พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว

บทที่ 479 โยนพวกแกสองคนลงไป



บทที่ 479 โยนพวกแกสองคนลงไป

บนรถไฟความเร็วสูงที่มุ่งหน้าไปยังเกียวโต

รพีพงษ์นั่งอยู่ตรงที่นั่งข้างหน้าต่างแล้วหลับตาทำสมาธิ ขบวน รถไฟถึงสถานี แล้วค่อยๆ จอดลง มีคนไม่น้อยลงจากรถไฟ แล้ว ก็มีคนไม่น้อยที่ขึ้นรถไฟ

ผ่านไปยังไม่นาน รพีพงษ์ก็รู้สึกมีคนกำลังใช้มือจับหัวของ ตนเอง จึงได้ลืมตาขึ้นมอง ก็เห็นผู้หญิงที่แต่งตัวทันสมัยแล้วยืน อยู่ตรงหน้าตนเอง

ผู้หญิงคนนั้นทำผมลอน ดูอายุยี่สิบกว่าๆ มีดวงตาที่กลมโต ก็ ถือว่าเป็นสาวสวยคนหนึ่ง

“เป็นอะไรไป? ” รพีพงษ์เอ่ยถาม

“คุณนั่งข้างนอก ฉันจะนั่งริมหน้าต่าง” ผู้หญิงพูดด้วยความไม่ เกรงใจ

รพีพงษ์ขมวดคิ้วเล็กน้อย แล้วพูดขึ้น “นี่เป็นที่นั่งของผม”

“ที่นั่งของคุณแล้วจะทำไม? ฉันอยากจะที่ติดหน้าต่าง คุณก็ ต้องถอยให้ฉัน ทำไมคุณถึงไม่มีตาทิพย์สักนิดเลย? ” ผู้หญิงพูด อย่างวางอานาจ

รพีพงษ์รู้สึกสุดค่าบรรยายเล็กน้อย แล้วพูดขึ้น “ถ้าคุณใช่คน แก่ คนป่วย คนพิการ หรือคนตั้งครรภ์ ผมสามารถหลีกให้คุณได้คุณเป็นคนประเภทไหน? ”

ผู้หญิงจึงปรี้ดแตก แล้วตะโกนขึ้น “คุณบอกใครเป็นคนแก่ คนป่วย คนพิการหา คุณรีบขอโทษฉันเดี๋ยวนี้! ”

รพีพงษ์ไม่ได้สนใจเธอ แล้วหลับตาลงต่อ

ผู้หญิงเห็นรพีพงษ์ไม่สนใจเธอ จึงรู้สึกโมโหเป็นฟืนเป็นไฟ จากนั้นก็ขย่ำเท้าอยู่ที่เดิม

คนที่นั่งรอบๆ รพีพงษ์เห็นผู้หญิงคนนี้แต่งตัวแบรนด์เนมทั้งตัว ดูก็รู้ว่าเป็นคุณหนูจากคนมีเงิน ดังนั้นก็ไม่กล้าไปมีผิดด้วย จึง มองเธอใส่อารมณ์แบบนี้

ไม่นาน ชายคนหนึ่งที่มีอายุราวๆ กับผู้หญิงคนนี้ก็เดินมา เขา เดินมาข้างๆ ผู้หญิง แล้วเอ่ยถาม “ของขวัญ เธอเป็นอะไรไป? ”

นันทิตาเห็นผู้ชาย จึงรีบทำท่าทางที่ไม่ได้รับความธรรมแล้ว พูดขึ้น “ประเวก คุณรีบช่วยฉันสั่งสอนไอ้ผู้ชายที่ไม่รู้จักกลัวคนนี้ หน่อย ฉันบอกให้เขาเปลี่ยนที่นั่งกับฉัน ฉันอยากจะนั่งริม หน้าต่าง เขากลับไม่เห็นด้วย ทำให้ฉันเครียดตายแล้ว”

ประเวกได้ยินคำพูดของนันทิตา จึงเหลือบตามองรพีพงษ์ที่ กำลังหลับตาพักผ่อนเพียงพริบตา จากนั้นก็พูดกับรพีพงษ์อย่าง ไม่พอใจเล็กน้อย “นี่ คนอย่างคุณทำไมถึงไม่รู้จักสงสารกุลสตรี สักบ้าง เธอเป็นผู้หญิง คุณยอมๆ เธอหน่อยไม่ได้หรือไง คุณรีบ หลีกที่นั่งนั้นออกมาเถอะ อย่าให้ผมต้องพูดมากอะไรเลย”

“ฉันก็บอกให้คุณแล้วไงว่าอย่าซื้อที่นั่งระดับสองนี้ ที่นั่งระดับสองได้เจอคนอะไรไม่ต้องทนทุกข์หรอก” นันทิตาจึงว่าประเวกด้วยสีหน้าที่เคล้า ด้วยความโมโห

ประเวกรีบขอโทษนันทิตา “เป็นความผิดซื้อนั่งชั้นบิสซิเนส ครั้งหน้าไม่ให้เกิดเหตุการณ์แบบอีก”

คนที่อยู่ได้ยินคำพอใจ มาทันที ทว่าก็ไม่กล้าสร้างปัญหา ไม่มีใครกล้าพูดอะไร

นันทิตาเหลือบตาม

เห็นรพีพงษ์ยังคงท่า

“คุณดูเขาเขาไม่เห็นพวกเราอยู่ในสายตา คุณบอกเขา เขา ไม่

ประเวกรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย เมื่อกี้เขาคุยกับรพีพงษ์ รพี พงษ์กลับได้ตอบสนองแม้แต่สักนิด สำหรับคนที่เป็นพ่อแรง ทนกับท่าทีแบบคนอื่นกระทำต่อเขาได้

อย่างประเวกกับนันทิตาคือคุณชายคุณหนูจาก ตระกูลใหญ่เมือง เมืองพวกเขาไม่ถือโด่งดัง ทว่า ตั้งแต่ถูกเลี้ยงอย่างดิบดี

น้าชายสายคนหนึ่งของประเวกช่วงได้ติดตามทำงาน ให้กับคนใหญ่คนโตท่านหนึ่ง พวกเขาสองคนเกียวโตก็ไปหาน้าชายคนนั้น พบหน้ากันหน่อย
พอนึกถึงน้าชายของตนเองติดตามคนใหญ่คนโต เป็นคนที่มี อิทธิพลในสังคม ตอนนี้กลับถูกคนๆ หนึ่งที่ซื้อที่นั่งโดยสารชั้น สองไม่มองในสายตา ภายในใจของประเทศก็รู้สึกโมโหขึ้นมา

“แกไม่ได้ยินคําพูดของฉันใช่ไหม? ฉันให้เวลาแกสามวินาที รีบลุกขึ้นเดี๋ยวนี้ ไม่งั้น อย่าหาว่าฉันไม่เกรงใจแก! ” ประเวกยื่น มือไปชี้หน้ารพีพงษ์

รพีพงษ์ยังคงไม่ตอบสนองใดๆ แล้วหลับตาลง ท่าทางเหมือน สนใจเสียงของโลกภายนอกเลย

“หนึ่ง! ”

“สอง! ”

ประเวกตะโกนขึ้น ตอนนี้ทั้งใบหน้าของเขากลายเป็นสีหน้าที่ ดูแย่ ในห้องโดยสารมีคนมากมายกำลังจับจ้องอยู่ ถ้ารพีพงษ์ไม่ ให้เกียรติเขา เขาต้องลงมือสั่งสอนรพีพงษ์แน่นอน

คนรอบข้างมองฉากๆ นี้ก็อดส่ายหน้าไม่ได้ ทำให้เห็นอย่าง ชัดเจนว่าการครอบงำของประเวกและนันทิตาก็ไม่มีวิธีอะไรแล้ว

“ไอ้หมอนี่ก็ไม่กลัวว่าจะสร้างเรื่องบาดหมางจริงๆ กลับกล้าไป มีเรื่องกับสองคนนี้ ดูจากสภาพของเขานั้นธรรมดา ต้องไม่มีวิธีมี เรื่องกับลูกคนมีเงินพวกนี้แน่นอน”

“ก็นับถือในความกล้าหาญของเขาจริงๆ แค่เขาเหมือนดูโง่ เกินไป แล้วหลับตาอยู่อย่างนั้น ถ้าผู้ชายคนนั้นจะทำร้ายร่างกาย เขาขึ้นมา เขาก็ไม่มีปัญญาโต้แย้งกลับแน่นอน”
“ได้เจอกับคนพวกนี้ก็ถือว่าต้นใจจริงๆ หวังว่าไอ้หมอนี่จะไม่ เกิดเรื่องที่ร้ายแรงอะไรก็พอ ถ้าเดี๋ยวเขายอมอ่อนข้อ แล้วหลักที่ นั่งหน่อย คิดว่าคงไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร”

“สาม! ”

ประเวณนับสาม ก็เห็นรพีพงษ์ยังคงนั่งอยู่ตรงนั้นไม่ขยับไป ไหน และไม่พูดไม่จา จากนั้นก็เอาฝ่ามือและกำลังจะตบหน้าร พงษ์

คนรอบข้างเห็น ต่างก็ส่ายหัวไม่หยุด แม้กระทั่งบางคนยัง อยากจะเอ่ยพูดเพื่อบอกเตือนรพีพงษ์ ทว่าสุดท้ายยังคงไม่กล้า พูดอะไร

ตอนที่ฝ่ามือของประเวก ใกล้จะโดนหน้าของรพีพงษ์ รพีพงษ์ ยกมือขึ้นทันที จากนั้นก็จับข้อมือของประเวกไว้ แล้วมือของเขาก็ ไม่สามารถขยับได้แม้แต่น้อย

ประเวกจึงตกตะลึง เมื่อเขาเห็นรพีพงษ์หลับตาสนิท ไม่มีทาง เห็นฝ่ามือที่ตบไปของเขาแน่นอน ทว่ารพีพงษ์กลับจับมือที่ตบไป ของเขาได้อย่างแม่นยำขนาดนี้

เขาใช้แรง และอยากจะดึงมือตัวเองกลับมา ทว่าก็สังเกตเห็น อย่างน่าตกตะลึงว่ามือของเขากลับขยับไม่ได้แม้แต่นิด ไม่ว่าเขา จะใช้แรงมากแค่ไหน ก็ไม่สามารถหลุดออกจากมือของรพีพงษ์ ได้
คนที่อยู่รอบๆ เห็นฉากนี้ ทั้งใบหน้าเคล้าด้วยความตกตะลึง นึกไม่ถึงว่ารพีพงษ์หลับตาก็ยังสามารถจับมือของประเวกได้ ช่าง เก่งกาจจริงๆ

“แม่งเอ้ย แกปล่อยมือฉันเดี๋ยวนี้นะ แกไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้ว หรือไง! ” ประเวกตะคอกใส่รพีพงษ์ไปด้วย และก็ใช้แรงดึงมือ ของตัวเองไปด้วย

เวลานี้จู่ๆ รพีพงษ์ก็ปล่อยมือ ประเวกก็นั่งลงบนพื้นทันที แล้ว ร้องโอ้ยขึ้นมา

ทุกคนในห้องโดยสารเห็นฉากนี้ จึงหัวเราะเสียงดังทันที นันทิตาแค่รู้สึกขายหน้า และแทบจะออกจากที่นี่ทันที แล้วทำ เป็นไม่รู้จักประเวก

ประเวกลุกขึ้นจากพื้น แล้วนวดสะโพกของตัวเอง จากนั้นก็หัน ไปมองคนพวกนั้นที่กำลังหัวเราะ จึงพูดอย่างโมโห “พวกแก

หัวเราะอะไร! ถ้ายังหัวเราะอีกก็อย่าหาว่าฉันไม่เกรงใจแล้วกัน! ”

คนไม่น้อยก็รีบหุบปากทันที แต่ว่ายังคงมีคนหัวเราะเสียงเบา เมื่อผ่านเรื่องเมื่อกี้ไป ความหวาดกลัวของทุกคนที่มีต่อประเวก ลดน้อยลงไปมาก

“ประเวก! เรื่องนี้ถ้าคุณจัดการไม่ได้ สถานีต่อไปก็ลงจาก

รถไฟ! ” นันทิตาตะคอกใส่ประเวกทันที

ประเวกแอบก่นด่าในใจ จากนั้นก็มองไปยังรพีพงษ์ แล้วพูด ขึ้น “แกยังถือว่ามีความอดทนซินะ? ถ้าแกแน่จริงก็สู้กับฉันตัวต่อตัวสิ ฉันรับประกันว่าแกจะคุกเข่าขอร้องฉัน! ”

เวลา รพีพงษ์ลืมขึ้น แล้วจึงตามองประเวกและนันทิตาเพียง ชั่วพริบตา แล้วพูดด้วยเสียงเย็นชา “ถ้าพวกคุณแกคนยังจะ โวยวายต่ออีก ตอนนี้ฉันจะโยนพวกแกสองคนลงไปรถไฟ”

ประเวกและนันทิตาต่างก็ถูกสายตาที่เลือดเย็นชาของรพีพงษ์ ทําให้ตกใจ ทันใดนั้นกลับไม่กล้าโต้แย้งรพีพงษ์กลับ ภายในใจ ของพวกเขาต่างก็แน่ใจ ถ้าพวกเขาไม่ฟังคำพูดของรพีพงษ์ รพี พงษ์คงจะโยนพวกเขาสองคนลงจากรถไฟแน่นอน

“ตอนนี้รีบไปนั่งที่นั่งของตัวเองให้ดี ตอนออกมาข้างนอก ก็ เก็บความเอาแต่ใจที่เป็นลูกคุณหนูคุณชายของพวกแกไว้ให้ดี ไม่ใช่ทุกคนที่สามารถทนกับนิสัยใจคอของพวกแกได้” รพีพงษ์ เอ่ยพูด

ประเวกและนันทิตาทั้งสองก็รีบไปนั่งประจำที่นั่งของตัวเองไว้ อย่างเชื่อฟัง ไม่กล้าไปมีเรื่องกับรพีพงษ์อีกต่อไป

ทุกคนเห็นฉากๆ นี้ภายในใจก็แอบพูดว่าดี ทุกคนต่างก็เชียร์ รพีพงษ์ ขณะเดียวกันก็รู้สึกประเวกและนันทิตา และก็สมน้ำหน้า พวกเขา

ตอนที่พวกเขาอยู่ในบ้านไม่มีใครจัดการกับพวกเขา หลังจาก ออกบ้าน ย่อมมีคนที่สามารถทำให้จัดการกับพวกเขา

ประเวกและนันทิตา ทั้งสองนั่งลงเสร็จ และต่างที่นิ่งเงียบไป สักพัก แค่มองรพีพงษ์ด้วยสายตาเกลียดชังเพียงไม่กี่พริบตา จากนั้นก็ไม่ได้เกิดเรื่องอะไรอีก
จากนั้นนั้นขบวนรถไฟน์ก็มุ่งหน้าต่อ ในห้องโดยสารที่เกิด บรรยากาศที่สงบสุขขึ้นเยอะ มีคนไม่น้อยที่พูดคุยเล่นกันต่อ

รพีพงษ์ยังคงนั่งอยู่ตรงนั้น แค่ว่าเวลานี้ก็ไม่ได้หลับตาพักผ่อน อีกไป แต่มองไปยังทิวทัศน์ที่แวบผ่านตาตรงนอกหน้าต่าง ภายในใจกำลังคิดว่าอารียาตอนนี้กำลังทำอะไรอยู่ ได้รับความ ทุกข์ทรมานหรือไม่

สองวันนี้ที่เขาอยู่ในเมืองริเวอร์ คนที่อยู่ท่ามกลางสนาต่างก็ ปรับเปลี่ยนกำลัง และเอารับภารกิจที่ต้องเปลี่ยนแปลงเขตเมือง เก่าของเกียวโต แล้วคนรับผิดชอบก็คือคนๆ หนึ่งที่มากความ สามารถและเป็นบุคคลที่อยู่นอกโลกที่กิสนาฝึกฝนออกมา

กิสนามีมาหลายปีแล้ว ในประวัติศาสตร์ที่ยานาน ฝึกฝนคนที่ มีความสามารถมากมาย และกระจายตัวอยู่ในสายงานสาย ธุรกิจหลากหลายประเภทในนอกโลก นี่ก็คือกิสนาตัดขาดจาก โลก กลับเป็นเหตุผลที่สามารถควบคุมสถานการณ์ต่างๆ นอก โลกอย่างทันเวลา

คนพวกที่มีความสามารถทั้งหมดต่างก็จงรักภักดีกิสนา สําหรับบอสกิสนาก็ยังทำให้พวกเขาเคารพนับถืออย่างบ้าบิ่น

รพีพงษ์เป็นลูกชายบอสกิสนา ขณะเดียวกันก็ยังครอบครอง คำสั่งของเทพเจ้าแห่งสงคราม คนพวกที่อยู่ในนอกโลกถึงจะฟัง คําสั่งของรพีพงษ์

ครั้งนี้เขายืมกำลังของกิสนา ในการได้มาซึ่งภารกิจการ เปลี่ยนแปลงเขตเมืองเก่า ก็เพื่อที่จะสั่งสอนโยษิตาและตระกูลนิธิวรสกุลส่งมาเกียวโต พวกเขาต้องไม่รู้ว่าตัวเองได้รับการ สนับสนุนอันแรงแกร่งและยิ่งใหญ่จากสนา

ไม่แน่ไอ้จิรเวชและโยษิตาอาจจะรู้สึกว่าตอนนี้ตัวเองกำลัง ปวดหัวว่าจะจัดการกับพวกเขายังไง กลับไม่รู้ว่ารพีพงษ์ได้ครอบ ครองกำลังที่มีผลกระทบต่อสถานการณ์ของโลก อยากจะจัดการ กับคนๆ หนึ่งของตระกูลนิธิวรสกุลที่ถูกสั่งให้ไปเกียวโต แน่นอน ว่าต้องง่ายต่อการจัดการอยู่แล้ว

ที่เขารอคอยคือสามารถเห็นสีหน้าของจิรเวชและโยษิตาสอง คนตอนที่รู้ว่าเบื้องหลังของผู้ที่วางแผนเปลี่ยนแปลงเขตเมืองเก่า ที่แท้จริงคือรพีพงษ์ สีหน้าของพวกเขาจะเป็นยังไง

“ไม่รู้ว่าพวกคุณได้ยินมาหรือยัง เขตเมืองเก่าของเกียวโตใกล้ จะถูกเปลี่ยนแปลงใหม่ นี่เป็นโปรเจคที่ใหญ่มาก ถึงเวลาเรื่องที่ ต้องเกี่ยวข้อง ต้องเป็นเรื่องที่ซับซ้อนมากแน่นอน” เวลานชายวัย กลางคนหนึ่งพูดขึ้น

“ใช่หรอ เขตเมืองเก่าจะถูกเปลี่ยนแปลงใหม่หมดหรอ ทว่าไม่ ใช่ที่ๆ สถานที่อื่นสามารถเทียบเทียมได้ เป็นการก่อสร้างที่ใหญ่ มากจริงๆ ”

“ได้ยินว่าผู้ที่รับผิดชอบเกี่ยวกับงานก่อสร้างนี้ คือคนใหญ่คน โตที่มีภูมิหลังที่ยิ่งใหญ่คนหนึ่ง ว่ากันว่าตอนนี้คนที่มีอำนาจของ เกียวโตต่างกำลังคิดหาวิธีเพื่อที่จะเอาอกเอาใจคนใหญ่คนโต ท่านนี้ ถ้าสามารถได้ส่วนแบ่งอะไรมาจากโปรเจคการ เปลี่ยนแปลงเขตเมืองเก่า งั้นก็คงได้รับผลประโยชน์จะทำให้คนตกใจมาก”

ทีแรกประเภทที่นิ่งเงียบไม่พูดไม่จา พอได้ยินทุกคนพูดคุย เกี่ยวกับปัญหานี้ บนใบหน้าเคล้าด้วยรอยยิ้ม หลังจากนั้นจึงพูด กับทุกคน “จะบอกพวกคุณนะ ครั้งนี้เราไปเกียวโต ก็เพื่อไปหา น้าชายของผม น้าชายของผมทำงานให้กับคนใหญ่คนโตคนนั้น ที่พวกคุณพูดถึง ไม่แน่แผนการเปลี่ยนแปลงเขตเมืองเก่า ในครั้ง นี้ ผมก็ยังสามารถได้รับตำแหน่งที่ตั้งหนึ่งในนั้นก็ได้”


เพื่อการอัปเดตบทที่เร็วขึ้น กรุณาบริจาคสำหรับเว็บไซต์เพื่อซื้อบทใหม่! ขอขอบคุณ
THB

เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ