พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว

บทที่185 งั้นก็ซื้อร้านทั้งร้านเลยล่ะกัน



บทที่185 งั้นก็ซื้อร้านทั้งร้านเลยล่ะกัน

ตอนเช้าของวันรุ่งขึ้น ปรางทิพย์และโมไนยกลับ ถึงบ้าน เห็นบจีและพวกเขาทานอาหารเช้าเสร็จแล้ว

บจีเห็นปรางทิพย์และโมไนยกลับมา ก็แค่ยิ้มๆ เห็นเรื่องนี้เป็นเรื่องปกติไปแล้ว

โมไนยเก่งขนาดนี้ พวกเขาตั้งใจให้ปรางทิพย์แต่ง กับโมไนยตั้งนานแล้ว ดังนั้นจึงไม่สนใจทั้งคู่แล้ว

ความสัมพันธ์ของบจีและศศินัดดาดูเหมือนว่ายัง ขัดแย้งกันอย่างหนักอยู่ ปรางทิพย์มองไปรอบๆ แล้ว กล่าว “คุณป้า พวกคุณหยุดคิดเรื่องเมื่อวานได้แล้ว เมื่อวานพวกเราก็มีส่วนผิด พวกเราเป็นญาติกันทั้งนั้น ไม่จำเป็นต้องโกรธกันเพราะเรื่องแบบนี้

ศศินัดดามองไปที่ปรางทิพย์ แล้วกล่าว “แกพูดถูก แกรู้มากว่าแม่แกเยอะ”

บจีชักตาทันที อยากจะทะเลาะกับศศินัดดาอีกสัก

ยก ปรางทิพย์รีบส่งสายตาให้บจี ให้เธออย่าพูด

“คุณป้า ที่นี่มีห้างเพิ่งเปิดใหม่ ตอนนี้อารีก็ไม่น่า จะมีธุระอะไร ฉันกับโมไนยว่าจะไปเดินเที่ยวพอดี ไม่ งั้นให้เธอไปกับพวกเราไหม” ปรางทิพย์กล่าว

ศศินัดดามองไปที่อารียา แล้วถาม “อารี แกอยาก ไปไหม?”

อารียาส่ายหน้า แล้วกล่าว “ฉันไม่ไปล่ะ ไม่ชอบเดนหาง

ปรางทิพย์มองไปรอบๆ ปัจจัยหลักที่เธอจะให้อารี ยาไปห้างด้วยในวันนี้คือให้อารียาขายหน้า ถ้าอารียา ไม่ไป แผนการของเธอก็ล้มเหลว

เธอหันไปขมวดคิ้วแล้วยิ้ม ให้บจีช่วยเธอหน่อย

บจีเข้าใจความหมายของปรางทิพย์ทันที แล้ว กล่าวขึ้นมา “ไม่ชอบหรือไม่มีเงินกันแน่ อารี แกไปกับ ปรางทิพย์เถอะ ถ้าแกอยากได้อะไร ซื้อไม่ไหว ให้ โมไนยช่วยแกซื้อก็ได้นะ โมไนยมีเงิน ไม่เหมือนรพี พงษ์หรอกที่ไม่ซื้ออะไรให้แกเลย”

ศศินัดดาไม่สบอารมณ์ขึ้นมาทันที แล้วกล่าว “ใคร บอกพวกเราไม่มีเงิน อารี แกไปกับพวกเขาเถอะ แล้วก็ ชวนรพีพงษ์ไปด้วย ให้เขามาจ่ายเงินให้”

อารียาขมวดคิ้ว แล้วกล่าว “แม่ ฉันไม่ค่อยอยาก

ไปจริงๆ”

บจีหัวเราะเหอะเหอะ แล้วกล่าว “ลูกสาว ไม่งั้นก็ ชั่งเหอะ แกไปกับโมไนยล่ะกัน ฉันว่าบ้านเค้าไม่อยาก ใช้เงิน ถ้าไปก็ซื้ออะไรไม่ได้”

ศศินัดดาโมโห ในใจคิดให้บจีดูถูกตนเองแบบนี้ไม่ ได้ แล้วเดินไปข้างๆของอารียา แล้วเริ่มพูดเกลี้ยกล่อม

“ลูกสาว แกไปเดินห้างด้วยกันเถอะ แกไม่มาที่นี่ นานเท่าไหร่แล้ว ไปดูพร้อมกับพวกเขา อย่าอุดอู้อยู่แต่ ที่บ้าน เดี๋ยวฉันจะโทรหารพีพงษ์เดี๋ยวนี้ แกไปกับเขาแล้วก็ซื้อของให้ฉันด้วย พวกแกดูๆแล้วซื้อๆมาล่ะก้น เดี๋ยวฉันโทรหารพีพงษ์เดี่ยวนี้”

พูดจบ ศศินัดดาก็หยิบมือถือขึ้นมา โทรหารพีพงษ์

หลังจากวางสายไป ศศินัดดายิ้มแล้วมองไปทาง อารียา แล้วกล่าว “ลูกสาว รพีพงษ์จะมาถึงเดี่ยวนี้ แกลงไปพร้อมกับพวกเขานะ”

อารียาเบื่อหน่ายเต็มที ทำได้เพียงพยักหน้า แล้วไปเก็บของเล็กๆน้อยๆ

ปรางทิพย์หัวเราะอย่างเยือกเย็น ตอนแรกเธอยัง คิดอยู่เลยว่าจะเรียกรพีพงษ์มายังไง ตอนนี้ดีเลย ศศิ นัดดาเรียกรพีพงศ์มา เธอจะได้ไม่ต้องลำบากเรียกมา

อีก

อารียาจัดของเสร็จ ก็เดินลงไปพร้อมกับโมไนย และปรางทิพย์

เมื่อไปถึงชั้นล่าง อารียาเห็นรพีพงษ์กำลังยืนอยู่ที่ หน้าประตูแล้ว แล้วจึงรีบวิ่งไปหา

โมไนยและปรางทิพย์เห็นดังนั้น ก็เดินไปด้วยรอย

ยิ้มดูแคลน

“รพีพงษ์ เมื่อคืนแกนอนที่ไหน? คงไม่ไปนอนที่ สวนสาธารณะหรอกนะ?” ปรางทิพย์ยิ้มเยาะเย้ย

“นอนโรงแรม รพีพงษ์กล่าว

ปรางทิพย์บึนปาก แล้วกล่าว “โรงแรมแบบนั้นยังเป็นที่ๆให้คนนอนได้อีกหรอ แกต้องเสียใจแน่ๆที่ออก ไปนอนข้างนอก ถ้าตอนนี้แกรีบขอโทษโมไนย ไม่แน่ ฉันอาจจะอนุญาตให้แกกลับมานอนที่บ้านก็ได้นะ”

เธอคิดว่ารพีพงษ์จะหาโรงแรมที่คืนล่ะสิบกว่า หยวนเท่านั้น

รพีพงษ์ส่ายหัว แล้วกล่าว “โรงแรมค่อนข้างสบาย ดีกว่าบ้านของพวกแกนิดหน่อย”

จิรายุศจองโรงแรมระดับห้าดาวแห่งเดียวของ อำเภอหยกให้กับรพีพงษ์ ในRose&Mary Hostelนั้น ถ้าเป็นห้องสูท จะสบายกว่าบ้านสไตล์ตะวันตกของ

ปรางทิพย์โดยปริยายอยู่แล้ว|

“ชิ ปากแข็งให้มันน้อยๆหน่อย โรงแรมอะไรจะ สบายกว่าบ้านสไตล์ตะวันตกของครอบครัวฉัน นอกจากRose&Mary Hostel แกคิดว่าแกจะอยู่ที่แบบ นั้นได้หรอ” ปรางทิพย์พูดอย่างดูถูก ๕้

รพีพงษ์ไม่ได้อยากทะเลาะอะไรกับเธอ แล้วกล่าว “พวกเราจะไปยังไง ขับรถไปหรอ?”

โมไนยยิ้ม แล้วกล่าว “ขับรถไปล่ะกัน รถของฉัน อยู่ข้างถนน รถคันนั้นของแกก็จอดไว้นี่แหละ เดี๋ยว เกิดขัดข้องอะไรขึ้นมา เมื่อแกเอาไปคืนจะมีปัญหาได้”

มไนยคิดว่ารถคันนี้ของรพีพงษ์เช่ามา สายตาเต็ม ไปด้วยความประชดประชัน

รพีพงษ์และอารียาเบื่อที่จะสนใจพวกเขาทั้งคู่เต็มที่ แล้วก็เดินไปที่รถของโมไนยด้วยกัน ขึ้นนั่งบน

รถ

ไม่นาน ก็ถึงห้างสรรพสินค้า ทั้งสี่ลงจากรถแล้วก็ เดินไปด้วยกัน

“ห้างนี้ท่านยุดเป็นผู้สร้าง ข้างในนอกจากจะ เหมือนห้างทั่วไปแล้ว ยังมีตู้โชว์ขายหินหยกมากมาย ด้วย อีกทั้งที่นี่ยังมีจุดรับซื้อคืนหยกโดยเฉพาะด้วยนะ นี่เป็นลักษณะเฉพาะของอำเภอหยกของเรา พวกแก อยู่เมืองริเวอร์ไม่เคยเห็นแบบนี้ล่ะสิ” ปรางทิพย์แนะนำ

รพีพงษ์และอารียาพยักหน้า หินหยกนี้ ในห้างของ เมืองริเวอร์ไม่มีจริงๆ

“ฉันจะบอกอะไรพวกแกอย่างหนึ่ง โมไนยใช้จ่าย ในห้างนี้ ทุกอย่างลด20% นี่คือผลประโยชน์ที่ทำงาน ให้กับท่านยุด” ปรางทิพย์พูดอย่างสะใจอีกครั้ง

ทุกคนเดินไปที่ร้านกระเป๋าแบรนด์เนมดังร้านหนึ่ง ปรางทิพย์มองดูอย่างตาเป็นประกายทันที

อารียาไม่ค่อยชอบกระเป๋าสักเท่าไหร่ ปกติเวลาที่ เธอทำงานก็จะใช้กระเป๋าธรรมดาเท่านั้น เธอไม่ได้ ชอบกระเป๋าที่ราคาแพง รู้สึกว่าไม่มีประโยชน์ใดๆ รพีพงษ์หันไปมองอารียา ยิ้มแล้วกล่าว “ดูๆว่ามีใบ ที่ชอบไหม ผมซื้อให้คุณหนึ่งใบ”

อารียาส่ายหัว แล้วกล่าว ไม่ล่ะ ฉันไม่ค่อย ต้องการเท่าไหร่”
ได้ยินอารียาพูดแบบนี้ รพีพงษ์ก็ทำได้เพียงพยัก

หน้า

โมไนยมองไปที่รพีพงษ์อย่างดูแคลน แล้วกล่าว “รพีพงษ์ แกบ้าปะ ผู้หญิงปากอย่างใจอย่าง ปากบอก ไม่เอา ความจริงอะโกหก ผมว่าเธอแค่ไม่อยากให้คุณ จ่ายเงิน แล้วคุณก็มีเงินไม่มาก ใช่ไหม”

รพีพงษ์ไม่ได้คิดถึงปัญหานี้ หันไปมองอารียา แล้ว ถาม “จริงเปล่า?”

อารียาหัวเราะขึ้นมา แล้วกล่าว “จะเป็นไปได้ไง ฉันไม่สนใจมันจริงๆ คุณมีไม่มีเงินฉันรู้ดี หรือฉันต้อง ประหยัดเพื่อคุณแล้วเอาเปรียบตัวเองงั้นหรอ”

รพีพงษ์คิดๆดูแล้วก็จริง อารียาก็รู้ตัวตนของตน อยู่แล้วว่าเป็นคนของตระกูลลัดดาวัลย์ ไม่ต้องเป็นห่วง เรื่องเงินจริงๆ

โมไนยคิดว่าทั้งคู่กำลังแสดง ซื้อไม่ไหวก็แค่ซื้อไม่ ไหว แล้วยังจะพูดให้ดูดีอีก

ไม่นาน ปรางทิพย์ก็ถือกระเป๋าที่สวยมาหนึ่งใบ แล้วพูดกับโมไนยว่า “สามี กระเป๋าใบนี้สวยจัง ฉัน อยากได้”

“ซื้อ” โมไนยพูดอย่างไม่ลังเล

“แต่กระเป๋านี้ตั้งห้าหมื่นกว่าเลยนะ” ปรางทิพย์พูด โมไนยยิ้ม แล้วกล่าว “ห้าหมื่นกว่าก็ซื้อ เพียงแค่

คุณชอบ ถึงแม้แพง ผมก็ซื้อให้คุณ”
ปรางทิพย์ดีใจ แล้วเอาบัตรของโมในยไปรูดจ่าย เงินทันที

โมไนยมองไปที่รพีพงษ์อย่างสะใจ แล้วกล่าว “รพี พงษ์ เห็นหรือยัง นี่ต่างหากที่เรียกว่าแมน ผู้หญิงจะพูด ว่าตนเองอยากได้อะไรก็ต่อเมื่อผู้ชายคนนั้นแข็งแกร่ง พอ แกอะไม่ไหว เธอไม่กล้าพูดความต้องการของตัว เองออกมาแน่นอน”

“อีกทั้งผู้ชายบางทีก็ต้องใจกว้างบ้าง ผู้หญิง ต้องการหรือไม่นั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง คุณซื้อหรือไม่นั้นก็ เป็นอีกเรื่อง เธอบอกไม่เอาคุณก็ไม่ซื้อ เห็นได้ชัดว่า คุณตระหนี่”

“คุณดูผมสิ กระเป๋าห้าหมื่นหยวน พูดว่าจะซื้อก็ซื้อ เลย ไม่มีการอาลัยอาวรณ์เงิน นี่เป็นธรรมชาติของผม ก่อนจะซื้อคุณยังต้องถาม ความจริงแล้วก็เป็นเพราะ คุณยังไม่มีความมั่นใจมากพอ”

หลังจากที่รพีพงษ์ ได้ยินคำพูดของโมไนยแล้ว ก็ หัวเราะขึ้นมา แล้วถาม “ตามความหมายแกคือ ผม ต้องใจปล้ำซักหน่อย ซื้อของแพงๆให้เธอ ถึงจะเรียก ว่าให้เกียรติเธอ?” EGO

โมไนยหัวเราะ แล้วกล่าว “ถูกต้อง กระเป๋าราคา ห้าหมื่นหยวนก็ถือว่ามีค่าแล้ว ถ้าแม้แต่สิ่งนี้แกยังให้ไม่ ได้ งั้นก็บอกได้แค่ว่าแกจนเกินไปล่ะ”

ตอนนี้ปรางทิพย์ซื้อกระเป๋ากลับมา เห็นโมไนย

กำลังพูดคุยกับรพีพงษ์ด้วยเหตุผลอยู่ ก็ยิ้มพลางกล่าวว่า “สามี คุณไม่ต้องคุยกับไอ้สวะนี้ด้วยเหตุผลหรอก เขาไม่ใช่คนที่ประสบความสำเร็จอย่างคุณ ไม่เข้าใจ ความคิดคุณหรอก”

รพีพงษ์หันไปมองอารียา แล้วกล่าว “ผมว่าเขาพูด ก็มีเหตุผลนะ ไม่ใช่คุณไม่เอาแล้วผมจะต้องไม่ซื้อให้ คุณ”

อารียามองบนไปที่รพีพงษ์ แล้วกล่าว “แล้วคุณจะ ซื้ออะไรให้ฉัน?”

โมไนยหัวเราะแล้วกล่าว “ต้องจำไว้เสมอ ซื้อต้อง ซื้อของที่มีค่าที่สุด นี่ถึงจะเรียนกว่าให้เกียรติเธอ แน่นอน ว่าแกคงไม่สวามารถที่จะซื้อกระเป๋าราคาห้า หมื่นเหมือนผมได้ แต่สองสามหมื่นก็พอที่จะแสดงออก ถึงน้ำใจแล้ว”

ปรางทิพย์บึนปาก แล้วกล่าว “เขายังคิดจะซื้อ กระเป๋าราคาสองสามหมื่น ฉันว่าแม้แต่กระเป๋าสองสาม ร้อนเขาก็ไม่อยากซื้อแล้ว”

รพีพงษ์หัวเราะ กระซิบข้างๆหูอารียา แล้วกล่าว “งั้นผมจะช่วยคุณซื้อร้านทั้งร้านไว้ล่ะกันนะ”

อารียาตาโตขึ้นมาทันที ไม่คิดว่ารพีพงษ์จะซื้อร้าน นี้ทั้งร้านไว้เลย

ปรางทิพย์และโมไนยไม่ได้ยินคำพูดของรพีพงษ์ เขาไม่อยากให้ทั้งสองบ่นข้างๆหูเขา

พูดจบ รพีพงษ์ก็เดินไปที่เคาน์เตอร์ คุยกับพนักงานของร้าน

“อารี เมื่อกี้เขาบอกแกว่าจะซื้อกระเป๋าราคาเท่า

ไหร่ให้แกหรอ? แกไม่เลือกหน่อยหรอ?” ปรางทิพย์เพ่ง ไปที่อารียาแล้วถาม

อารียาพูด “ไม่….ไม่ต้องแล้ว ให้เขาซื้อเองล่ะกัน”

เธอคิดว่ารพีพงษ์จะซื้อร้านไว้แล้วทั้งร้าน แล้วยัง ต้องเลือกอะไรอีก

ปรางทิพย์คิดว่าเธอกำลังทำให้รพีพงษ์อับอาย ขายขี้หน้าอยู่ ถึงได้พูดแบบนี้ออกมา รพีพงษ์จะต้อง

เลือกอันที่ถูกที่สุดให้อารียาแน่นอน

ดูๆแล้วที่ครอบครัวเขามีเงินนั้น เป็นเพียงเรื่องวที่ เสแสร้งทำขึ้นมาทั้งนั้น

ความคิดของโมไนยและปรางทิพย์เหมือนกัน คิด ว่ารพีพงษ์กลัวอารียาจะเลือกอันที่แพงเกินไป ดังนั้น ถึงได้รีบเดินไปหาพนักงานเพื่อถามว่าอันไหนถูกที่สุด

ถ้าจะซื้ออันที่แพงจริงๆ รพีพงษ์ต้องโอ้อวดไปนาน

แล้ว

ผ่านไปสักระยะ รพีพงษ์ก็ยังคงคุยกับพนักงานใน ร้านอยู่

ปรางทิพย์และโมไนยคิดว่ารพีพงษ์กำลังคุยกับ พนักงานเรื่องต่อรองราคา ก็เริ่มรู้สึกรำคาญขึ้นมา “รพีพงษ์ทำไมแกชักช้าขนาดนี้ แค่ซื้อกระเป๋าทำไมนานขนาดนี้ เพื่อเงินเล็กๆน้อยๆยังต้องใช้เวลา นานในการต่อรองราคาอีก นับถือจริงๆ” ปรางทิพย์ กล่าว

“เขาไม่ได้ต่อรองราคา” อารียากล่าว

“คุณไม่ต้องรับหน้าแทนเขาหรอก ผมว่ารพีพงษ์นี่ ขี้งกเกินไปแล้วอะ เมื่อกี้ที่พูดกับเขาไปไม่มีประโยชน์ อะไรเลยใช่ไหม เอาจริงๆ เรื่องที่คุณแต่งกับรพีพงษ์ นั้น ไม่สมควรเลยจริงๆ” โมไนยกล่าว

อารียาไม่ได้เอาคำพูดของโมไนยเก็บมาคิดเลย แม้แต่น้อย ถ้าการที่แต่งงานกับรพีพงษ์นั้นไม่คู่ควร งั้น ในโลกนี้ก็ไม่มีผู้ชายคนไหนที่คู่ควรให้เธอแต่งงานด้วย

แล้ว

สุดท้าย รพีพงษ์คุยกับพนักงานสำเร็จ คนนั้น ตกลงที่จะขายกระเป๋าทั้งหมดในร้านให้กับรพีพงษ์ รพี พงษ์หยิบบัตรธนาคารเข้ามา รูดไปสามล้านกว่า

รพีพงษ์บอกที่อยู่ในเมืองริเวอร์ให้กับพนักงาน ให้ เธอส่งกระเป๋าเหล่านี้ไปทั้งหมด จากนั้นรพีพงษ์ก็ยังให้ พนักงานเอากระเป๋าที่แพงที่สุดมา ใบที่ราคาสองแสน ห้า ให้อารียาใช้ไปก่อน

หลังจากจัดการเสร็จเรียบร้อย รพีพงษ์ถือกระเป๋า มาหนึ่งใบ ดึงราคาออก แล้วเดินไปที่อารียา เอา กระเป๋ายื่นให้อารียา ยิ้มพลางกล่าวว่า “ใช้อันนี้ไปก่อน นะ ต่อไปคุณจะมีกระเป๋าไว้ใช้มากมาย”
อารียาไม่ปฏิเสธ แล้วรับมา

ปรางทิพย์รีบไป ดูกระเป๋าใบนั้น พบว่าบนกระเป๋า ไม่มีราคาแล้ว ก็คิดไปทันทีว่านี่เป็นของที่ร้านโละ สต๊อกแน่นอน

มีแค่ของแบบนี้ที่จะไม่มีราคาติดอยู่ รพีพงษ์พูด กับเค้านานแสนนาน เค้าถึงนานเอากระเป๋าโละสต๊อก ขายให้เขา

ปรางทิพย์หัวเราะเยาะเย้ย แล้วกล่าว “คิดว่าแกจะ ซื้อกระเป๋าที่มีราคาแพง ที่ไหนได้ก็แค่ของโละสต๊อก

น่าอายจริงๆ”

รพีพงษ์ไม่ได้ใส่ใจ แล้วกล่าว “ซื้อกระเป๋าเสร็จ แล้ว พวกเราไปดูหินหยกตรงนั้นกันดีกว่า”

พูดพลาง ทั้งสี่ก็เดินไปทางนั้น

ทุกคนภายในร้านรีบไปข้างหน้า แล้วยินดีกับรพี พงษ์ “คุณผู้ชายเดินทางกลับดีๆนะ ขอบคุณสำหรับที่ สนับสนุนร้านของเรา”

โมไนยและปรางทิพย์ต่างงงงวย โมไนยพึมพำ ออกมา “ตอนนี้ท่าทีพนักงานในร้านดีขนาดนี้เลยหรอ ยังเกรงใจคนที่ซื้อของโละสต๊อกขนาดนี้


เพื่อการอัปเดตบทที่เร็วขึ้น กรุณาบริจาคสำหรับเว็บไซต์เพื่อซื้อบทใหม่! ขอขอบคุณ
THB

เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ