้เรื่องนี้ อีกทั้งภรรยาของรพีพงษ์ก็ใกล้คลอดแล้วด้วย ตระกูลนวัตปกรณ์กับตระกูลวรโชติธีรธรรมจะใช้ช่วงที่เธอไม่ สามารถบริหารงานได้อย่างเต็มที่ ไปร่วมมือกับพวกนักธุรกิจ ของเกียวโตและบีบบังคับตระกูลลัดดาวัลย์”

เมื่อได้ฟังคนพวกนั้นพูดกัน รพีพงษ์มีความรู้สึกเกิดขึ้นในใจ เขาไม่คิดว่าครึ่งปีที่ผ่านมา อารียาแบกรับภาระที่ควรจะเป็นของ เขาเอาไว้ ทำให้ตระกูลอยู่ถึงทุกวันนี้

เขาให้เธอรีบกลับมาที่นี่ ถ้าคืนนั้นให้ตระกูลนฤวัตปกรณ์กับ อนันยชทำสำเร็จ ก็ไม่ต้องคิดถึงผลที่ตามมาเลย

“ตระกูลนฤวัตปกรณ์กับตระกูลวรโชติธีรธรรมงั้นเหรอ ในเมื่อ พวกแกรนหาที่ตาย งั้นฉันจะทำตามที่พวกแกต้องการเอง วันนี้ รพีพงษ์กลับมาแล้ว ฉันจะฆ่าคนที่ข่มเหงรังแกภรรยาของฉันให้ หมดทุกคน! ” รพีพงษ์พิมพ์ในใจ

ผ่านไปไม่นาน รถบัสก็จอดรับคนระหว่างทาง หญิงวัยกลาง คนอายุประมาณห้าสิบกว่าปี่พาเด็กผู้ชายอายุหกขวบขึ้นมาบน รถ

หญิงวัยกลางคนกวาดตามอง พบว่าที่นั่งข้างรพีพงษ์เหลืออยู่ เพียงที่เดียว เธอรีบพาเด็กเดินเข้ามา

เมื่อเด็กเห็นรพีพงษ์ก็ชี้นิ้วมาที่เขาแล้วพูดว่า “คุณย่าดูสิ คนนี้ ผมยาวมากเลย”
หญิงวัยกลางคนรีบดึงแขนของเด็กคนนั้นแล้วพูดว่า “อย่าไป อยู่ใกล้เขา ไม่รู้เป็นหนีมาจากไหนหรือเปล่า ไม่รู้มีเชื้อโรคอะไร ติดตัวมาหรือเปล่า”

เมื่อรพีพงษ์ได้ยินคำพูดของหญิงวัยกลางคน เขาไม่ได้เก็บมา ใส่ใจ และมองออกไปนอกหน้าต่าง ในหัวของเขาคิดถึงแต่อารี ยา

ถึงปากจะพูดไปแบบนั้น แต่ทว่าหญิงวัยกลางคนก็ไม่อยากยืน แถมยังคิดจะแย่งที่นั่งของรพีพงษ์อีกด้วย เธอกลอกตาไปมา แล้วก็ตะโกนใส่รพีพงษ์ “นี่ มองไม่เห็นเหรอว่าฉันพาเด็กมาด้วย รีบลุกขึ้นเลย สละที่นั่งให้ฉัน ดูสภาพของนายแล้ว เหมือน ขอทานเลย ยังมีหน้ามานั่งบนที่นั่งอีก

ถ้าผู้หญิงคนนี้พูดกับเขาอย่างเกรงอกเกรงใจ เขาอาจจะลุก ให้เธอนั่งก็ได้ แต่เมื่อได้ยินเธอพูดแบบไร้มารยาทเช่นนี้ รพีพงษ์ จึงไม่อยากสนใจเธอแม้แต่น้อย

หญิงวัยกลางคนเห็นรพีพงษ์ไม่สนใจ จึงทำได้เพียงด่าทอร พงษ์ว่าเขาไม่มีความเมตตา ไม่สละที่นั่งให้คนแก่ เป็นคนไร้ คุณธรรม

สุดท้ายเธอจึงให้เด็กนั่งข้างรพีพงษ์ และตัวเองก็ยืนอยู่ข้าง เด็ก

ในมือของเด็กผู้ชายมีค้อนเล็กๆ ที่ทำจากไม้ ดูเหมือนของเล่น ที่เพิ่งซื้อมา หลังจากที่เด็กคนนั้นได้นั่งก็เอาแต่เอาค้อนเคาะไป ทั่ว ทำให้เสียงดังไปทั่วรถบัส
มีคนบอกหญิงวัยกลางคนว่าตัวเองต้องการจะพักผ่อน ให้เด็ก เงียบลงสักครู่ได้ไหม หญิงวัยกลางคนรับจ้องเขาแล้วพูดว่า “เขา เป็นแค่เด็ก เล่นสักแป๊บจะเป็นอะไร ถ้าเงียบจะเรียกว่าเด็กเหรอ นายเป็นผู้ใหญ่แล้ว ทำไมไม่ยอมให้เด็กบ้าง ดูนายก็เป็นผู้ดีนะ ลืมเรื่องที่ได้ร่ำเรียนมาไปหมดแล้วเหรอ”

เมื่อคนนั้นได้ยินหญิงวัยกลางคนพูดอย่างหยาบคาย และเป็น คนที่ไม่น่าไปยุ่งด้วย เขาจึงไม่พูดอะไรต่อ

เด็กคนนั้นยังใช้ค้อนเคาะต่อไป ขณะนั้นเองเด็กก็เหลือบมอง รพีพงษ์ อาจจะเป็นเพราะพีพงษ์ไม่ยกที่ให้ยาของเขานั่ง เด็กคน นั้นจึงมองรพีพงษ์อย่างไม่เป็นมิตร

เด็กน้อยเห็นรพีพงษ์มองไปนอกหน้าต่าง ก็รีบเอาค้อนทุบลง ไปบนขาของรพีพงษ์ จากนั้นก็เก็บมือกลับมา ทำเหมือนไม่มี อะไรเกิดขึ้น เด็กน้อยแสดงได้สุดยอดมาก

รพีพงษ์หันมามองเด็กน้อย เพราะเขายังเด็กรพีพงษ์จึงไม่ ถือสา และมองออกไปนอกหน้าต่างต่อไป

เด็กน้อยยิ้มอย่างร้ายกาจ คิดในใจว่ารพีพงษ์เป็นคนโง่ และ

เอาค้อนทุบลงไปที่ขาของรพีพงษ์อีกครั้ง

รพีพงษ์หันมามอง เมื่อเด็กเห็นว่ารพีพงษ์ไม่พูดอะไร จึงคิดว่า รพีพงษ์กลัวตัวเอง จึงเริ่มเอาค้อนทุบไปที่หน้าของรพีพงษ์อย่าง

ไม่กลัว

หญิงวัยกลางคนมองการกระทำที่รุนแรงของหลานชายตัวเอง เธอทําหน้าไม่รู้ไม่ชี้ เหมือนว่าสิ่งที่หลานตัวเองทำเป็นสิ่งที่ดี
ความหงุดหงิดก่อตัวขึ้นในใจของรพีพงษ์ เขาจับมือที่ค้อน อยู่ ก่อนที่เด็กจะทุบลงมา “รู้ไหมว่าทำแบบนี้มันไร้มารยาทมาก” รพีพงษ์พูดด้วยน้ำ

เสียงเย็นยะเยือก

“หึ ผมชอบน ผมอยากที่ใครก็จะดี ปล่อยผมนะ” เด็กชายพูด อย่างได้ใจ

รพีพงษ์ยิ้มแล้วปล่อยมือของเด็กที่ค้อนอยู่ และค้อนถูกร พงษ์จับเอาไว้ส่วนหนึ่งกลายเป็นขี้เลื่อยร่วงลงไปบนพื้น

เด็กชายมองภาพนั้นปากค้าง จากนั้นก็ร้องไห้โฮออกมา


เพื่อการอัปเดตบทที่เร็วขึ้น กรุณาบริจาคสำหรับเว็บไซต์เพื่อซื้อบทใหม่! ขอขอบคุณ
THB

เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ