พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว

บทที่ 431 พุ่งเข้าไปรวดเดียว



บทที่ 431 พุ่งเข้าไปรวดเดียว

ภายในห้อง ทันทีที่รพีพงษ์เข้ามา ก็รู้สึกถึงความเป็นหนาวเหน็บ สายหนึ่งจู่โจมเข้ามา เงยหน้ามองไป อุโมงค์ยาวสายหนึ่ง ปรากฏขึ้นตรงด้านหน้าของเขา

แสงในอุโมงค์สายนี้มืดสลัว บนผนังทั้งสี่ทิศมีลวดลายซับ ซ้อนจำนวนมาก ถ้าไม่ใช่รู้ว่าตนอยู่ที่ชั้นสาม รพีพงษ์อาจจะนึก ว่าตนเองเข้ามาในอุโมงค์แปลก ๆ ในสุสานโบราณ

สุดทางเดินนี้ มีประตูอยู่บานหนึ่ง ถ้าเดาไม่ผิด ประตูอีกบาน หนึ่งที่เจ้าหน้าที่ไม่กี่คนนั้นพูดถึง ก็อยู่สุดทางเดิน

ในเมื่อนี่คือซิลิน รพีพงษ์ก็ไม่มีทางรู้สึกว่าอุโมงค์ที่ดูไปแล้ว เพียงแค่มืดทึบน่ากลัวนิดหน่อยไม่มีอะไรพิเศษนี้ ถ้าเดาไม่ผิด ภายในเส้นทางสายนี้ ควรเต็มไปด้วยกลไก

บ่อยครั้งที่ยิ่งเป็นสถานที่ประเภทที่มองไปแล้วไม่ซับซ้อน ซุกซ่อนอันตรายที่ทำให้ไม่อาจจินตนาการได้ ถ้าอุโมงค์สายนี้ ผ่านไปได้อย่างง่ายดายจริง พวกของจงจินตนก็ไม่มีทางตื่น ตระหนกตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อเมื่อพูดถึงซิลิน

รพีพงษ์ก้าวออกไปก้าวหนึ่ง เหยียบบนทางสายนั้น โดยไม่มี สัญญาณเลยแม้แต่น้อย บนผนังทั้งสองฝั่ง พลันปรากฏช่องขึ้น จํานวนหนึ่ง ลูกธนู16ดอกติดกำลังแรงยิงออกมาทางร่างของพี พงษ์ด้วยความเร็วสูง รูม่านตาของรพีพงษ์หดลงทันใด ก้าวที่ สองรีบก้าวออกไปทางด้านหน้า ในตอนนี้บนหัวของเขาอยู่ๆ ก็มีหินขนาดใหญ่ตกลงมาก้อนหนึ่ง ทุบลงมายังร่างของเขาโดยไม่ ให้เวลารับแรงกระแทกแม้แต่น้อย

รพีพงษ์สอบค่าในใจเสียงหนึ่ง อีกก้าวหนึ่งก้าวออกไป บนพื้น พลันปรากฏเปลวไฟลุกโชนขึ้นมา ราวกับว่าจะกลืนกินรพีพงษ์ เข้าไปตรงๆ

เขาอาศัยพลังกระโดดของตน กระโดดไปยังด้านหน้าด้วย ความเร็วสูง หลังจากหล่นลงบนแผ่นหินแผ่นที่สี่ หลังพบว่าไม่มี กลไกใหม่แล้ว ถึงได้ผ่อนลมหายใจอย่างเงียบๆ

รพีพงษ์ไม่คาดคิดว่าเขาเพิ่งจะเหยียบอุโมงค์สายนี้ ก็ประสบ กับกลไกที่หนาแน่นเช่นนี้ มองทางเดินที่ยังเหลืออีกกว่าร้อย เมตร รพีพงษ์ก็รู้สึกหนังหัวชาหนีบ ถ้าทางเดินที่เหลือยังคงมี กลไกที่แน่นหนาเช่นนี้ ถึงแม้เขาจะมีการตอบสนองที่เร็วยิ่งกว่านี้ ก็ต้องมีความเป็นไปได้ที่จะพลาดพลั้ง เมื่อเผลอไปสักเล็กน้อย ก็ มีโอกาสที่จะถูกกลไกบางอย่างที่ปรากฏขึ้นกะทันหันเอาชีวิ ตน้อยๆ ไป

ไม่แปลกใจที่ผู้คนในคุกใต้ดินล้วนกลัวการเข้าร่วมชิลินเช่นนี้ ถึงแม้จะเป็นการเผชิญหน้ากับความยั่วยวนของอิสรภาพ ก็ สามารถอดกลั้นได้

ระดับอุปสรรคของซิลินนี้ ไม่ใช่คนธรรมดาจะสามารถผ่านไป ได้แบบสบายๆ เลยจริงๆ

เขาหายใจเข้าลึก ยืนบนแผ่นหินแผนที่สี่ปรับสภาพของตน มุมปากขยับขึ้นเป็นรอยโค้งที่ดูขี้เล่น
เส้นทางกลไกน์แม้จะน่าหวาดกลัว มีความท้าทายอย่างมาก แต่สำหรับรพีพงษ์ที่แต่ไหนแต่ไรมีความเชื่อมั่นอย่างยิ่งในกำลัง ของตนเองแล้ว นี่ก็เหมือนกับเกมฝ่าด่าน

เขาตั้งตารออย่างยิ่งว่ากลไกที่เหลืออยู่ของเส้นทางนี้จะเป็น แบบไหน ตามการคาดการของเขา ถ้าความเร็วของเขา แสดงออกมาอย่างเต็มที่ไปถึงระบบกลไก การตอบสนองถึง ระดับสมบูรณ์แบบ ภายในเวลาที่จำกัด เขาสามารถพุ่งไปรวด เดียวถึงสุดอุโมงค์สายนี้ได้

ในอุโมงค์สายนี้เหมือนกับแผ่นหินแผ่นที่สี่ที่ยังคงมีพื้นที่ให้ คนไต้หอบหายใจ หลายคนหลังจากเหยียบไปบนแผ่นหินแล้ว คงจะไม่มีทางเลือก บังคับให้ตนเองต้องหลบกลไกพวกนั้น หลัง จากมาถึงแผ่นดินที่ไม่มีกลไกพวกนี้แล้วก็จะเปลี่ยนเป็นลังเลขึ้น

พวกเขาจะเกิดความหวาดกลัวต่อกลไกด้านหลังอุโมงค์ ดัง นั้นจึงไม่กล้าที่จะก้าวต่อไป คนส่วนมากถึงแม้จะมีความสามารถ หลบพ้นกลไกพวกนี้ แต่ว่าเป็นเพราะความหวาดกลัวในใจ หยุด พักอยู่บนแผ่นหินนานเกินไป สุดท้ายก่อให้เกิดลินล้มเหลวเช่น กัน

หลังครุ่นคิดอย่างละเอียดแล้ว รพีพงษ์ไม่ได้เร่งร้อนเคลื่อนที่ แต่ยืนนิ่งอยู่ที่เดิม พยายามทำให้สภาพของตนฟื้นฟูกลับมาตี ที่สุด พักสักครู่เขาจะลองท้าทายพุ่งให้ถึงที่สุดในรวดเดียว ตาม ที่ความเร็วนั้น มากที่สุดหนึ่งนาทีก็สามารถถึงปลายสุดของ อุโมงค์ ดังนั้นหยุดพักบนแผ่นหินแผ่นที่สนานสักหน่อยจึงไม่มี ผลกระทบอะไร
นอกประตูตรงสุดทางเดิน เจ้าหน้าที่จำนวนหนึ่งเดินมาถึงฝั่งนี้ แล้ว ทางด้านบนของประตู มีจอแสดงภาพ ด้านบนกำลังแสดง การสังเกตการณ์อุโมงค์ด้านใน สามารถมองเห็นสถานการณ์ ด้านในของผู้ที่เข้าร่วมซิลินได้อย่างชัดเจน

ตอนที่พนักงานพวกนั้นมาถึงที่ด้านนอกประตู ก็ล้วนมองไปที่ จอแสดงผลนั้นครู่หนึ่ง หลังจากมองเห็นรพีพงษ์ยืนอยู่บนแผ่นหิน แผ่นที่สี่แล้ว ต่างก็ประหลาดใจเล็กน้อย แต่ในสีหน้าท่าทางที่ แสดงออกมายังคงเต็มไปด้วยความเหยียดหยาม

“โชคของคนคนนี้ไม่เลวเลย ถึงกับหลบพ้นกลไกสามอย่าง ก่อนหน้านี้ได้ แต่ว่าดูท่าทางแล้ว เขาคงถูกทำให้ตกใจไปแล้ว ไม่กล้าเดินต่อมาด้านหน้าเลย

“กลไกสามอย่างก่อนหน้าคือกลไกภายในอุโมงค์นี้ที่ง่ายที่สุด ถ้าเขาแม้แต่สามอันนี้ยังผ่านไปไม่ได้ นั่นทำให้ฉันต้องหัวเราะ ตายเลย อุโมงค์นี้ทั้งหมดหนึ่งร้อยแปดชนิดกลไก ชนิดหนึ่งยิ่ง น่ากลัวขึ้นเรื่อยๆ ความท้าทายที่แท้จริง ยังอยู่ด้านหลังน่ะสิ”

“พวกนายดูท่าทางไอ้หมอนี่สิ เหมือนว่าจะไม่กล้าขึ้นมาด้าน หน้าจริงๆ ฉันว่ากลไกด้านหลังร้ายกาจยิ่งกว่านี้ก็ไม่มีประโยชน์ แล้ว ตามที่ประสบการณ์ก่อนหน้านี้ คนคนนี้คงรอจนถึงสิบห้า นาทีสิ้นสุด แล้วค่อยไปกินข้าวมื้อสุดท้ายไงเล่า

ไม่กี่คนนี้ต่างถกเถียงกันอย่างออกรส ในคำพูดทั้งหมดล้วน เป็นการดูถูกรพีพงษ์ พวกเขาไม่คิดว่ารพีพงษ์จะสามารถผ่านซิลินนี้ได้

แต่ก็ไม่ได้พุ่งเป้าไปที่รพีพงษ์เพียงคนเดียว แทบจะทุกคนที่เข้า ร่วมชิลิน ในสายตาพวกเขาล้วนแต่เป็นพวกสวะ ถึงอย่างไรคนที่ สามารถมีชีวิตรอดมาจากอุโมงค์ได้ ยังไม่ถึงหนึ่งในสิบ รวมกับ รพีพงษ์ดูไปแล้วก็ไม่เหมือนยอดฝีมืออะไร ดังนั้นจึงเป็นปกติที่ พวกเขาจะรู้สึกว่ารพีพงษ์ไม่สามารถรอดชีวิตออกมาได้

“พวกนายยังจําพวกเราที่นี่คนที่ผ่านอุโมงค์ได้เร็วที่สุดคนนั้น ใช้เวลานานเท่าไหร่ได้ไหม?” มีคนหนึ่งเปิดปากถามขึ้น

แปดนาทีสิบเจ็ดวินาทีไง แค่นี้นายก็ลืมแล้ว นี่เป็นการใช้ เวลาที่สั้นที่สุดของเทือกเขาสนาในรอบสิบปี คนคนนั้นที่ผ่าน ลินตอนนี้เป็นยอดฝีมืออันดับเทพเจ้าแห่งสงครามลำดับที่สิบห้า แล้ว ท่านนั้นจึงจะเป็นผู้แข็งแกร่งที่แท้จริง” อีกคนตอบกลับ ใน แววตาเผยให้เห็นถึงความเลื่อมใสเล็กน้อย

“ๆ แปดนาทีสิบเจ็ดวินาทีผ่านเข้าไป บ้าไปแล้วจริงๆ อย่าง สวะด้านใน คนนั้น จะมีชีวิตรอดถึงแปดนาทีหรือไม่ก็ยังเป็น ปัญหาเลย”

เวลานี้ในจอแสดงผล รพีพงษ์ที่ยืนอยู่จุดเดิมมาโดยตลอด อยู่ๆ ก็ขยับตัวแล้ว เงาร่างของเขาพุ่งมาทางด้านหน้าด้วย ความเร็วสูง ไม่สนใจกลไกทั้งหมดที่ปรากฏขึ้นในอุโมงค์โดยสิ้น เชิง

“พวกนายรีบดูเร็วเข้า ไอ้หมอนั่นขยับแล้ว! โอ้โห ความเร็ว ของเขาทำไมถึงเร็วขนาดนี้ กลไกพวกนั้นถึงกับตามเขาไม่ทัน! “คนที่กำลังจ้องหน้าจอพลันอุทานออกมาเสียงหนึ่ง

ทุกคนต่างเงยหน้าขึ้นไปมองจอแสดงผล ไม่ถึงเวลาสิบวินาที เจ้าหน้าที่พวกนี้ล้วนตกตะลึงจนอ้าปากค้าง

ในจอแสดงผลกลไกหลากชนิด อาวุธลับบินว่อน ที่ที่เงาร่าง ของรพีพงษ์ผ่านไปนั้น เต็มไปด้วยความยุ่งเหยิง กลไกพวกนั้น ทั้งหมดต่างอยากจัดการรพีพงษ์ให้ถึงตาย แต่พวกมันแม้แต่ขน ครึ่งเส้นของรพีพงษ์ยังแตะไม่ถึง

ในภาพ รพีพงษ์กับอาวุธลับพวกนั้นที่เฉียดกายผ่านไปหลาย ครั้ง แต่ว่าท้ายที่สุดพวกมันก็ไม่สามารถทำให้รพีพงษ์บาดเจ็บ

เจ้าหน้าที่ด้านนอกประตูต่างตะลึงงันไปแล้ว พวกเขากำลัง มองทาร่างและความเร็วของรพีพงษ์ที่แสดงออกมาได้อย่างดียิ่ง แล้ว ราวกับว่าก๋าลังมองปรมาจารย์ด้านศิลปะท่านหนึ่งกำลัง ทําการแสดงเพื่อพวกเขาอย่างไรอย่างนั้น

ไม่ถึงเวลาหนึ่งนาที รพีพงษ์ก็พุ่งมาถึงปลายสุดของอุโมงค์ แล้ว เขาตรงไปถีบประตูบานสุดท้ายเปิดออก เดินออกมาจาก ด้านในอย่างรวดเร็ว มาถึงตรงหน้าเจ้าหน้าที่พวกนั้นที่ใบหน้า เต็มไปด้วยความตกตะลึง อ้าปากหอบหายใจคำโต

เมื่อครู่ในตอนที่ตะบึงมา มีหลายครั้งที่รพีพงษ์เกือบจะถูก กลไกพวกนั้นโจมตีโดน พอที่จะพูดได้ว่าเป็นอันตรายยิ่งกว่า อันตราย ดีที่เขาอาศัยท่าร่างที่ทรงพลังหลบไปได้ ไม่เช่นนั้นเขา ตอนนี้ก็กลายเป็นศพนอนอยู่ในอุโมงค์ด้านในแล้ว
พุ่งมารวดเดียว มีผลต่อการใช้พลังของรพีพงษ์มากถึงที่สุด ที่ สำคัญยิ่งคือบททดสอบสำหรับสมาธิเข้มงวดอย่างมาก เขาไม่ อาจมีการวอกแวกใด อุโมงค์สายนี้ยังเป็นในช่วงระยะเวลาที่ ผ่านมา ครั้งแรกที่ทำให้รพีพงษ์รู้สึกถึงตอนพละกำลังในร่างกาย ของตนแสดงออกมาอย่างเต็มที่

เจ้าหน้าที่ไม่กี่คนที่ประตูมองไปที่รพีพงษ์ที่ออกมาจากอุโมงค์ ได้แล้ว เป็นนานที่ไม่สามารถตอบสนองกลับมาได้เวลาทั้งหมด ที่รพีพงษ์ใช้ตั้งแต่การเคลื่อนที่จนถึงพุ่งออกมาจากอุโมงค์นั้นสั้น เกินไป นี่เป็นการโค่นล้มจินตนาการของพวกเขาโดยสิ้นเชิง จึง ต่างตกตะลึงกันไปหมด

รพีพงษ์มองไปที่คนหนึ่งในนั้น เปิดปากถาม : “เวลาที่ฉันใช้ ไม่น่าจะเกินสิบห้านาทีสินะ? ”

คนคนนั้นถึงมีสติกลับมาได้ รีบร้อนมองเวลา จากนั้นใช้เสียง ที่แหบแห้งและสั่นเครือเล็กน้อยพูดว่า : “สี่…นาทียี่สิบสอง วินาที”

รพีพงษ์นับว่าพอใจพยักหน้าพูด “อย่างนั้นฉันก็ควรจะนับได้ ว่าผ่านซิลินแล้วใช่ไหม? ” คนคนนั้นพยักหน้าอย่างที่มอ ข้างหู ยังคงมีเสียงสะท้อนตัวเลขสี่นาที่ยี่สิบสองวินาทีอยู่ เวลานี้ ตั้งแต่ ในประวัติศาสตร์ที่มีมาของเทือกเขาสนา ล้วนหาได้อยากอย่าง

รพีพงษ์มองท่าทางป้อไปของคนพวกนี้มีอะไรแปลกๆ เขารู้สึก ว่าการแสดงความสามารถของเขาครั้งนี้นับว่าผ่านมาตรฐาน ถ้าสภาวะของเขาดีขึ้นอีกนิด แล้วไม่กี่นาทีนั้นไม่ได้หยุดพักที่บันได ขั้นที่สี่ เขาน่าจะสามารถผ่านอุโมงค์นี้ได้ภายในสองนาที

แต่ก็ไม่รู้ว่าที่เทือกเขาสนาคะแนนนี้ของเขานั้นนับว่าอยู่ใน ระดับใด ตามการคาดเดาของเขา ระดับกลางขึ้นไปทางสูงน่าจะ ยังได้อยู่

“พวกนายจะไม่หาคนพาฉันกลับคุกใต้ดินหรือ? ” รพีพงษ์ถาม ขึ้นอีก

คนพวกนี้ตอนนี้ถึงได้รู้สึกตัว รพีพงษ์ผ่านซิลินแล้วจริงๆ และ ยังด้วยความเร็วทีทำลายสถิติประวัติศาสตร์ของเทือกเขาสนา เรื่องนี้ใช้เวลาไม่นาน เกรงว่าจะต้องถ่ายทอดไปถึงหูยอดฝีมือ พวกนั้นของเทือกเขาสนา

“นายรอสักครู่ พวกเราจะให้คนมารับ” คนหนึ่งพูดกับรพีพงษ์ จากนั้นรีบไปติดต่อคนที่พารพีพงษ์มาคนนั้น

รพีพงษ์รู้สึกว่าท่าทางของเจ้าหน้าที่พวกนี้ดีขึ้นชัดเจนอย่าง มาก ดูเหมือนว่าตนที่ผ่านซิลิน มีความเป็นไปได้แล้วที่จะได้รับ อิสระในเทือกเขากิสนา หรือว่าอาจจะได้รับการเลื่อนขั้นสถานะ บางอย่าง

ในขณะที่รอคนของคุกใต้ดินด้านนั้นมารับรพีพงษ์กลับไป รพี พงษ์พบว่าเจ้าหน้าที่พวกนั้นสังเกตตนมาโดยตลอด อย่างกับ กำลังมองสิ่งของล้ำค่าหายาก นี่ทำให้รพีพงษ์รู้สึกไม่สบายใจ เล็กน้อย

“เวลาของฉันเมื่อสักครู่ ที่เทือกเขาสนาสามารถจัดอยู่ในตำแหน่งไหนหรือ ระดับกลางขึ้นไปทางสูงคงใต้สินะ? ” เพื่อ ทำลายความกระอักกระอ่วน รพีพงษ์เปิดปากถามขึ้นมา

ร่างกายของพนักงานพวกนั้นต่างแข็งทื่อ ในช่วงเวลาหนึ่งพูด อะไรไม่ออก ระดับกลางขึ้นไป? นี่มันคือการทุบสถิติใหม่ต่าง หากเล่า!

“นับว่าเป็นระดับสูงสุด” คนหนึ่งพูดขึ้น

รพีพงษ์ร้องอ้อคําหนึ่ง คาดไม่ถึงว่าตนจะสามารถนับได้ว่าเป็น ระดับสูงสุด จึงถามขึ้นว่า “งั้นพวกนายที่นี่เร็วที่สุดคือเท่าไหร่ ห่างจากทําลายสถิติยังขาดอีกเท่าไหร่? ”

คนคนนั้นยิ้มอย่างเก้อกระดาก พูดว่า “ก่อนที่นายจะมา คนที่ ผ่านอุโมงค์ได้เร็วที่สุด ใช้เวลาไปแปดนาทีสิบเจ็ดวินาที”

ฟังคำพูดนี้ รพีพงษ์ก็เงียบลงทันที


เพื่อการอัปเดตบทที่เร็วขึ้น กรุณาบริจาคสำหรับเว็บไซต์เพื่อซื้อบทใหม่! ขอขอบคุณ
THB

เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ