พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว

บทที่679 ไปผับ



บทที่679 ไปผับ

คฤหาสน์ตระกูลวิรุฬห์ธนกิจ

ในห้องรับแขก นายใหญ่ของตระกูลวิรุฬห์ธนกิจปิติภัทรและ ลูกชายของเขาโธวัดกำลังนั่งอยู่บนโซฟา ตรงข้ามทั้งคู่เป็นคนที่ ใส่ชุดฉางยาวสีดำ เอวตรง อายุราวๆสี่ห้าสิบปี ดูเหมือนเป็น ชายที่ต่างจากคนอื่น

คนนี้คือศิษย์ของฝ่ามือสยบพยัคฆ์ ชื่อโสจกร ครั้งนี้ออกมาหา ประสบการณ์ผ่านมาที่อำเภอถึงเมนพอดี นึกขึ้นได้ว่าที่นี่มีฝ่ามือ สยบพยัคฆ์อีกแห่ง จะได้มาเยี่ยมเยียน

ปีติภัทรคือศิษย์นอกของฝ่ามือสยบพยัคฆ์ ตอนนั้นได้เล่าเรียน อย่างลำบากอยู่ในหุบเขามาโดยตลอด เพราะมีคุณสมบัติที่ไม่ เลว ได้รับแก่นแท้จากอาจารย์ท่านหนึ่ง ความสามารถไม่เลว ผ่านการฝึกฝนมาหลายปี ถือได้ว่าได้เป็นส่วนหนึ่งของกำลัง ภายในแล้ว

และโสจกรศิษย์ในถือว่าค่อนข้างเก่งเลยทีเดียว ได้อยู่ใน วงการกำลังภายในมาเนิ่นนานแล้ว ครั้งนี้ที่เขามาตระกูลวิรุฬห์ ธนกิจ ก็เพราะให้เกียรติปีติภัทรที่ได้เข้าถึงกำลังภายใน มิเช่น นั้น เขาก็ไม่มีทางแวะมายังสาขาที่ศิษย์นอกมีอยู่

“พี่โสจกร ไม่เจอกันหลายปี ร่างกายคุณดูแข็งแรงขึ้นนะ ฝีมือ พัฒนาขึ้นอีกแล้วล่ะสิ ศิษย์ในนเจริญก้าวหน้ากันทุกคนเลยนะ ศิษย์นอกเทียบไม่ได้เลย” ปีติภัทรยิ้มแล้วกล่าวกับโสจกรโสจกรไม่ได้ใส่ใจ แต่ในใจก็รู้สึกสบายใจอย่างมาก แล้ว กล่าว “งั้นๆแหละ เทียบกับพี่ๆไม่ได้อยู่แล้ว คุณก็ไม่เลว ศิษย์ นอก สามารถเข้าถึงกำลังภายในได้ ถือว่ายากอยู่เหมือนกัน เสียดายที่อายุมากไปหน่อย มิเช่นนั้น ก็ยังมีโอกาสเข้าภายใน ได้อยู่”

ปีติภัทรยิ้มทันใดแล้วกล่าว “พี่โสงกรก็ตลกไป สำหรับการ เป็นศิษย์ใน ผมไม่ได้คาดหวังอะไรแล้ว แต่คุณสมบัติของลูกชาย ผมก็ถือว่าไม่เลว ในรุ่นเดียวกัน คนที่จะต้านทานลูกผมได้น้อย เหลือเกิน ดังนั้นผมจึงอยากหาโอกาสให้เขาได้เข้าไปเป็นศิษย์ ใน ถึงตอนนั้นอยากรบกวนพี่โสจกรช่วยสักหน่อย

พูดจบ เขาก็สะบัดมือ มีคนเอาโสมฟังด้วยกลิ่นหอมอบอวล หลายต้นมา โสมเหล่านี้มีอายุอย่างน้อยก็ร้อยกว่าปี เป็นของจริง ที่หาได้ยาก

สําหรับคนที่ฝึกศิลปะการต่อสู้ จะไม่สนใจต่อเกียรติยศและ เงินทอง แต่จะให้ความสำคัญต่อยาที่จะเพิ่มความสามารถ และ การบาดเจ็บนั้นเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ วัตถุดิบอันล้ำค่าอย่าง หนึ่ง เปรียบเสมือนชีวิต

โสจกรจ้องไปที่โสมเหล่านั้น โดยไม่ปฏิเสธ แล้วยังพูดอย่าง สงบอีกว่า “แม้ผมจะช่วยได้ แต่สุดท้ายแล้วก็ต้องพึ่งตัวเขาเอง ถ้าไม่มีความสามารถ ต่อให้ผมพูดมากเท่าไหร่ก็ไร้ประโยชน์

ปีติภัทรรู้ว่าโสจกรตอบรับแล้ว จึงรีบขอบคุณ “ผมเข้าใจคำ พูดพี่โสจกรแล้ว ลูกชายของผมถือว่าไม่แย่ ไม่มีทางทำให้พี่โสจกรผิดหวังแน่นอน ยังไม่รีบขอบคุณลุงโสงกรอีก

โธวัดรีบยืนขึ้น โค้งคำนับต่อโสจกร แล้วกล่าว “ขอบคุณคุณ

โสจกรพยักหน้า แล้วไม่พูดอะไรต่อ

ไม่นาน คุ้มขวัญเดินเข้ามาที่ห้องรับแขกด้วยสีหน้าที่บูดบึง นั่ง ลงบนโซฟา โดยตรง ดูออกว่ากำลังน้อยใจอยู่

ปีติภัทรเห็นคุ้มขวัญ ก็รีบกล่าว “ขวัญ แกเป็นอะไร ลุงโสจกรนั่ งอยู่นะ ทำไมไม่เรียกทักทายหน่อย

คุ้มขวัญเงยหน้าขึ้น แล้วตะโกนเรียกลุงโสจกร

“พี่โสจกร ลูกสาวคนนี้ของผมตามใจจนเสียคน ดังนั้นจึงไม่รู้ จักมารยาท ขอคุณโปรดเข้าใจ” ปีติภัทรกล่าว

โสจกรยิ้ม แล้วกล่าว “ไม่เป็นไร เด็กผู้หญิงเอาแต่ใจตัวเองไป หน่อย ปกติ แต่ดูจากลักษณะของเธอแล้ว เหมือนกับโดนรังแก มาเลยนะ พูดออกมาไหม ไม่แน่ฉันลุงโสจกรอาจช่วยเธอได้นะ”

“ก็ไอ้สวะที่ตอนนั้นจีบหนูอยู่มันปรากฏตัวขึ้นมา ให้หนูขอโทษ ยายนั้น แล้วยังบีบข้อมือหนูอีก ทำเอาหนูเสียอารมณ์ไปเลย” คุ้ม ขวัญกล่าว

“ไอ้สวะ? ขวัญ เกิดอะไรขึ้นกันแน่?” ปีติภัทรมองคุ้มขวัญแล้ว

กาม

คุ้มขวัญรีบเล่าเรื่องวันนี้ให้ฟัง จากนั้นก็เล่าเรื่องที่ดำเกิงถูกโธวัดต่อย ปีติภัทรและโธวัดทั้งสองก็นึกออกขึ้นมาทันใดว่าคนที่ คุ้มขวัญพูดอยู่นั้นคือใคร

“ไม่คาดคิดว่าไอ้สวะยังมีหน้ากลับมาอีก ขวัญ ในเมื่อฉัน ชายแกเคยชนะมันมาแล้วครั้งนึง ก็สามารถชนะมันเป็นครั้งที่ สองได้อีก เดี๋ยวเจอมัน พี่จะเอาคืนให้” โธวัดดูแคลนขึ้นมาทันที

ปีติภัทรมองไปรอบๆ จากนั้นกล่าวว่า “ไอ้เด็กนี่มันบอกว่ามัน จะมาล้างแค้นไม่ใช่หรอ นั่นก็แสดงว่ายังมาที่ตระกูลวิรุฬห์ธนกิจ แน่นอน งั้นพ่อเตรียมเวทีให้พวกแกเลยแล้วกัน ถึงเวลานั้นแก ออกโรงจัดการมัน และให้ลุงโสจกรของแกได้เห็นฝีมือ ว่าไง?

โธวัตตาเป็นประกาย รู้สึกว่าความคิดนี้ของพ่อเขาไม่เลว แล้ว กล่าว “ไม่มีปัญหา ถึงเวลานั้นหาคนดูมาหน่อย ให้ไอ้เด็กได้รู้ ว่าความอับอายมันเป็นยังไง!

คุ้มขวัญดีใจขึ้นมา แล้วกล่าว “งั้นก็รบกวนพ่อกับพี่ด้วยนะ ฉัน

นัดเพื่อนไปเที่ยวตอนกลางคืน งั้นฉันไปก่อนล่ะ”

กลางคืน รพีพงษ์และดำเกิงที่หาที่พักในอำเภอดึงเมนสำเร็จ เก๋งอยู่ในหุบเขามานาน รู้สึกอดกลั้นมานาน วันนี้มาในเมือง อยากไปทุกที่

ไม่นาน ทั้งคู่ได้เดินผ่านที่ๆตกแต่งอย่างหลากสีสันต์ แป๊ปๆก็ มีเสียงเพลงดังขึ้นมา ดำเกิงรู้สึกแปลกใจ แล้วถาม “พี่ ที่นี่คือ ที่ไหน?”
รพีพงษ์หันไปมอง แล้วกล่าว “นี่คือผับ

“ผับ?” ค่าเกิงมองไปรอบๆ “พี่พาผมเข้าไปหน่อยดี ผมอยาก ลองว่าเหล้าที่นี่อร่อยไหม” รพีพงษ์คิดยังไงพวกเขาก็ไม่มีธุระ อะไร เข้าไปเที่ยวในผับสักหน่อยคงไม่เป็นไร จากนั้นก็พาตาเกิง เข้าไปในผับ

เห็นคนที่ไม่หยุดเต้นในผับ ฟังเสียงเพลงที่สนั่นลั่น ดำเกิงรู้สึก แปลกใจ เขาอยู่ในเขาเรียนศิลปะการต่อสู้มาโดยตลอด ไม่เคย ได้เจอกับสิ่งแบบนี้ จึงรู้สึกตื่นเต้น

รพีพงษ์พาดำเกิงมาที่เคาท์เตอร์ สั่งเหล้าสองแก้ว ยื่นให้ ดำเกิง หันไปมองโถงของผับ แล้วดูพวกชายหญิงกำลังเต้นรำกัน อย่างสนุกสนาน

เขาสังเกตเห็นหญิงสวมชุดโป๊ จูบกับชายที่ไม่ซ้ำกันสามคนใน

เวลาเพียงไม่ถึงหนึ่งนาที หญิงคนนี้ซึ่งปล่อยตัวจริงๆ อนาคตถ้า

ขวัญนลินกล้ามาในที่แบบนี้ เขาจะต้องมีขาขวัญนดิน ให้หัก

“คนในเมืองนี่เที่ยวเก่งนะ ผมจินตนาการไม่ออกว่ายังมีที่ แบบนี้อยู่ด้วย ถ้าตอนแรกมาที่นี่ เห็นสาวสวยมากมายขนาดนี้ ผมจะชอบคุ้มขวัญได้ไงกัน” ดำเกิงยิ้มพลางกล่าว

ขณะนี้เขาได้สังเกตเห็นที่นั่งไม่ไกลกำลังครึกครื้น จึงได้ลาก รพีพงษ์ไปดูว่าเขาทำอะไรกัน

ถึงด้านข้างของที่นั่ง ดำเกิงเห็นบนโต๊ะวางแก้วเหล้าหลายใบ แต่ล่ะแก้วมีเหล้ามากไม่เท่ากัน แล้วใต้แก้วเหล้าก็มีเงินอยู่ เหล้า ยิ่งมาก เงินก็ยิ่งมากตามไปด้วย หญิงคนหนึ่งกำลังพยายามที่จะดื่มเหล้า จากนั้นก็หยิบเงินด้านล่างของแก้ว คนรอบๆก็เชียร์กัน อย่างไม่หยุด

ในขณะเดียวกันนี้เอง ก็มีเสียงแหลมดังขึ้น “ดำเกิง! แกไอ้สวะ มานี้ได้ไงกัน!”

ค่าเกิงเงยหน้าขึ้น พบว่า คนที่นั่งตรงนั้น คือคุ้มขวัญ

ข้างๆเธอ เป็นหนุ่มเศรษฐี

หลายคนจ้องไปที่ดำเกิง ด้วยสายตาไม่เป็นมิตร


เพื่อการอัปเดตบทที่เร็วขึ้น กรุณาบริจาคสำหรับเว็บไซต์เพื่อซื้อบทใหม่! ขอขอบคุณ
THB

เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ