พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว

บทที่ 643 อาจารย์ไม่สามารถมาเจอนายอีกแล้ว



บทที่ 643 อาจารย์ไม่สามารถมาเจอนายอีกแล้ว

ในหมู่บ้านเล็กๆ ที่อยู่ด้านหลังมีภูเขาและติดแม่น้ำแถบ าแถบชายแดน แห่งหนึ่งในภาคใต้ บนถนนอันคดเคี้ยว กว้างเพียงหนึ่งคนเดิน รพีพงษ์กับฝนสุดาเดินไปข้างหน้าอย่างไม่รีบร้อน

ตอนนี้ฝนสุดารู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย เธอมองรพีพงษ์ที่เดินอยู่ ข้างหน้า เขาเดินไปข้างหน้าและเอาแต่พูดไม่หยุด ไม่รู้เหมือนกัน ว่ากําลังพูดอะไรอยู่

ตั้งแต่ทั้งสองคนออกมาจากเมืองปาก ตลอดทางทั้งสอง โดยสารยานพาหนะมาไม่ซ้ำแบบ จนมาถึงที่หมู่บ้านเล็กๆ แห่งนี้

หญิงสาวที่ไม่เคยนั่งยานพาหนะอื่นๆ นอกจากรถยนต์และ

เครื่องบินส่วนตัว ครั้งนี้ฝนสุดาได้สัมผัสถึงรูปแบบการเดินทาง

ของคนธรรมดาทั่วไป

ตั้งแต่นั่งรถไฟ นั่งรถเมล์จนมาถึงจักรยานสาธารณะ และต้อง นั่งรถแทรกเตอร์เข้ามาในหมู่บ้านแห่งนี้ ถือว่าฝนสุดาได้เปิดหู เปิดตาครั้งยิ่งใหญ่

ในขณะเดียวกันเธอก็ได้สัมผัสถึงการเดินทางในแบบที่เธอไม่ เคยได้สัมผัสมาก่อน ตอนนี้ที่เท้าของฝนสุดามีตุ่มน้ำใสผุดขึ้นมา อีกทั้งพวกเขายังต้องเดินผ่านเขาอีกสองลูก กว่าจะถึงสถานที่ที่ รพีพงษ์บอกไว้ นี่มันทำให้เธอรู้สึกสิ้นหวังสุดๆ

“ทำไมอาจารย์ใจร้ายของนายต้องทิ้งชีวิตที่สุขสบายมาอยู่ในป่าลึกแบบนี้ ฉันเหนื่อยจะตายแล้ว ฉันไม่เดินแล้ว!! ฝนสุดา หยุดเดิน แล้วตวาดใส่รพีพงษ์

รพีพงษ์หันกลับมามองเธอ จากนั้นจึงพูดขึ้นว่า “อาจารย์อายุ มาแล้วชอบใช้ชีวิตสงบๆ กว่าจะเป็นแบบเขาได้ คงต้องหลุดพ้น คำว่าการใช้ชีวิตแล้วล่ะ อีกทั้งเขายังไม่ชอบโดนรบกวน ถึงมา อยู่ในหุบเขาลึกลับแบบนี้ไง

“ผมพาคุณมาถึงที่นี่ได้ ถือว่าทำสำเร็จแล้ว ถ้าคุณเดินไม่ไหว ก็ใช้ตอนที่ยังมีสัญญาณมือถือ โทรหาคนที่ตระกูลของคุณ ให้ไป หาคุณ หมู่บ้านนั่น”

พูดจบ รพีพงษ์ก็เดินต่อไป โดยไม่สนใจคำบ่นของฝนสุดา แม้แต่น้อย

“ไอ้เลว เลือดเย็น ไอชั่ว นายแบกฉันขึ้นหลังหน่อยไม่ได้เหรอ

ไม่อ่อนโยนเลยสักนิด ไม่รู้ว่าอารีชอบนายเข้าไปได้ยังไง”

ฝนสุดาบ่นพึมพำ จากนั้นเธอก็กัดฟันเดินตามเขาต่อ

ใกล้เคียง รพีพงษ์กับฝนสุดาได้เดินลัดเลาะลงมาจากเขาลูก แรก จนมาถึงสถานที่ที่นับว่าเป็นพื้นราบ

ที่นี่มีแม่น้ำอยู่สายหนึ่ง มีเสียงน้ำไหลและล้อมรอบไปด้วย ต้นไม้สูงใหญ่ มีบ้านไม้ปลูกเรียงรายอยู่ริมแม่น้ำ

ที่นี่แทบจะไม่มีคน ไม่มีแม้แต่ร่องรอยที่แสดงถึงการพัฒนา เรียกได้ว่าคนธรรมดาไม่สามารถหาที่นี่เจอได้แน่นอน เพราะ ฉะนั้นการที่มีบ้านไม้ปลูกเรียงรายอยู่ริมแม่น้ำ มันจึงทำให้รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย

แน่นอนว่าคนที่ประหลาดใจไม่ใช่รพีพงษ์ แต่เป็นฝนสุดา

ต้นไม้ที่อยู่หน้าบ้านถูกตัดออกไปแล้ว ทำให้เห็นพื้นที่ว่าง ขนาดใหญ่ พื้นที่ครึ่งหนึ่งเป็นแปลงผัก ส่วนอีกครึ่งหนึ่งใช้เลี้ยง สัตว์ เช่น เป็ด ไก่

สิ่งเหล่านี้ทำให้ควันไฟเพิ่มขึ้นในที่ทุรกันดารแบบนี้

“ว้าว ที่นี่มีแปลงผักด้วย ตัวนั้นฉันรู้จัก น่าจะเป็นไก่ป่า แต่ไอ้ ตัวที่มีหนามเต็มตัวนั้นเรียกว่าอะไร”

ฝนสุดาเดินเข้าไปด้วยสีหน้าแปลกใจ เมื่อเห็นสิ่งที่แปลกใหม่ เธอก็ลืมความเหนื่อยล้าจนหมดสิ้น

ทันใดนั้น ก็มีคนมาขวางฝนสุดาเอาไว้

“พวกแกเป็นใคร! ทำไมถึงหาที่นี่เจอได้” คนที่พูดคือชายอายุ ประมาณยี่สิบปี คิ้วโค้งเรียวเหมือนดาบ ดวงตาเป็นประกายดุจ ดวงดาว ผิวคล้ำ ดูเหมือนมีพละกำลังที่ไม่เหมือนคนอื่น

“เฮ้ย นายนี่ไม่มีมารยาทเลย จู่ๆ ก็โผล่มา ตกใจหมดเลย” ฝน สุดาพูดอย่างไม่พอใจ

ชายคนนั้นจ้องฝนสุดา จู่ๆ เขาก็ทำตัวไม่ถูก เพราะเขาใช้ชีวิต อยู่ในหุบเขามาตลอด นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเจอผู้หญิงสวยขนาดนี้ ขณะที่เขากำลังใช้ความคิด เขานึกว่าตัวเองเห็นนางฟ้า

“ขะ ขอโทษครับ นางฟ้า ผมไม่ได้ตั้งใจ” ชายคนนั้นพูดตอบ
ฝนสุดาเห็นว่าชายคนนั้นดูอึ้งๆ ก็หัวเราะออกมา “ช่างเถอะ เห็นแก่ที่นายช่างพูด ฉันให้อภัยนายก็ได้ รพีพงษ์มองชายที่อายุน้อยกว่าตัวเองประมาณสี่ห้าปี เขาไม่รู้

ว่าชายคนนั้นคือใคร แต่ว่าเขารู้ว่าอาจารย์ชอบรับลูกศิษย์ เขา ไม่ได้เจออาจารย์มาหลายปีแล้ว เด็กคนนี้น่าจะเป็นลูกศิษย์ใหม่ ที่อาจารย์รับไว้

“ถะ..ถึงคุณจะสวย แต่อย่าคิดว่าผมจะปล่อยคุณไปง่ายๆ รีบ บอกผมมาว่าพวกคุณเป็นใคร ทำไมถึงมาที่นี่” ชายคนนั้นเลิก สนใจความงามของฝนสุดา เขากระอักกระอ่วนอยู่ครู่หนึ่ง จาก นั้นก็รีบทําท่าทีเคร่งขรึม

รพีพงษ์เดินเข้ามา แล้วพูดว่า “ผมชื่อรพีพงษ์ อาจารย์อยู่ไหน ผมอยากเจอเขา”

ชายคนนั้นเบิกตาโตแล้วมองรพีพงษ์อย่างไม่อยากจะเชื่อ

“นายคือรพีพงษ์คนที่ไม่เชื่อฟังอาจารย์ ดื้อดึงหนีออกไปใช่ไหม

เมื่อรพีพงษ์ได้ยินเด็กผู้ชายคนนั้นเรียกเขาแบบนั้น เรื่องใน อดีตก็ลอยเข้ามาในหัวของเขา จากนั้นจึงพูดออกมาว่า “ใช่ ฉัน เอง”

“นายยังมีหน้ากลับมาอีกเหรอ พวกพี่ๆ บอกว่านายเป็นคน บ้าระห่ำที่งมงายในความคิดของตัวเอง ได้ยินว่าตอนนั้นนาย เป็นลูกศิษย์ที่อาจารย์พอใจที่สุด แต่น่าเสียดายที่เมื่อนายได้ เรียนรู้วิชาเล็กๆ น้อยๆ จากอาจารย์ นายก็คิดว่าตัวเองเก่งจน ไม่มีใครสู้ได้ และหนีไปโดยไม่ฟังคำเตือนของอาจารย์ ตอนนี้นายจะกลับมาทำไมอีก

เด็กคนนี้ดูเหมือนจะไม่ค่อยชอบรพีพงษ์

รพีพงษ์จ้องเขา แล้วพูดว่า “ตอนนั้นฉันยังอ่อนต่อโลก แต่ฉัน ก็มีเหตุผลที่ต้องจากที่นี่ไป การที่ฉันกลับมาก็เพราะอยากให้ อาจารย์สอนอะไรบางอย่าง นายช่วยไปแจ้งอาจารย์ให้หน่อย

เด็กชายแบะปาก แล้วพูดว่า “นายกลับไปเถอะ ทั้งชีวิตนี้ อาจารย์จะไม่เจอนายอีก”

รพีพงษ์อึ้งไป เขาสับสนเล็กน้อย จากนั้นจึงพูดว่า “พูดจริงเห รอ”

“จริงสิ จะโกหกทำไม ฉันถือโอกาสบอกนายเลยละกัน ฉันซื่อ ดำเกิง เป็นศิษย์อายุน้อยที่สุดของอาจารย์ และก็เป็นลูกศิษย์ที่มี ความสามารถที่สุด รพีพงษ์ นายเป็นอดีตไปแล้ว อาจารย์ไม่ ต้องการนายอีกแล้ว รีบไปจากที่นี่ซะ” ดำเกิงพูดอย่างจริงจัง

รพีพงษ์รู้สึกปวดใจ เขาไม่เคยคิดเลยว่าการที่เขาหนีไปจะ ทําให้อาจารย์โกรธจนไม่อยากเจอหน้าเขาอีก

ผ่านไปครู่ใหญ่ รพีพงษ์ถอนหายใจออกมา จากนั้นจึงหันไป มองฝนสุดา “เรากลับกันเถอะ

จากนั้นทั้งสองก็หันหลังกลับไป

ขณะนั้นดำเกิงก็กลอกตาไปมาแล้วพูดว่า “อันที่จริงถ้านาย อยากเจออาจารย์ก็ไม่ใช่ว่าจะเจอไม่ได้นะ เห็นหินที่อยู่ตรงนั้น ไหม อาจารย์บอกว่าถ้านายยกหินก้อนนั้นได้ และอดทนจนถึงตอนที่อาจารย์จะยอมเจอหน้านาย อาจารย์ก็จะออกมาเอง

รพีพงษ์หันมองตามที่ดำเกิง พบว่าหินก้อนนั้นเป็นหินขนาด ใหญ่น่าจะประมาณห้าร้อยกิโล ต้องใช้สองมือโอบ

แต่ว่าเขาไม่ลังเลและไม่สงสัยว่าเกิงจะพูดจริงหรือโกหก เขาเดินตรงไปยังหินก้อนนั้น

ดำเกิงเห็นว่ารพีพงษ์จะยกหินก้อนนั้นจริงๆ รอยยิ้มร้ายกาจ ผุดขึ้นมาบนใบหน้าของเขา

“พี่นางฟ้า ดูสิมันเหมือนคนโง่ไหม ไม่คิดว่าจะไปยกหินก้อน นั้นจริงๆ หินก้อนนั้นหนักห้าร้อยกิโลเชียวนะ เขาจะ..” ดำเกิง เดินเข้ามาหาฝนสุดา แล้วพูดเหน็บแนมรพีพงษ์

เขายังไม่ทันพูดจบ ก็เห็นรพีพงษ์ใช้แขนสองข้างโอบหินก้อน นั้น จากนั้นเขาก็กัดฟันและตะโกนออกมาเสียงดัง หินที่หนักถึง ห้าร้อยกิโลก็ถูกเขายกขึ้นมา


เพื่อการอัปเดตบทที่เร็วขึ้น กรุณาบริจาคสำหรับเว็บไซต์เพื่อซื้อบทใหม่! ขอขอบคุณ
THB

เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ