พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว

บทที่ 644 อาจารย์



บทที่ 644 อาจารย์

“ปะเป็นไปได้ยังไง เขายกหินก้อนนั้นขึ้นมาได้จริงๆ” ดำเกิง มองรพีพงษ์ด้วยสีหน้าตกใจและแปลกใจ เขาแทบไม่อยากจะ เชื่อ

ฝนสุดามองดำเกิงอย่างสงสัย จากนั้นจึงเอ่ยถามขึ้นมาว่า “นายแน่ใจเหรอว่าอาจารย์ของนายให้เขายกหินก้อนนั้น ทำไม ฉันถึงรู้สึกว่านายกำลังหลอกเขา

ดำเกิงกลัวว่าจะถูกจับได้ จึงกระแอมออกมาเบาๆ “อาจารย์ เป็นคนพูดจริงๆ ทำไมผมต้องหลอกเขาด้วย

ฝนสุดายังคงรู้สึกว่า เพิ่งไว้ใจไม่ได้ เธอเดินไปหารพีพงษ์

แล้วพูดว่า “นี่ หินหนักขนาดนี้ นายรีบวางมันลงจะดีกว่า ถ้านาย

ยกต่อไปไม่ไหว มันจะทับนายตายนะ!”

รพีพงษ์มองเธอแล้วพูดว่า ” ในเมื่อเป็นความต้องการของ อาจารย์ ผมจะยกจนกว่าอาจารย์จะออกมา!”

ดำเกิงหัวเราะออกมา จากนั้นจึงพูดว่า “คุยโวโอ้อวดจริงๆ นายยกหินก้อนนั้นขึ้นมาได้นับว่าสุดกำลังแล้ว ฉันว่านายคงยก ได้ไม่ถึงห้านาที ก็ต้องโยนหินนั้นทิ้ง

ฝนสุดาจ้องดำเกิงแล้วพูดว่า “ไอ้เด็กนี่พูดเหน็บแนมเก่งจริงๆ ไม่ว่ายังไง รพีพงษ์ก็นับว่าเป็นรุ่นพี่ของนายนะ ทำไมถึงพูดกับ เขาแบบนั้น”
นําเกิงยักไหล่ แล้วพูดอย่างไม่พอใจว่า “เขาเป็นรุ่นพี่ผมก็จริง แล้วจะทำไมล่ะ เขาคิดว่าตัวเองเก่งแล้วหนีไป ตอนนี้ความ สามารถคงจะไม่เท่าผม ทำไมผมต้องยอมรับว่าเขาเป็นรุ่นพี่ด้วย

“ชิ นายมีความสามารถ แล้วยกหินก้อนนั้นได้ไหมล่ะ” ฝนสุดา ถามขึ้น

“ทำไมจะไม่ได้ พี่นางฟ้าอย่ามาดูถูกผม ไม่ว่ายังไงผมก็เป็น ลูกศิษย์ที่อาจารย์พอใจที่สุด ถึงผมจะยังเด็ก แต่พละกำลังของ ผมมีมากกว่าพวกรุ่นพี่คนอื่นๆ เก๋งยืดอกแล้วพูดอย่างยโส

ที่จริงแล้ว การที่ค่าเกิงตั้งใจทำอย่างนั้นกับรพีพงษ์ เพราะค่า ว่าลูกศิษย์ที่อาจารย์พอใจที่สุดนี่แหละ พรสวรรค์ของค่าเกิงไม่ได้ต่างจากรพีพงษ์ในตอนนั้นเลย หลัง

จากที่ได้ฝากตัวเป็นลูกศิษย์ของอาจารย์ พวกพี่ๆ ก็ยกย่องว่าเขา

เป็นลูกศิษย์ที่ทำให้อาจารย์พอใจที่สุด และด้วยเหตุนี้ เขาจึงมัก

จะโดนเปรียบเทียบกับรพีพงษ์เสมอ

ตอนนั้นรพีพงษ์ก็ถือว่าเป็นลูกศิษย์ที่อาจารย์พอใจที่สุด เหมือนกัน การที่เอามาเปรียบเทียบถือว่าเป็นเรื่องปกติ ดังนั้น เก๋งจึงอยากพิสูจน์ว่าตัวเองแข็งแกร่งกว่ารพีพงษ์ในทุกๆ ด้าน

แต่ไม่ว่าเขาจะทําดีแค่ไหน เขาก็ได้รับเพียงคำชมจากอาจารย์ แต่จากที่เขาได้ยินจากพวกรุ่นพี่ว่าตอนที่รพีพงษ์เผยพรสวรรค์ ของตัวเองออกมา อาจารย์จะหัวเราะออกมาอย่างมีความสุข ตลอดเวลา
และสิ่งที่เกิงจะได้ยินอาจารย์พูดบ่อยๆ ว่า “ถ้ารพีพงษ์ไม่ จากที่นี่ไปก็ดีสิ” แค่ประโยคนี้ก็ทำให้ดำเกิงไม่พอใจคนที่ไม่เคย เห็นหน้าคนนี้

เขาคิดว่าตัวเองสามารถแทนที่รพีพงษ์ได้ แต่อาจารย์ไม่ได้คิด เช่นนี้ เหมือนกับอาจารย์คิดอยู่เสมอว่าไม่มีใครเทียบรพีพงษ์ใต้ ถึงแม้พรสวรรค์ของดำเกิงจะไม่ใช่เล่นๆ แต่มันก็ไม่ได้โดดเด่น ขนาดนั้น

เขาพอใจ จึงเห็นรพีพงษ์เป็นศัตรูสมมุติของตัวเอง ในโรงฝึกที่ อยู่ไม่ไกล มีหุ่นไม้หย่งชุนที่เขียนชื่อรพีพงษ์อยู่บนนั้น นั่นคือสิ่งที่ คําเกิงทํา

ตอน รพีพงษ์กลับมาแล้ว แน่นอนว่าเกิงทำสีหน้าไม่ดีใส่ เขา

รพีพงษ์ยกหินใหญ่อยู่อย่างนั้น หินก้อนใหญ่ชูไว้เหนือศีรษะ ของเขา รพีพงษ์ยืนไม่ขยับไปไหน อันที่จริงมันใช้แรงมากจริงๆ แต่เขาไม่คิดจะวางหินลง ถ้าอาจารย์ไม่ออกมา เขาก็จะยกอยู่ อย่างนี้

อาจจะเป็นเพราะอาการบาดเจ็บสาหัสครั้งนี้ หลังจากที่ร พงษ์หาย เขารู้สึกว่าร่างกายของตัวเองอึดขึ้นเล็กน้อย บวกกับ ประสิทธิผลของยาสามเม็ดนั้น เขารู้สึกว่าตัวเองสามารถแสดง พละกำลังออกมาได้มากกว่าเมื่อก่อน

เมื่อเวลาผ่านไปเรื่อยๆ เหงื่อผุดออกมาที่หน้าผากของรพีพงษ์ ไม่หยุด แต่ร่างกายของเขาไม่ได้ขยับเลยแม้แต่น้อย
ฝนสุดาเห็นแล้วก็รู้สึกเห็นใจ เธอคอยเช็ดเหงื่อให้เขา และ เกลี้ยกล่อมไม่ให้เขาฝืนต่อไป

นําเกิงจ้องไปที่รพีพงษ์อย่างมีเลศนัย เขาคิดว่าพีพงษ์คงจะ อดทนได้อีกไม่นาน และไม่สามารถอดทนจนถึงตอนที่อาจารย์มา ได้อย่างแน่นอน

หลังจากผ่านไปห้านาที รพีพงษ์ยังคงยืนอยู่อย่างนั้น ทำให้

สายตาที่ดำเกิงมองรพีพงษ์เริ่มเปลี่ยนไป

“เฮ้ย ถ้าแบกไม่ไหวก็อย่าฝืน อย่าทำให้อวัยภายในของแก บอบช้ำ ได้ไม่คุ้มเสียนะ” ดำเกิงตะโกนออกมา

รพีพงษ์ไม่ได้สนใจเขา จากนั้นจึงหลับตาลง

ฝนสุดาร้อนใจขึ้นมา เธอหันไปมองตรงบ้านไม้ และวิ่งไปหา

อาจารย์ของรพีพงษ์ แต่เธอหามารอบหนึ่งก็ไม่เจอใครสักคน ในห้องมีเพียงความ

ว่างเปล่า ไม่รู้ว่าอาจารย์ของรพีพงษ์อยู่ที่ไหน

“พวกนายกลั่นแกล้งคนอื่นเกินไปแล้ว เขาแค่กลับมาขอความ ช่วยเหลือเท่านั้น ทำไมต้องให้เขาทุกข์ทรมานขนาดนี้ด้วย” ฝน สุดามองดำเกิงด้วยความโกรธ

ดำเกิงพูดว่า “ตอนแรก ใครใช้ให้มันอวดดี บทลงโทษนี่ยัง

ถือว่าเพิ่งเริ่มเท่านั้น ผมไม่หักขามันแทนอาจารย์ก็ดีแค่ไหนแล้ว” ฝนสุดาไม่รู้จะทำอย่างไร เธอทำได้เพียงยืนจ้องดำเกิงเท่านั้น
เวลาผ่านไปเรื่อยๆ พริบตาเดียวก็พลบค่ำแล้ว ความไม่พอใจ ที่ดำเกิงมีต่อรพีพงษ์ในตอนแรก เริ่มเปลี่ยนเป็นความตกตะลึง สุดท้ายเขาก็เลื่อมใสในตัวรพีพงษ์ เขาสงสัยแม้กระทั่งว่ารพีพงษ์ ตายไปแล้ว

เขาเดินเข้ามาหารพีพงษ์ที่กำลังปิดตาอยู่ จากนั้นจึงพูดขึ้นว่า “นายวางหินลงเถอะ ที่จริงแล้วอาจารย์ไม่ได้ให้ลงโทษนายแบบ นี้หรอก มันแค่อารมณ์ชั่ววูบของฉันเอง

รพีพงษ์ไม่ขยับไปไหน

หลังจากที่ฝนสุดาได้ยินคำพูดของดำเกิง ก็โกรธจนจะหน้าดำ หน้าแดง เธอหยิบกิ่งไม้มาตีไปที่ดำเกิง

“ไอ้เลว ฉันว่าแล้วว่านายต้องหลอกเรา เขายกหินมาทั้ง ตลอดช่วงบ่าย นายเพิ่งมาพูดเอาตอนนี้ ถ้ารพีพงษ์เป็นอะไรไป ฉันไม่ปล่อยนายไว้แน่!

ต๋าเก๋งรีบหลบแล้วพูดว่า “น่าจะไม่เป็นอะไรหรอก ถึงแม้เขาจะ ยกนานไปจริงๆ แต่การที่ได้เป็นศิษย์รักของอาจารย์ จะทนกับ อะไรแบบนี้ไม่ได้เหรอ”

ฝนสุดาไม่ฟังคำอธิบายของดำเกิง แล้วหยิบกิ่งไม้วิ่งไล่ตาม เขาให้วุ่น

ขณะนั้นเอง เสียงของชายชราดังขึ้น “วางลงเถอะ”

รพีพงษ์ลืมตาขึ้นอย่างรวดเร็ว จากนั้นจึงโยนหินไปอีกทาง ความเจ็บปวดและชาแล่นเข้ามาที่แขนและขาของเขาจนเกือบจะล้มลงไปบนพื้น

ฝนสุดากับ เก๋งหยุดลง จากนั้นจึงหันไปมองข้างหลังรพีพงษ์ คนที่ยืนอยู่ตรงนั้นสวมชุดลินิน รวบผมเป็นมวย เขาดูเหมือนชาย แก่ใจดี แต่ไม่รู้ว่ามาอยู่ที่นี่ตั้งแต่เมื่อไร

รพีพงษ์หันหลังกลับไป เมื่อเห็นชายชราคนนั้น สีหน้าของเขา เต็มไปด้วยความตื้นตัน จากนั้นเขาจึงอดกลั้นความเจ็บปวดใน ร่างกาย และโค้งทำความเคารพชายชราผู้นั้น จากนั้นพูดด้วย เสียงสั่นว่า “อาจารย์”


เพื่อการอัปเดตบทที่เร็วขึ้น กรุณาบริจาคสำหรับเว็บไซต์เพื่อซื้อบทใหม่! ขอขอบคุณ
THB

เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ