พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว

บทที่ 635 ห้างนี้เป็นของแกแล้ว



บทที่ 635 ห้างนี้เป็นของแกแล้ว

“ผู้จัดการถรยุทธ์ คุณอย่าล้อผมเล่นแบบนี้สิ เมื่อคุณไม่ได้ยินที่ มันพูดหรอ มันไปโรงจํานำและเงินแล้ว จะซื้อของคุณ ในราคา สามเท่าได้ไงกัน คุณอย่าหลงคารมมันนะ”

ถิรเจดๆม่อยากเชื่อชายหัวล้าน และซื้อในราคาสามเท่าแบบนี้ จะทำขายขาดทุนแน่นอน ไม่มีใครทำ ยิ่งไปกว่านั้นรพีพงษ์ดูๆก็ แค่คนธรรมดา ไม่มีทางมีเงินมากขนาดนี้

ชายหัวล้านเยาะเย้ย หยิบมือถือของตัวเองขึ้นมา เขย่าให้กร เจดดู แล้วกล่าว “ดูให้ดี เค้าโอนเงินมาให้แล้ว จะโกหกได้ไง กัน? เจ้านายถิรเจด ผมพูดได้แค่ว่าชื่อเสียงอันดีงามของคุณ ถูก ลูกชายคุณทําลายไปหมดแล้ว”

ถิรเจดจ้องไปที่ข้อมูลการโอนเงินในมือถือของชายหัวล้าน

จากนั้นก็งงงวย

เขารู้สึกเหมือนตัวเองจมอยู่ในน้ำแข็ง ร่างกายที่แข็งทื่อค่อยๆ เริ่มขยับได้

“นี่…….นี่มันเป็นไปได้ยังไง เขาใช้เงินมากขนาดนี้ซื้อสินค้า ของคุณ เพียงเพราะแค่เข้าใจผิดเล็กๆน้อยกับลูกชายฉัน?” ถิร เจดบ่นกับตัวเอง

“คุณคิดว่า นั่นเป็นแค่ความเข้าใจผิด แต่เค้ามองว่า ลูกชาย คุณทำผิดอย่างมหันต์ เจ้านายถิรเจด คุณก็ถือว่ามีหน้ามีตาในสังคมแล้ว ที่ว่าไม่สามารถยั่วโมโหใครก็ได้นั้น คุณยังไม่เข้าใจ อีกหรอ” ชายหัวล้านเหยียดหยาม

ถอรเจดหันหน้าไปมองรพีพงษ์ เริ่มเสียใจขึ้นมา เขาพูดอย่าง อ้อนวอนว่า “น้องชาย ฉันมีตาแต่หามีแววไม่ เพิ่งจะรู้สึกตัว ปล่อยฉันไปเถอะนะ ครอบครัวของเราเป็นครอบครัวเล็กๆ อาศัย ห้าง เก็บเงิน ถ้าแกอยากได้ ฉันจะขายให้ในราคาท้องตลาด ถึง ขั้นถูกลงมากๆ ทำไมแกถึงยอมจ่ายเงินสามเท่าเพื่อซื้อของ แต่ ไม่ปล่อยฉันไปล่ะ”

รพีพงษ์บีนปาก แล้วกล่าว “เพราะแกสำคัญตัวเองไปไง แล้ว เงินพวกนี้ สำหรับฉันแล้วน้อยกว่าเงินค่าขนมของฉันอีก ให้ใคร ก็ได้ แต่ที่สำคัญคือ ต้องให้แกและลูกของแกได้รับโทษ

ตอนนี้เขาได้ขายของราคาส่งให้ฉันแล้ว ถ้าห้างนี้ไม่มีของ ก็

เป็นแค่ห้างล้าง ฉันว่าแกน่าจะเป็นหนี้ธนาคารอยู่ไม่น้อยเลยนะ

ถึงตอนนั้นจ่ายหนี้ไม่ทัน ขาดผ่อน ห้างนี้ของแกก็จะพังลง แล้ว แกก็ยังมีหนี้มหาศาล อนาคตเกรงว่าจะไม่มีจุดยืนแล้วหล่ะ “และทางเลือกเดียวที่เหลืออยู่ในตอนนี้คือ โอนห้างให้ฉัน ฉัน ให้เวลาห้านาที แกเลือกเอาเองล่ะกัน

ถิรเจดฟังรพีพงษ์พูดจบ รู้สึกปวดหัว ตอนนั้นเขายังคุยกับชาย หัวล้านอย่างมีความสุข เกี่ยวกับอนาคตของห้างสรรพสินค้าเซร์ สิงอยู่เลย แต่ผ่านไปไม่ถึงครึ่งชั่วโมง เขาก็ต้องเผชิญกับสภาวะ ล้มละลาย การเปลี่ยนแปลงแบบนี้ ทำให้เขาตั้งตัวไม่ทัน

หลังจากที่ตั้งหลักอยู่นาน ถิรเจดหันหลัง มองไปที่ตรียะที่ตัวสั่นอยู่ ไม่พูดพร่ำทําเพลงใดๆแล้วถีบไปที่เขาทันที

ดุริยะไม่ต่อต้านใดๆ ตอนนี้เขาเข้าใจแล้ว เพราะการผยอง ของเขา ทําให้คนทั้งครอบครัวติดร่างแหไปด้วย

“แกไอ้ลูกไม่รักดี! ฉันสู้ชีวิตมาครึ่งค่อนชีวิต ถึงได้มีธุรกิจ อย่างในวันนี้ ตอนนี้เป็นเพราะแก เขามาหาเรื่องถึงที่! ฉันล่ะ เสียใจที่เกิดคนไร้ประโยชน์อย่างแกออกมา!”

พูดจบ เขาก็ตบไปที่ตรียะสามฉาดอย่างไม่ยั้ง หลังจากตบ เสร็จก็ยังไม่หายโกรธ จึงได้ถีบไปอีกหลายครั้ง

“พ่อ เมื่อก่อนผมทำแบบนี้ พ่อก็ไม่สนผมหนี ตอนนี้นอกจาก เรื่องนี้ ที่พ่อว่าผม ความจริงพ่อก็มีส่วนต้องรับผิดชอบนะ” ดุริยะ ร้องพลางกล่าว

“แม่ง จึงหาเรื่องกูแล้ว วันนี้กูไม่ถึงตาย อย่ามาเรียกกว่าพ่อ!”

ผ่านไปสักพัก ตรียะถูกถรเจดที่เกือบตาย หลังจากที่ล้มลงพื้น แล้วนั้น ถิรเจดจึงหยุด

เขาหันไปหารพีพงษ์ ด้วยความเสียใจ แล้วกล่าว “น้องชาย ครั้งนี้คิดเสียว่าฉันโชคร้าย แกโอนเงินล้านนั้นมาให้ฉัน แล้วฉัน จะเซ็นโอนสัญญาให้แก

รพีพงษ์ยิ้ม แล้วกล่าว “ฉันว่าแกน่าจะเข้าใจผิดแล้วนะ ล้านนั้น เป็นราคาที่ฉันให้ในตอนแรก แต่แกไม่รับไว้ ตอนนี้แม้แต่สตางค์ เดียวแกก็ไม่ได้”
ถรเจคตาโต แล้วกล่าว “หรือ ฉันต้องให้ห้างแกฟรีๆงั้นหรอ?”

หรือแกจะประกาศล้มละลายก็ได้นะ” รพีพงษ์ยิ้มออกมา ถรเจดถอนหายใจอย่างเบื่อหน่าย รู้ว่าตัวเองไม่มีตัวเลือกอื่น

แล้ว

ชายหัวล้านหาทนายมาคนหนึ่งอย่างกระตือรือร้น เพื่อมาช่วย ทําสัญญาโอน ถิรเจคเซ็นสัญญาอย่างไม่ยินยอม ห้างสรรพสิน ค้าเชร์สิงกลายเป็นทรัพย์สินของรพีพงษ์แล้ว

จากนั้นรพีพงษ์ได้เรียกระดับสูงของห้างสรรพสินค้าเซร์สิง ทั้งหมดมา ได้ประกาศต่อหน้าถรเจด เรื่องห้างสรรพสินค้าเชร์สิง ได้เปลี่ยนเจ้าของคนใหม่แล้ว

รองผู้บริหารของห้างสรรพสินค้าเชร์สิง เป็นผู้จัดการที่ถรเจด เชิญมา โดยเฉพาะ ชื่อผู้จัดการทั่วไปโอชวิน เขาบริหารห้างสรรพ สินค้าเชร์สิงมาตลอดช่วงหลายปีมานี้ ถิรเจดรับผิดชอบเรื่องงาน ทุนและสินค้าเท่านั้น

หลังจากที่รพีพงษ์ทำความรู้จักกับระดับสูงเหล่านี้แล้วนั้น ถือว่าผู้จัดการทั่วไปโอชวินจริงใจ บริหารห้างสรรพสินค้าเซร์สิง มาหลายปีถือว่าประสบการณ์โชกโชน ดังนั้นจึงมอบหมายงาน ส่วนใหญ่ให้ผู้จัดการทั่วไป โอชวินดูแล รวมถึงดูแลเรื่องสินค้า

เพราะห้างนี้เป็นสิ่งที่รพีพงษ์ชดเชยให้กับฝนสุดา เขาไม่คิดที่ จะทำอะไรกับห้างนี้อยู่แล้ว รอให้บาดแผลหายดีแล้ว เขาก็จะ ออกไปจากที่นี่
ได้รับอานาจให้ประสานงานกับฝั่งสินค้า ผู้จัดการทั่วไปโอช นรู้สึกตะลึง แล้วรู้สึกนับถือเจ้าของคนใหม่ในทันที แล้วสัญญา ว่าจะบริหารห้างสรรพสินค้าเซร์สิงให้ดีที่สุด

จากนั้นผู้จัดการทั่วไปโอชวิน ให้บัตรสีทองแก่รพีพงษ์ นี่เป็น ของไว้สําหรับมอบให้คนอื่นเป็นของขวัญ เพียงแค่ถือบัตรนี้ ก็ สามารถหยิบของในห้างสรรพสินค้าเชร์สิงได้ตามใจชอบ ปกติ จะมีแค่เจ้าของและครอบครัวของเจ้าของเท่านั้นที่มีบัตรนี้

รพีพงษ์ไม่เกรงใจ หลังจากรับบัตรมาแล้ว ก็มอบหมายงานทุก อย่างให้กับผู้จัดการทั่วไปโอชวิน จากนั้นก็ออกไปจากจุดทำงาน ไปที่ประตูใหญ่ของห้างสรรพสินค้าเชร์สิง

ในขณะนี้มีคนเดินเข้าออกห้าง ในฐานะที่เป็นห้างขึ้นชื่อของ เมืองปาก ที่ว่าเป็นที่นิยมอย่างมาก

ฝนสุดานั่งอยู่บนเก้าอี้สาธารณะข้างประตู อย่างน่าเบื่อ มอง

ไปที่ผู้คนที่เดินไปมา ด้วยความอนาถจิต

ชีวิตของคุณหนูที่มีคนปกป้องตั้งแต่เล็กจนโต วันนี้ต้องมาใช้ ชีวิตแบบคนปกติทั่วไป ก็รู้สึกไม่เลว

ไม่นาน รพีพงษ์ก็ปรากฏตัวต่อหน้าของฝนสุดา เห็นเธอนั่ง เหม่ออยู่ตรงนี้ ก็ยิ้ม

“อย่านั่งบ้าๆอยู่อีกเลย เข้าไปพร้อมกันเถอะ” รพีพงษ์ยิ้ม พลางกล่าว

ฝนสุดาเห็นรพีพงษ์มา ก็รีบยืนขึ้น แล้วถาม “แก้ไขปัญหาได้แล้ว?”

รพีพงษ์พยักหน้า แล้วกล่าว “ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ห้างนี้เป็น ของคุณ”

ฝนสุดาดีใจจนกระโดดโลดเต้น

รพีพงษ์ยื่นบัตรทองนั้นให้กับฝนสุดา แล้วกล่าว “ถือบัตรนี้ไว้ คุณสามารถหยิบอะไรก็ได้ในห้างนี้ รีบไปสนองความต้องการ ของตัวเองเถอะ”

ฝนสุดารับบัตรนั้นมา แล้วถามรพีพงษ์ว่า “คุณไม่ไปกับฉัน

หรอ?”

“ปัจจุบันบาดแผลผมก็หายเดีแล้ว ไม่จำเป็นต้องปิดบังอารีอีก ผมไปซื้อมือถือซักเครื่อง โทรหาอารี คุณไปคนเดียวล่ะกัน

พูดจบ รพีพงษ์ก็เดินไปยังร้านมือถือใกล้ๆ

ฝนสุดาที่ดีใจอยู่มองไปยังรพีพงษ์ที่เดินจากไป ก็เริ่มรู้สึกผิด หวังขึ้นมา สักพักเธอถอนหายใจอย่างเซ็งๆออกมา แล้วเดินไป ข้างๆถังขยะ แล้วทิ้งบัตรเหล่านั้นลงในถังขยะ

“ดูๆแล้วทำไปมากขนาดนี้ ก็ยังไม่สามารถเปลี่ยนใจคุณได้ แม้แต่เศษเสี้ยวเดียว คุณนี่มันโง่จริงๆ คุณไม่ไปเป็นเพื่อนฉัน แล้วฉันจะมีอารมณ์จับจ่ายใช้สอยยังไงกัน

พูดกับตัวเองอยู่นาน ฝนสุดาก็หันหลัง เดินไปที่ถนน เรียกรถ กลับบ้าน
หลังจากที่ซื้อมือถือเสร็จแล้ว รพีพงษ์ก็ได้ไปที่ศูนย์บริการ เครือข่ายเพื่อซื้อซิมการ์ด ไปสวนสาธารณะที่ไม่มีคน นั่งลงบน เก้าอี้ยาว หลังจากที่สูดหายใจเข้าลึกๆแล้ว ก็กดเบอร์อารียา

จ้องไปที่เบอร์โทรอันคุ้นเคยอยู่นาน รพีพงษ์ก็ได้กดโทรออก

ไม่นาน มีคนกดรับ เสียงจากปลายทางดังขึ้น

“สวัสดีค่ะ คุณคือ?”

รพีพงษ์ตื่นเต้น แล้วรวบรวมสติ จากนั้นก็กล่าว

“อารี ผมเอง”


เพื่อการอัปเดตบทที่เร็วขึ้น กรุณาบริจาคสำหรับเว็บไซต์เพื่อซื้อบทใหม่! ขอขอบคุณ
THB

เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ