พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว

บทที่ 439 ตีสนิท



บทที่ 439 ตีสนิท

เทือกเขากิสนา

รพีพงษ์เดิมอยู่บนถนน ความคิดสลับซับซ้อน

หลังออกจากคุกใต้ดิน รพีพงษ์ได้รับบ้านพักหนึ่งหลังที่ เทือกเขาสนาจัดสรรให้ ทั้งในหมู่บ้านสนามีสิทธิ์ที่จะ เคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ

ในช่วงเวลานี้เขาได้สํารวจทั้งเทือกเขาสนาไปรอบหนึ่ง แล้ว นอกจากสถานที่ห้ามเข้าออกบางแห่ง รพีพงษ์เข้าใจ สถานการณ์โดยรวมของที่นี่แล้ว

เขาเคยพยายามที่จะสํารวจบริเวณแนวขอบของเทือกเขา สนา แต่อย่างไรก็ตามไม่ว่าจะทิศทางไหน ล้วนแต่เป็นยอด เขาตั้งสูงและผาสูงชัน เทือกเขาสนาก็เหมือนกับคุกแห่ง หนึ่งที่ถูกแนวร่องน้ำธรรมชาติพวกนี้โอบล้อมเอาไว้ อยากจะ ออกไปจากที่นี่ มีเพียงแค่อาศัยเฮลิคอปเตอร์เท่านั้น

รพีพงษ์มีความตะลึงอยู่บ้างที่เทือกเขาสนาสามารถ ก่อสร้างเขตสันเขาที่ใหญ่ขนาดนี้ให้เป็นที่ราบเรียบได้ อีกทั้ง ยังสร้างสิ่งก่อสร้างจํานวนมากออกมา ทำสภาพแวดล้อม ออกมาอย่างเหมาะสมให้มนุษย์อยู่อาศัยได้ นี่คืองาน วิศวกรรมขนาดมหึมาอย่างไม่ต้องสงสัย รพีพงษ์ถึงขั้นรู้สึกว่าพีระมัดยังง่ายกว่าการสร้างหมู่บ้านที่สนาออกมาเยอะ มาก ถ้าเทือกเขาสนาประกาศให้โลกรู้ก็ไม่แน่ว่าสามารถ กลายเป็นสิ่งมหัศจรรย์อันดับที่แปดของโลก –

ขณะเดียวกันในช่วงเวลานี้เขาก็ค้นหาเบาะแสของนนทภู เช่นกัน แต่ทว่าผู้มีอิทธิพลร่ำรวยเหล่านั้น ในเทือกเขากิสนา เขาไม่มีหนทางที่จะเข้าถึงได้ เบื้องบนของเทือกเขาสนาเขา ก็ไม่มีวิธีเข้าถึง ตอนนี้คนที่เขารู้จักในเทือกเขาสนาก็มี เพียงแค่เตสและเพื่อนบางคนที่เขาแนะนำ

คนพวกนี้ต่างก็ไม่ชัดเจนเรื่องของนนทภูอย่างไม่มีข้อ ยกเว้น หรือจะพูดได้ว่าไม่มีใครเคยได้ยินชื่อนนทภูนี้เลย

ทำให้รพีพงษ์สงสัยวานนทภูมีโอกาสที่จะตายภายใน เทือกเขากิสนาไปแล้ว

ตอนอยู่ที่คุกใต้ดิน รพีพงษ์ก็เคยจับตาดูทุกคนในห้อง หวังว่าจะค้นหาเงาร่างของนนทภูจากในหมู่พวกเขา

แต่ทว่าเขาก็ไม่เคยพบเงาร่างที่คุ้นเคยใดๆ ในกลุ่มคน เหล่านั้น เขาเข้ามาครั้งนี้ ที่ใช้ก็คือชื่อของเขาเอง เพื่อที่ว่า ทำให้นนทภูได้ยินแล้ว สามารถเข้ามาหาเขาเองได้

น่าเสียดายที่ไม่มีใครเคยมาหา รพีพงษ์ถึงขั้นมีความ สงสัยเล็กน้อยวานนทภูตายไปในเทือกเขากิสนาเมื่อหลายปี ก่อนแล้ว
อย่างไรเสีย ในคุกใต้ดินก็ไม่มีเงาร่างของนนทภู ถ้าหาก ว่านนทภูยังมีชีวิตอยู่ งั้นเขาจะต้องได้รับอิสรภาพในเทือก เขากิสนาแล้ว

ดังนั้นนนทภู ในความเป็นไปได้ ก็คืออันดับเทพเจ้าแห่ง สงครามสักลำดับ ด้วยเหตุนี้รพีพงษ์จึงตั้งใจมาหาเตชัส สอบถามชื่อของอันดับเทพเจ้าแห่งสงครามทุกคนตามลำดับ รวมทั้งรูปลักษณ์และอายุโดยรวม

ไม่มีที่เหมาะสมเลยสักคน

ในกลุ่มอันดับเทพเจ้าแห่งสงครามไม่มีเงาร่างของนนทภู งั้นความหวังสุดท้ายของรพีพงษ์ก็มีเพียงสองคนนั้นที่ใน บันไดสูงสําเร็จแล้ว นนทภูอาจจะเป็นหนึ่งในนั้น สาเหตุที่ที่นี่ ไม่มีข่าวสารของนนทภู เป็นเพราะว่าหลังจากที่เขาปีนบันได สูงสําเร็จ ได้ออกจากเทือกเขาสนาไปแล้ว

เตชัสบอกร พงษ์ว่า สองคนนั้นที่ปีนบันไดสูงสำเร็จ คน หนึ่งชื่อว่าเทพสังหารเป็นเพชฌฆาตที่บ้าคลั่งคนหนึ่ง ครั้งนั้น คนผู้นี้ก็เข้าสู่เทือกเขาสนาจากในคุกใต้ดิน และวันแรกที่ เขาเข้าสู่เทือกเขาสนา ก็ฆ่าทุกคนทั้งหมดที่อยู่ร่วมห้องกับ เขา ไม่เหลือสักคน

จากนั้นเทพสังหารมุ่งมั่นฆ่าคน ราวกับว่าเขาเป็นคนบ้าคน หนึ่ง แทบจะทุกวันที่ต้องการฆ่าคน ถ้าไม่จัดสนามแข่งขัน ประลองให้เขา เขาก็จะฆ่าเจ้าหน้าที่ของเทือกเขาสนาที่เข้าไปส่งอาหารให้เขา ในช่วงเวลานั้นทั้งในคุกใต้ดินของ เทือกเขากิสนาได้รับความลำบากทุกข์ยากกันถ้วนหน้า

หลังจากนั้นเขาออกจากคุกใต้ดินไป ได้ท้าประลองกับ ยอดฝีมืออันดับเทพเจ้าแห่งสงครามตามลำดับ ทุกคนที่ประ มือกับเขาล้วนไปพบกับเทพหายนะแล้ว และก็เป็นการคงอยู่ ของเทพสังหารช่วงนั้น พละก๋าลังของเทือกเขากิสนาอ่อนแอ ถึงที่สุด ยอดฝีมือของที่นี่เกือบจะถูกเทพสังหารฆ่าจนสิ้น จน กระทั่งหลายปีผ่านไป เทือกเขาสนารับยอดฝีมือจาก ภายนอก ถึงได้ฟื้นคืนขึ้นมาได้

อีกคนหนึ่งชื่อว่าฌายน เป็นชายหนุ่มรูปงามที่มี บุคลิกลักษณะไม่ธรรมดาดุจเทพเซียน คนผู้นี้แม้ดูไปแล้วจะ สุภาพงดงาม แต่กำลังฝีมือการต่อสู้ของเขาสะเทือนฟ้าดิน ปีศาจเทพเซียนยังต้องหลั่งน้ำตา เขาเข้ามาเทือกเขากิสนา ก็เพื่อที่จะค้นหาผู้ที่สามารถเป็นคู่มือให้กับเขาได้

ครั้งนั้นฌายินเพียงคนเดียวท้าประลองกับยอดฝีมืออันดับ เทพเจ้าแห่งสงครามสิบแปดคนอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่มีท่าที ว่าจะพ่ายแพ้ ภายหลังในการปีนบันไดสูง โจมตีจนยอดฝีมือ อันดับเทพเจ้าแห่งสงครามสิบลำดับแรกพ่ายแพ้อย่างต่อ เนื่อง นับได้ว่าเป็นจํานวนที่น้อยมักจะมีในเทือกเขาสนา

ทั้งสองคนนี้ไม่ได้ปรากฏอยู่ที่เทือกเขาสนาในเวลา เดียวกัน มิเช่นนั้นแล้ว เทพสังหาร ก็สามารถเป็นคู่มือของฌา ยินได้ และการประมือของทั้งสองคน จะต้องกลายเป็นการต่อสู้ครั้งที่ยอดเยี่ยมที่สุดในประวัติศาสตร์ของเทือกเขา สนา หรือแม้กระทั่งในประวัติศาสตร์ทั้งหมดของสนาม แข่งขันประลอง

นนทภูจากตระกูลลัดดาวัลยไปในปีนั้น กําลังความ สามารถก็นับว่าเป็นลำดับต้น ในเกียวโต เทียบกับยอดฝีมือ ทั้งสองคนนี้ที่ปีนบันไดฟ้าสําเร็จ น่าจะยังมีความแตกต่างอยู่ มาก

ถึงแม้รพีพงษ์จะรู้ว่านนทภูแน่นอนว่าต้องมีความลับของ ตนเอง เช่นเดียวกับตัวเขากําลังความสามารถก็ไม่แน่ว่าจะ มีเพียงแค่บนเปลือกนอกน้อยนิดนั้น แต่ไม่ว่าจะเป็นเทพ สังหารหรือฌายน ล้วนแตกต่างกับลักษณะนิสัยของนนทภู อย่างมาก รพีพงษ์ไม่คิดว่านนทภูจะเป็นใครในพวกเขา

เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว โอกาสที่นนทภูยังมีชีวิตอยู่นั้นน้อยนิด อย่างมาก คุกใต้ดินและอันดับเทพเจ้าแห่งสงครามล้วนไม่มี เงาร่างของเขา ถ้าเขายังมีชีวิตอยู่ งั้นก็เหลือเพียงความเป็น ไปได้เดียว นั่นก็คือเขากลายเป็นเบื้องบนของเทือกเขาสนา

ความเป็นไปได้นี้น้อยนิดมาก เตชัสบอกกับรพีพงษ์ ตั้งแต่ เทือกเขาสนาปรากฏขึ้นมา ฐานะของเบื้องบนพวกนั้น ลึกลับไร้ใดเปรียบ อีกทั้งยังไม่เคยปรากฏสถานการณ์ที่คน ภายนอกกลายเป็นเบื้องบนของเทือกเขาสนา

ถึงแม้ไม่อาจรับรองได้ว่า ในระหว่างนี้มีเรื่องราวที่คนนอกไม่รู้เกิดขึ้นหรือไม่ แต่เรื่องที่นนทภูกลายเป็นเมืองบนของ เทือกเขากิสนานั้น ทําให้รพีพงษ์มีความรู้สึกว่าไม่ค่อย สอดคล้องกับความเป็นจริง

แต่เพื่อไขว่คว้าทุกความหวังไว้ รพีพงษ์ไม่ได้ปฏิเสธความ เป็นไปได้ ไปโดยตรง เพียงแต่เขาอยากใกล้ชิดกับเบื้องบน ของเทือกเขาสนานั้นไม่ง่าย ดังนั้นช่วงนี้เขาจึงกำลังปวดหัว เพราะเรื่องนี้

เพราะว่าข่าวของนนทภูไม่มีเงื่อนงำ รพีพงษ์จึงไม่มีทาง เลือกที่จะออกไปจากเทือกเขากิสนา ในใจของเขาค่อนข้าง คิดถึงอารียา ไม่รู้ว่าตอนนี้เธอเป็นอย่างไรบ้างแล้ว จึงคิดจะ ไปดื่มเหล้า บาร์ของเทือกเขาสนา ไล่ความว้าวุ่นภายใน ใจ

ตอนที่เขากําลังจะเดินถึงบาร์ของเทือกเขากิสนา พลัน สังเกตเห็นเงาร่างสายหนึ่งไม่ไกลจากตรงนี้เข้าไปในบาร์ คน คนนั้นก็คือฝนสุดาที่ครั้งที่แล้วมาพบรพีพงษ์เองโดยตรง

รพีพงษ์ไตร่ตรองครู่หนึ่ง จากนั้นเร่งฝีเท้าทันที เขาคิดว่า ฝนสุดานับว่าเป็นแขกของเทือกเขาสนา เธอจะต้องรู้เรื่อง เบื้องบนของเทือกเขาสนาไม่มากก็น้อย ไม่แน่ว่าตนเอง สามารถได้ข้อมูลเล็กน้อยที่เป็นประโยชน์จากเธอ

ถึงแม่ว่าครั้งที่แล้วที่เขาและฝนสุภาพบกันจะไม่นับว่า สุขใจนัก แต่เขากลับไม่คิดว่าฝนสุดาจะเห็นว่าเขาเป็นศัตรูเป็นเพราะเรื่องนี้ ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง ในช่วงนี้ฝนสุดาจะต้อง จ่ายเงินเพื่อช่วยงัดการแข่งขันให้เขาแล้ว

ในเทือกเขา สนา เพียงเงินที่ให้มากพอ คนมีเงินพวกนี้ แม้กระทั่งปีนบันไดสูงสนามหนึ่ง ก็สามารถจัดให้กับคนที ไม่มีบทบาทมากในคุก ใต้ดินได้ ตามทีเดช พูดไว้ จัดเตรียม ปีนบันไดสูงสนามหนึ่ง ต้องการเงินสามพันล้านเต็มๆ

ไม่ว่าคนที่จัดไว้กําลังความสามารถจะเป็นอย่างไร สามารถเดินขึ้นไปถึงก้าวที่เท่าไหร่ของการปีนบันไดสูง เพียง การปีนบันไดสูงเริ่มขึ้น สามพันล้านนี้ก็จะกลายเป็นรายได้ ของเทือกเขาสนา ถึงแม้ว่าคนคนนั้นเมื่อขึ้นไปก็ถูกกำจัด ตายทันที เงินพวกนี้ก็จะไม่คืนคืนตามเดิม

เนื่องจากเพราะราคาที่สูงลิบ ดังนั้นจึงมีเพียงไม่กี่คนที่โง่ ไปจัดการแข่งขันเช่นนี้ให้กับคนอื่น นอกจากว่าจะปรากฏ สถานการณ์ประเภทที่กำลังความสามารถแข็งแกร่ง แต่กลับ ไม่ยินยอมปีนบันไดสูง แต่กลับมีคนอยากรับชม

เงื่อนไขของยอดฝีมืออันดับเทพเจ้าแห่งสงครามที่ไปใน บันไดสูงเองก็โหดร้ายไม่แพ้กัน เริ่มแรกจําเป็นต้องติดหนึ่ง ในสิบลำดับแรกของอันดับเทพเจ้าแห่งสงคราม และตนเอง ต้องทํากําไรสองพันล้านมาสู่เทือกเขาสนา เช่นนี้ถึงจะมี สิทธิเข้าร่วมปีนบันไดสูง

หลังเข้าไปในบาร์แล้ว รพีพงษ์เห็นว่าด้านในมีคนไม่น้อยวันนี้สถานการณ์เช่นนี้นั้นพบเห็นได้น้อยนัก ภายใต้ สถานการณ์ปกติในบาร์จะไม่ค่อยมีคน เพียงแค่บางครั้งมี บางวัน กิจการดี คนจะมากหน่อย

แน่นอนว่ามา ที่เปิดในเทือกเขากิสนา ไม่ได้มีไว้เพื่อทํา กําไร ทั้งหมดนี้จัดไว้เพื่อบริการให้กับคนที่มาเทือกเขาสนา เท่านั้น

ฝนสุดานั่งอยู่ที่โซนนั่งด้านหน้า ตรงหน้าวางแก้วเหล้าไว้ หนึ่งแก้ว เธอกําลังนั่งเหม่อลอยที่นั่น ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไร

ภายในมาร์คนไม่น้อยถูกฝนสุดาดึงดูดความสนใจไปแล้ว ในนี้ส่วนใหญ่ยังเป็นคนในอันดับเทพเจ้าแห่งสงคราม หญิง สาวตระกูลใหญ่เช่นนี้ สำหรับพวกเขาแล้ว ยังคงมีแรงดึงดูด ค่อนข้างมาก

หลังจากรพีพงษ์เข้าไปแล้ว เดินเข้าไปทางฝนสุดาด้านนั้น โดยตรง และไม่ได้ทักทายฝนสุดา นั่งลงไปตรงหน้าของเธอ เลย

คนโดยรอบพวกนั้นที่กำลังจ้องมองทางนี้อยู่เห็นฉากนี้เข้า ต่างเบิกตากว้างทันที คิดไม่ถึงว่ารพีพงษ์จะใจกล้าขนาดนี้ ถึงกับกล้าเข้าไปตีสนิทกับฝนสุดา

พวกเขาอยู่ในเทือกเขาสนามาเป็นเวลานาน เกี่ยวกับฝน สุดานั้นยังพอรู้อยู่บ้าง หญิงสาวของครอบครัวตระกูลก้อง วณิชกุลผู้นี้ มีท่าทีเย่อหยิ่งไม่เห็นใครอยู่ในสายตา ไม่ใช่ว่าใครก็สามารถเข้าไกล้ได้

สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ เรื่องที่ธนเทพกำลังตามจีบฝนสุดา ใน เทือกเขาสนาก็มีข่าวลืออยู่บ้าง

คนในเทือกเขากิสนาไม่รู้ข่าวสารจากภายนอก ดังนั้น ความบันเทิงในยามปกติ ก็คือพูดหยอกล้อเรื่องซุบซิบใน ตระกูลใหญ่เหล่านี้ ประเด็นร้อนเรื่องธนเทพและฝนสุดาทั้ง สองคนค่อนข้างร้อนแรง

“นั่นไม่ใช่รพีพงษ์ที่ออกมาจากคุกใต้ดินไม่นานมานี้หรือ บ้าน เขาใจกล้าเกินไปแล้ว ถึงกับตรงเข้าไปนั่งตรงข้ามคุณ ฝนสุดาเลย”

“ให้ตายเถอะ หรือว่าเขาไม่กลัวคุณชายของครอบครัว ตระกูลวัชรากิจกุลจะเอาปัญหามาให้เขาหรือ? หัวสมองน้ำ เข้าไปจริงๆ หรือไง”

“เบาเสียงหน่อย คนเขาเป็นถึงอันดับเทพเจ้าแห่งสงคราม ลำดับที่สิบสาม ระวังเขาได้ยินเข้าแล้วมาหาเรื่องพวกเรา”

“เหอะ แค่เขา ยังมีหน้าจัดถึงลำดับที่สิบสามหรือ ยมราช เตชัสยังไม่ทันได้ลงมือกับเขา ใครจะรู้ว่าเขาใช้วิธีอะไร ทําให้ยมราชเดชสยอมแพ้ก่อน อย่างไรก็ตามดูท่าทางเขา แล้ว เกรงว่าเขาแม้แต่กำลังที่จะเข้าอันดับเทพเจ้าแห่ง สงครามยังไม่มี”
ตนไม่น้อยพยักหน้าเห็นด้วย เกี่ยวกับชนบ เทพเจ้าแห่งสงครามลำดับที่สิบสาม พงษ์ตนนี้ พวกเขา ต่างดูถูกอย่างมาก

ฝันสุดากําลังเหม่อลอย อยู่ๆ ก็รู้สึกว่าตรงข้ามตนเองมีคน มานั่งก็เงยหน้ามองครั้งหนึ่ง หลังจากเห็นเพีพงษ์แล้ว ตอน แรกประหลาดใจ ทันทีหลังจากนั้นบนใบหน้าก็เผยร่องรอย ความอับอายและคับแค้น นึกถึงโทรศัพท์เครื่องนั้นที่เต็มไป ตัวยรูปภาพส่วนตัวของตนเองยังอยู่ในมือของรพีพงษ์ เธอก็ บเขียวเคียวฟิน

“นายมาทําอะไรที่นี่? ” ฝนสุดาอารมณ์ไม่ดีถามขึ้น

“ในบารมีแต่สาวสวยอย่างเธอคนเดียว ฉันเข้ามาตีสนิท สักหน่อย คงไม่มีปัญหาอะไรใช่ไหม? “รพีพงษ์เอ่ยยิ้มๆ

ฝนสุดาเบ้ปาก พูดว่า “คิดไม่ถึงว่านายก็เป็นคนเหลว ไหลขนาดนี้ ดูแล้วก่อนหน้านี้ฉันมองนายผิดไปแล้ว”

“เอ๋ คำพูดเมื่อครู่ก็แค่ล้อเล่น ฉันไม่ได้สนใจอะไรเธอ มา หาเธอแค่อยากจะถามเรื่องอะไรนิดหน่อย” รพีพงษ์เปลี่ยน น้ำเสียงทันที

ฝนสุดาโกรธจนเต้นในทันที ผู้ชายตรงไปตรงมาที่สมควร ตายคนนี้ สมอง โดนซอมบี้กินไปแล้วหรือไง?

“ไสหัวไป! ” ฝนสุดาตะโกนใส่รพีพงษ์คำหนึ่ง
รพีพงษ์กําลังจะพูดคุยดีๆ กับฝนสุดา ในตอนนี้เงาคนสาย หนึ่งเดินมาถึงที่นั่งด้านบนแล้ว ก็คือธนเทพที่ใบหน้ามืดครึ้ม

เขาจ้องรพีพงษ์ หนึ่ง ยื่นมือชี้ไปที่ประตูบาร์ กล่าวเสียง เย็น : “ได้ยินคําพูดของสุดาหรือยัง? ตอนนี้รีบไสหัวไปไม่ อย่างนั้นอย่าหาว่าฉันไม่เกรงใจ! “


เพื่อการอัปเดตบทที่เร็วขึ้น กรุณาบริจาคสำหรับเว็บไซต์เพื่อซื้อบทใหม่! ขอขอบคุณ
THB

เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ