บทที่ 646 เรื่องเมื่อสามสิบกว่าปีก่อน
รพีพงษ์อึ้งไป ไม่ใช่พละกำลังจากกล้ามเนื้อ แล้วพละกำลังจาก อะไรล่ะ
สิ่งที่เขาเข้าใจคือพละกำลังที่มนุษย์มี ก็คือพละกำลังที่ปล่อย ออกมาจากกล้ามเนื้อ และเมื่อผ่านการฝึกฝนก็จะทำให้มีพละ กำลังแข็งแกร่งขึ้น แต่เนื่องจากคุณสมบัติที่แตกต่างกันของ ร่างกายคน ทำให้มีข้อจำกัดที่แตกต่างกันด้วยเช่นกัน
นอกเหนือจากนี้ รพีพงษ์ก็ไม่รู้แล้วว่าพละกำลังของมนุษย์จะ มาจากตรงไหนอีก
“ไม่ใช่พละกำลังจากกล้ามเนื้อ แล้วคืออะไรเหรอครับ” รพี พงษ์เอ่ยถาม
“นายเคยได้ยินหรือเปล่าข่าวที่ญาติของคนถูกรถทับ ตอนที่ กำลังตกใจ มีคนยกรถคันนั้นขึ้นไหมล่ะ” อาจารย์เอ่ยถามขึ้น
รพีพงษ์พยักหน้า เขาเคยได้ยินข่าวประเภทนี้มาเยอะมาก ตอนที่มนุษย์ตกอยู่ในสถานการณ์อันตราย จะมีแรงเยอะกว่า ปกติมาก มันเป็นสัญชาตญาณของมนุษย์ ขณะเดียวกันมันก็เป็น พลังแฝงที่อยู่ในร่างกายของมนุษย์
“ข่าวประเภทนี้พูดถึงพลังแฝงของมนุษย์ไม่ใช่เหรอครับ มัน เกี่ยวอะไรกับพละกำลังของอนันยชล่ะครับ” รพีพงษ์เอ่ยถาม
“สิ่งที่ฉันจะบอกนายก็คือพลังแฝงของมนุษย์นี่แหละ ไม่ว่าจะมีพรสวรรค์หรือไม่ ทุกคนมีพลังแฝงที่ไม่มีจุดสิ้นสุด จนตอนนี้ วิทยาศาสตร์ก็ไม่สามารถวิจัยออกมาได้ว่า ในร่างกายของมนุษย์ มีความลึกลับแอบซ่อนอยู่มากเท่าไร
“ในร่างกายของมนุษย์ มีพละกำลังที่ปลดปล่อยออกมาได้เป็น สิบเท่าร้อยเท่าซ่อนอยู่ ในสถานการณ์ทั่วไป พละกำลังพวกนี้จะ แสดงออกมาก็ต่อเมื่อตกอยู่ในสถานการณ์อันตราย เพราะฉะนั้น เมื่อคนธรรมดาทั่วไปตกอยู่ในสถานการณ์คับขัน จึงสามารถยก รถยนต์ที่หนักเป็นต้นได้ยังไงล่ะ”
“เมื่อนานมาแล้วบรรพบุรุษของฉันเคยทดลองพลังแฝงใน ร่างกายของมนุษย์ โดยผ่านวิธีการที่ได้คิดค้นมาโดยเฉพาะ ให้ มนุษย์สามารถปล่อยพลังแฝงออกมาได้ทุกเมื่อที่ต้องการใช้
“เพราะว่าพลังแฝงพวกนี้มันซ่อนอยู่ในร่างกายมนุษย์ จึงมี ความแตกต่างจากพละกำลังของกล้ามเนื้อเป็นอย่างมาก ดังนั้น พละกำลังพวกนี้จึงถูกเรียกว่ากำลังภายใน ส่วนกำลังที่ออกมา จากกล้ามเนื้อจะเรียกว่ากำลังภายนอก
เมื่อได้ฟังเช่นนั้นรพีพงษ์จึงเบิกตาโตแล้วพูดว่า “กำลัง ภายใน? นั่นไม่ใช่หนังจอมยุทธ์กำลังภายในเหรอครับ”
อาจารย์หัวเราะแล้วพูดว่า “บนโลกใบนี้ไม่มีเรื่องอะไรที่เกิด ขึ้นโดยไม่มีสาเหตุ ประเทศจีนมีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่าห้า พันปี กำลังภายในยังมีมาถึงทุกวันนี้ นายไม่คิดว่ามันแปลกเหรอ ถ้ามันเป็นเรื่องโกหกมันก็คงหายไปในประวัติศาสตร์แล้ว”
รพีพงษ์คิดตามแล้วพยักหน้า คิดว่าสิ่งที่อาจารย์พูดมีเหตุผล
และตอนนี้เขาได้เจอกับคนที่เหนือจินตนาการของเขาแล้ว อนันยชเกือบทําให้เขาตาย นั่นคือเรื่องจริง
“อาจารย์หมายความว่าพละกำลังของอนันย คือกำลังภายใน
เหรอครับ” รพีพงษ์เอ่ยขึ้น
“ใช่ บนโลกนี้คนที่จะทำให้นายเกือบตายได้ก็มีเพียงผู้มีฝีมือ ด้านกำลังภายในเท่านั้น อาจารย์พยักหน้าและพูด
“พละกำลังของนายในตอนนี้ ถือว่าเป็นจุดสูงสุดของกำลัง ภายนอก บนโลกนี้ไม่มีใครสู้นายได้ แต่ท้ายสุดแล้วกำลัง ภายนอกมันก็มาจากการใช้กำลังของกล้ามเนื้อในจุดสูงสุด เท่านั้น ถ้าเทียบกับกำลังภายใน ยังห่างชั้นกันมาก
“ฉันไม่ได้พูดเกินจริงนะ ถ้าคนที่มีฝีมือระดับนายยี่สิบคนอาจ จะสู้คนที่มีฝีมือด้านกำลังภายในเพียงคนเดียวไม่ได้เลย”
รพีพงษ์ตกใจ หวนคิดไปถึงตอนที่เขาเผชิญกับอนันยช ตอน นั้นอนันยชไม่ได้จริงจังอะไรกับเขา ถึงโดนเขาจู่โจมกลับจนถอย ไปไม่กี่ก้าว แต่ตอนที่อนันยชต่อสู้อย่างจริงจัง เขาไม่มีกำลังที่จะ จู่โจมกลับเลยแม้แต่น้อย
ถ้าไม่ใช่เพราะอนันยชไม่อยากให้เขาตาย เขาคงสิ้นลม ระหว่างที่ต่อกรกับอนันยชแน่นอน
คนที่มีฝีมือกำลังภายในมันน่ากลัวขนาดนี้นี่เอง
“ในเมื่อคนมีฝีมือด้านกำลังภายในน่ากลัวขนาดนี้ ทำไมถึง ไม่มีคนแบบนี้ในตระกูลที่โด่งดังไปทั่วโลกล่ะครับ พวกเขาพยายามสรรหาคนแบบนี้มาเพิ่มความแข็งแกร่งให้ตระกูลไม่ใช่ เหรอครับ” รพีพงษ์ถามสิ่งที่สงสัยอยู่ในใจ
ช่วงเวลาหนึ่งที่เขาได้อยู่ที่กิสนา เขาคิดว่าตัวเองเข้าใจตระกูล ที่มีชื่อเสียงระดับโลกไม่น้อยเลย เขาไม่เคยได้ยินว่ามีคนมีฝีมือ ด้านกำลังภายในอยู่ในตระกูลเหล่านี้ ถ้ามีจริงพวกนั้นต้องเอา ออกมาข่มเหงคนอื่นแน่นอน
อาจารย์หัวเราะขึ้นมา เขามองรพีพงษ์เหมือนมองเด็กน้อยไร้ เดียงสา “นายคิดว่าคนมีกำลังภายในถึงขั้นสุดยอด เขาจะสนใจ โลกและชื่อเสียงเงินทองอีกไหม
รพีพงษ์เข้าใจสิ่งที่อาจารย์พูดทันที “อย่าบอกนะว่าผู้มีฝีมือ ด้านกำลังภายในไม่สนใจการชักชวนจากตระกูลระดับสูงเหรอ ครับ”
“ใช่ ชื่อเสียงอำนาจเงินทอง มันคือความต้องการของคน ทั่วไปเท่านั้น เมื่อแสวงหาถึงจุดนั้น ก็ได้แค่เพียงเงินนับไม่ถ้วน แต่ในสายตาของผู้มีฝีมือด้านกำลังภายใน สิ่งที่คงอยู่ตลอดกาล คือกำลังภายในเพียงสิ่งเดียวเท่านั้น” อาจารย์พูดอธิบาย
“แน่นอนว่ายังมีอีกเหตุผลหนึ่งที่ในตระกูลชั้นนำไม่มีผู้มีฝีมือ ด้านกำลังภายใน เพราะพวกเขาไม่สามารถสัมผัสกับคนที่มาถึง ระดับนี้ นายต้องจำเอาไว้ว่า สิ่งที่น่ากลัวที่สุดบนโลกนี้ไม่ใช่กลุ่ม อำนาจในตระกูลชั้นนำ แต่คือการที่นายยังไม่ได้สัมผัสกับตระกูล ที่เกี่ยวกับศิลปะการป้องกันตัวในสมัยโบราณ”
“ผู้มีฝีมือด้านกำลังภายในไม่หิวกระหายชื่อเสียงและอำนาจเพราะสิ่งเหล่านี้มันอยู่ใกล้แค่เอื้อมมือ แต่มันไม่ได้หมายความ ว่าพวกเขาไม่อยากได้ความเคารพจากคนอื่น พวกเขาแสวงหา พละกำลัง เพื่อให้ทุกคนสยบอยู่ใต้เท้าของพวกเขา
“ดังนั้นตระกูลที่เกี่ยวกับศิลปะการป้องกันตัวในสมัยโบราณ จึงไม่ยอมเผยแพร่วิธีใช้กำลังภายในออกมา พวกเขาอยากให้ สิ่งนี้อยู่ในมือพวกเขาเท่านั้น นี่เป็นหนึ่งในเหตุผลที่ในสังคม ปัจจุบันไม่มีผู้มีฝีมือด้านกำลังภายใน
รพีพงษ์จดจำตระกูลที่เกี่ยวกับศิลปะการป้องกันตัวในสมัย โบราณ ก่อนหน้านี้เขาไม่เคยคิดเลยว่าจะมีเรื่องอะไรแบบนี้อยู่ บนโลก
สรุปแล้วเขาก็ยังด้อยฝีมืออยู่ดี จึงไม่มีคุณสมบัติไปสัมผัสกับ เรื่องพวกนั้น
“นอกจากตระกูลที่เกี่ยวกับศิลปะการป้องกันตัวในสมัย
โบราณ สิ่งที่นายควรระวังอีกอย่างหนึ่งคือปรมาจารย์
“ปรมาจารย์คืออะไรครับ” รพีพงษ์เอ่ยถาม
“ปรมาจารย์คือคนที่มีกำลังภายในสมบูรณ์พร้อมที่สุด ไม่มี ใครต้านทานเขาได้ คนที่จะต้านทานเขาได้คือคนที่เป็น ปรมาจารย์เหมือนเขา อีกอย่างหนึ่งคือกองทัพทหาร” อาจารย์ พูดพิมพา
รพีพงษ์ตกใจจนไม่รู้จะตกใจอย่างไรแล้ว คิดไม่ถึงว่าคนที่ถูก เรียกว่าปรมาจารย์ กองทัพทหารเท่านั้นถึงจะรับมือกับเขาได้ คน ประเภทนี้มีพละกำลังแค่ไหนกันนะ รพีพงษ์นึกไม่ออกเลยจริงๆ
ขณะนั้นความคิดหนึ่งก็แวบเข้ามาในหัวของรพีพงษ์ เขามอง อาจารย์อย่างตึงเครียด จากนั้นจึงเอ่ยถามขึ้นว่า “อาจารย์ ประ เป็นผู้มีฝีมือระดับปรมาจารย์ใช่ไหมครับ”
อาจารย์หัวเราะ และยิ้มออกมาแบบแปลกๆ “นั่นเป็นเรื่องเมื่อ สามสิบกว่าปีที่แล้ว
รพีพงษ์ตัวสั่นเทิ้ม ที่แท้เมื่อสามสิบกว่าปีก่อน อาจารย์ของตัว เองเคยมีฝีมือระดับปรมาจารย์ ขั้นตอนนี้พละกำลังของอาจารย์ จะล้ำลึกไปถึงขั้นไหนกัน?
Please enter a description
Please enter a price
Please enter an Invoice ID
เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ