พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว

บทที่ 793 รุมสังหาร



บทที่ 793 รุมสังหาร

ทั้งโรงยิมเงียบงันลงไปในพริบตา ทุกคนต่างช็อคอย่างหนักกับ ภาพเหตุการณ์ที่เห็นเมื่อสักครู่นี้ ดังนั้นปฏิกิริยาแรกของพวกเขา จึงไม่ใช่การร้องอุทาน แต่เป็นตะลึงงัน

“ฉันเพิ่งเห็นเทคนิคพิเศษใช่หรือเปล่า?”

“นายก็เห็นเหรอ? ฉันยังนึกว่าเป็นภาพลวงตาของตัวเองอยู่ เลย พระเจ้าช่วย ไม่ใช่ว่ารพีพงษ์ฉายภาพโฮโลแกรมรอบๆเวที งั้นเหรอ? ถึงแม้ว่าภาพลวงตาเมื่อกี้นี้จะเบลอไปสักหน่อย แต่ฉัน แน่ใจว่ามันปรากฏออกมา

“มันจะเป็นการฉายภาพโฮโลแกรมได้ยังไง ถึงแม้ว่ามีก็น่า กลัวว่าจะถูกสั่นคลอนจากผลพวงของการต่อสู้

“พละกำลังของรพีพงษ์น่ากลัวมาถึงขั้นนี้แล้วเหรอ? เขาไม่ แม้แต่จะแตะต้องร่างของทั้งสี่คนที่อยู่ตรงข้ามเลยก็ยังตีพวกเขา จนปลิวตกเวทีไปได้ น่ากลัวเกินไปแล้ว

“ฉันไม่ได้โม้นะ เห็นรพีพงษ์ในการต่อสู้ครั้งนี้แล้ว นายบอก ฉันว่าบนโลกนี้มีเทพเจ้าอยู่จริงๆฉันก็เชื่อ

“รุ่นพี่ ดินแดนที่อยู่เหนือแดนปรมาจารย์ที่อาจารย์บอกไว้ สามารถเอาเทคนิคพิเศษมาเองได้เหรอ?” ดำเกิงที่ตัวแข็งทื่อไป เล็กน้อยถามเวทีส
เวลานี้สายตาของเวทัสก็อยู่ในความงงงวย เขาคิดไม่ออกเลย ว่าทำไมการโจมตีของรพีพงษ์เมื่อสักครู่ถึงมีผลปรากฏออกมา แบบนี้

“เรื่องนี้ บางทีก็ต้องรอให้รพีพงษ์ไปถึงดินแดนนั้นแล้วพวกเรา

ถึงจะรู้” เวทัสกล่าว “ศิษย์พรพีพงษ์ สามารถบรรลุถึงดินแดนนั้นได้งั้นเหรอ?”

นําเกิงถาม

“ได้แน่นอน” ทันใดนั้นสายตาของเวทัศก็เปลี่ยนเป็นแน่วแน่ ขึ้นมา

บนเวที รพีพงษ์เองก็จ้องไปที่ฝ่ามือของตนเองด้วยความตกใจ เล็กน้อย คิดไม่ถึงเลยว่าภายใต้สภาวะที่ใช้กลวิธีลึกลับจะออก มาเป็นพลังที่น่าสะพรึงกลัวเช่นนี้

ที่ทำให้เขาคาดไม่ถึงมากที่สุดคือ ฝ่ามือของเขาเมื่อกี้นี้กลับ

เกิดเป็นเงาสะท้อนที่คลุมเครือปรากฏออกมา แม้แต่ตัวเขาเองก็

ไม่คาดคิดว่าการโจมตีของตนเองจะมีผลเช่นนี้ เป็นไปได้ไหมว่าความแข็งแกร่งของเขาบรรลุไปถึงดินแดนนั้น แล้วจึงสามารถสร้างผลลัพธ์เช่นนี้ออกมา?

นี่มันเกินขอบเขตของการรับรู้จริงๆ ดังนั้นในช่วงเวลานี้จึง ค่อนข้างยากที่จะยอมรับได้

ไม่ทันที่จะคิดต่อไปถึงผลของกระทบของการโจมตีก่อนหน้านี้ ของตนเอง ในชั่วพริบตานั้นเอง รพีพงษ์รู้สึกได้ถึงพลังที่ระเบิดออก ในร่างกายของตนเอง ในตอนนั้นได้ลดลงอย่างรวดเร็ว ราวกับกระแสน้ำและแทนที่ด้วยความรู้สึกเหนื่อยล้าที่ยากจะทน รับได้

ตั้งแต่เล็กจนโตรพีพงษ์ไม่เคยรู้สึกร่างกายเหนื่อยล้าเหมือน เช่นตอนนี้มาก่อน ความรู้สึกนี้ได้จู่โจมใจของเขาจนทำให้เขาทิ้ง ตัวนั่งลงไปบนพื้นโดยตรง

สภาพของรพีพงษ์ในเวลานี้ ทั้งตัวไม่มีเรี่ยวแรงเลยแม้แต่น้อย ตอนนี้ที่ยังยืนนั่งลงลงพื้นได้ก็ถึงขีดจำกัดของเขาแล้ว ถึงแม้จะ เป็นเด็กเข้ามาในเวลานี้ก็น่ากลัวว่าจะฆ่าเขาได้

พวกบดีศวรทั้งสี่คนที่ตกลงไปจากเวทีในเวลานี้มีสองคนที่ไม่ ไหวติงอยู่บนพื้น ชเยศยังคงฝันรักษาสติไว้ได้บ้าง แขนทั้งสอง ข้างของเขากระตุกไม่หยุด ดูเหมือนว่าถึงจะมีชีวิตรอดแต่ก็กลาย เป็นคนที่ไร้ประโยชน์

มีเพียงบดีศวรคนเดียวเท่านั้นที่ยังสามารถฝืนลุกขึ้นนั่งได้ ใน เวลานี้มุมปากของเขาเต็มไปด้วยเลือด ใบหน้าซีดเผือดและต่าง จากคนตายเพียงแค่เพราะยังหายใจเท่านั้น

เขาอดกลั้นต่อความเจ็บปวดบนร่างของตัวเองแล้วหันศีรษะ มองดูพวกของชเยศทั้งสามคนที่อยู่ข้างๆเขา มองเห็นชเยศยังคง ลืมตาอยู่ เพียงแต่ไม่มีความในการเคลื่อนไหว ในใจรู้สึกอับจน หนทาง

สายตาของเขาตกไปอยู่ที่ร่างของนิรภาพและธนพลสองคน บนพื้น เมื่อเห็นว่าทั้งสองคนไม่มีการเคลื่อนไหวอะไรเลย และใบหน้าซีดเผือดราวกับกระดาษ ขณะที่บนตัวเขาไม่รับรู้ถึงลม หายใจของคนที่มีชีวิต สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป โดยฉับพลัน และเป็นเพราะความโกรธแค้นอย่างรุนแรงจึงกระอักเลือดออก มาอีกครั้งทันที

“ท่านนิรภาพ ท่านธนพล” บดีควรตะโกนใส่ทั้งสองคน

ไม่ได้รับการตอบรับใดๆ ไม่ต้องคิดก็รู้แล้วว่า ทั้งสองคนนี้ เกรงว่าจะไม่มีโอกาสที่จะตอบรับใดๆได้อีกแล้ว

ในใจของบดีศวรเสียใจอย่างมิอาจเทียบ เขาคิดไม่ถึงเลยว่า เขาทั้งสี่ร่วมมือกันเพื่อจัดการกับรพีพงษ์ แม้ว่าทุกคนจะถึงขั้นกิน ยาลงไปแล้ว แต่ยังคงไม่สามารถเอาชนะพีพงษ์ได้ แม้กระทั่งยัง มีสองคนตายด้วยน้ำมือของรพีพงษ์

ในตอนนี้ ห้าตระกูลใหญ่ได้พ่ายแพ้อย่างสมบูรณ์แล้ว ทัตเทพ ที่อยู่ไกลออกไปมองเห็นสถานการณ์ของทางด้านนี้ ใบหน้าที่ เกิดความวิตกกังวลด้วยเช่นกัน เขารีบลากร่างกายที่บาดเจ็บ เดินเข้ามาหา หลังจากที่มองเห็นนิรภาพและธนพลขาดใจตาย ไปแล้ว และชเยศได้รับบาดเจ็บสาหัสจนไม่สามารถขยับได้ รวม ทั้งบดีศวรที่ร่างกายโชกเลือดไปทั้งตัว เขาก็ส่งเสียงร้อง คร่ำครวญออกมาในทันใด

เขาหันศรีษะมองไปที่รพีพงษ์บนเวทีแล้วกัดฟันตะโกนว่า : “รพีพงษ์ แกมันสมควรตาย หกตระกูลที่ยิ่งใหญ่ของฉัน มีนาย ใหญ่สามท่านที่ต้องตายในมือแก แกมันเป็นคนบาป แกไม่มี คุณสมบัติที่จะมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้!”
ทุกคนในสนามได้ยินเสียงตะโกนของทัตเทพ ทันใดนั้นก็ เข้าใจแล้วว่านีรภาพและธนพล ทั้งสองคนได้ตายไปแล้ว ภายใน ใจก็เกิดร่องรอยของความหวาดผวาทันที คิดไม่ถึงเลยว่า กระบวนท่าเมื่อกี้นี้ของรพีพงษ์ใต้สังหารยอดฝีมือระดับนายใหญ่ ไปถึงสองคน

รพีพงษ์ในเวลานี้ไม่มีความคิดที่จะสนใจพวกเขา เขาในตอน นี้แค่อยากจะนอนลงแล้วหลับฝันไปเลย

ดำเกิงได้ยินเสียงตะโกนของทัตเทพ ก็รู้สึกไม่สบายใจทันที เขาตะโกนสุดเสียงว่า “พวกคุณนี่มันหน้าไม่อาย เห็นได้ชัดว่า พวกคุณสู้คนอื่นไม่ได้เอง ตอนนี้กลับยังมีหน้ามากล่าวโทษรุ่นพี่ ของฉัน พวกคุณทั้งสี่ร่วมมือกัน ด้วยจุดประสงค์ที่ต้องการฆ่ารุ่น พี่ของฉัน ผลออกมากลับเป็นฝ่ายถูกฆ่าแล้วก็บอกว่ารุ่นพี่ของฉัน ผิด ไม่แปลกใจเลยที่อาจารย์ของฉันไม่ชอบตระกูลใหญ่ของพวก คุณ พวกคุณมันเป็นคนหลอกลวงเกินไป!

ผู้ชมทุกคนที่สนามก็ล้วนแต่ไม่ใช่คนที่สุดโต่งอะไรเลย หลัง จากชมการต่อสู้หลายวันที่ผ่านมานี้ พวกเขารับรู้ได้นานแล้วถึง ความรู้สึกเป็นศัตรูของห้าตระกูลใหญ่ที่มีต่อรพีพงษ์ นับตั้งแต่ ตอนเริ่มต้นที่ประกาศงานประลอง พวกเขารู้แล้วว่าตระกูลใหญ่ ทั้งห้าพุ่งเป้ามาหารพีพงษ์

เดิมทีทุกคนคิดว่าคนที่ฝึกฝนวิชาว่ากันว่าต้องอาศัยพละ กำลัง บนเวที ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการพ่ายแพ้หรือเสียชีวิต ทั้งหมด เป็นปัญหาของความสามารถส่วนตัวจะโทษคนอื่นไม่ได้
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงตอนที่นายใหญ่ของตระกูลร่วมมือกันบนเวที ล้วนแต่ไม่ได้รู้สึกไร้ยางอาย ตอนนี้พ่ายแพ้แล้ว กลับกล่าวโทษ ว่ารพีพงษ์ฆ่าคนของพวกเขา ตรรกะประเภทนี้ มีความสอง มาตรฐานอย่างไม่ต้องสงสัย

“ไอ้พวกห้าตระกูลใหญ่ขี้โม้ สู้คนอื่นไม่ได้ก็คือสู้ไม่ได้ ตอนนี้ กลับมาโกรธแค้น หน้าไม่อายจริงๆ

“คิดไม่ถึงเลยว่านายใหญ่ของตระกูลใหญ่ของวิชาโบราณที่ แสนสง่างาม จะพูดคำนี้ออกมา ทำให้คนถึงกับตกตะลึงไปเลย จริงๆ”

“อนุญาตให้พวกเขาฆ่าคนได้เท่านั้น แต่ไม่อนุญาตให้ใครฆ่า พวกเขา หรือว่านี่จะเป็นตรรกะของตระกูลใหญ่ใช่ไหม บรรยากาศในวงการล้วนแต่ถูกคนประเภทนี้ทำลาย!”

ทัตเทพเห็นว่าทุกคนเริ่มกล่าวโทษเขาขึ้นมาแล้ว ทันใดนั้นเขา ก็ไม่รู้ว่าจะทำเช่นไรดี คิดไม่ถึงเลยว่าคนสารเลวเหล่านี้ จะกล้า พูดจาขนาดนี้กับเจ้าบ้านตระกูลตะกั่วทุ่งที่มีเกียรติเช่นเขา เขา คิดแม้กระทั่งจะยืนขึ้นแล้วไปหาเหตุผลกับคนที่พูดถึงเขา

บดีควรถอนใจอย่างจนปัญญาและเอ่ยปากว่า “เรื่องนี้มันจบ ลงแล้ว ชื่อเสียงของตระกูลใหญ่ทั้งห้ารักษาเอาไว้ไม่ได้อีกแล้ว โต้เถียงกับพวกเขาก็มีแต่ทำให้ความประทับใจของพวกเขาที่มี ต่อตระกูลใหญ่แย่ลงเรื่อยๆ”

ทัตเทพเข้าใจความหมายของบดีศวรจึงทำได้เพียงกัดฟัน ไฟโกรธภายในใจไม่มีที่ให้ระบาย

“ถ้าอย่างนั้นพวกเราจะทำยังไงดีล่ะ? พวกเราสูญสียมาก ขนาดนี้หรือว่าจะยอมแพ้ไปทั้งอย่างนี้เลยงั้นเหรอ?” ทัพเทพเอ่ย กาม

ทันใดนั้นดวงตาของบดีควรเปล่งประกายชั่วช้าวาบขึ้นมาแล้ว พูดว่า : “เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว แล้วฉันเองก็ไม่มีอะไรต้องสนใจอีก ถ้าหากครั้งนี้เราไม่ฆ่ารพีพงษ์ อย่างนั้นแล้วตระกูลภูธน ตระกูล ยศบวร ตระกูลเมฆมหัส นายใหญ่ทั้งสามตระกูลก็จะต้องตาย โดยเปล่าประโยชน์” พูดจบเขาก็ลุกขึ้นยืน พยายามใช้พลังเฮือก สุดท้ายทั้งหมดที่มีตระกูลบอกคนของห้าตระกูลใหญ่ที่อยู่ทางนั้น ว่า :

“ทุกคนในห้าตระกูลใหญ่จงฟังคำสั่ง ตอนนี้รพีพงษ์ถึงขีด จำกัดแล้ว เขาไม่มีความสามารถในการต่อสู้ใดๆอีกต่อไป เขา ฆ่านายใหญ่สามคนจากหกตระกูลใหญ่ของพวกเรา มันเป็นศัตรู ของพวกเราทุกคน ถ้าหากไม่กำจัดเขาในวันนี้ หลังจากนี้จะ กลายเป็นหายนะต่อตระกูลใหญ่ของพวกเรา”

“ดังนั้นวันนี้รพีพงษ์จำเป็นต้องตาย! พวกคุณทำการโจมตี เป็นกลุ่ม เขาไม่มีโอกาสรอดอย่างแน่นอน!


เพื่อการอัปเดตบทที่เร็วขึ้น กรุณาบริจาคสำหรับเว็บไซต์เพื่อซื้อบทใหม่! ขอขอบคุณ
THB

เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ