พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว

บทที่ 383 คุณไม่มีสิทธิ์มาทำให้ฉันขุ่นเคือง



บทที่ 383 คุณไม่มีสิทธิ์มาทำให้ฉันขุ่นเคือง

ภารจาคาดไม่ถึงว่าจะได้พบกับไอศิราในสถานที่แห่งนี้ และ หลังจากได้ยินคำพูดของเธอ เธอก็กำหมัดแน่น โดยไม่รู้ตัว

“ไอศิรา รูปถ่ายในโทรศัพท์ของอัคคพลเธอเป็นคนถ่าย ใช่ไหม? ภารจาเอ่ยปากถาม

“ทำไม เธอแรดขนาดนี้ ฉันแค่ถ่ายรูปสองรูปจะเป็นอะไร ไป ยังไงเธอก็ทำงานอย่างนี้ เหมือนช่วยเธอโฆษณาให้ได้รับ ความ

นิยม เธอต้องขอบคุณฉันถึงจะถูก” ไอศิราไม่รู้สึกผิดเลยที่ ตัวเองถ่ายรูปคนอื่นอาบน้ำ

“เธอ!” ภารจาโกรธไอศิราจนตัวสั่น ในบหน้าของเธอแดง ขึ้น เห็นได้ชัดว่าเธอโกรธไอศิรามากกว่ากอบบุญและอัคค

พล

รพีพงษ์จ้องมองผู้หญิงตรงหน้าเขา และอยู่ตรงหน้าภารจา พูดอย่างเย็นชา “เธอเป็นเด็กเร่ร่อนมาจากไหน ไร้มารยาท ขาดการอบรมสั่งสอน ไม่มีพ่อแม่ที่คอยสั่งสอนหรือไง?”

เมื่อไอศิราได้ยินรพีพงษ์พูดว่าเธอเป็นเด็กเร่ร่อน ใบหน้า ของเธอก็เคร่งขรึมทันที เมื่อกี้เธอไม่ได้สังเกตเห็นรพีพงษ์ นึกว่านี้
เป็นแขกของภารจา ไม่คาดคิดว่าคนๆนี้จะปกป้องภารจา

“คุณบอกว่าใครไม่มีคนอบรมสั่งสอน แล้วที่คุณใช้เงินซื้อ นางแพศยาถือว่าถูกอบรมสั่งสอนมาอย่างดีเหรอ คุณหา กะหรี่ก็

หาไปยังจะมาปกป้องเธออีก คุณคิดว่านี่เป็นการแสดง หนังหรือไง ปัญญาอ่อน ไอศิราด่ารพีพงษ์

ฉันแนะนำให้คุณระวังคำพูดให้ดี ภารจาเป็นน้องสาวของ ฉัน เรื่องของเธอวันพรุ่งนี้จะได้รับการชี้แจง ถ้าคุณพูดอะไร

หยาบ

คายอีก ฉันจะไม่เกรงใจเธอ รพีพงษ์พูดอย่างเย็นชา

ไอศิราโมโหขึ้นมาทันที และตะโกนว่า “แม่งคนอะไร อยู่ที่ นี่ยังกล้าพูดอย่างนี้กับฉัน รู้ไหมว่าฉันเป็นใคร ฉันเป็นคุณ

หนู

ใหญ่ตระกูลพัฒน์นรี คุณไปสอบถามดู อยู่ในเมืองบาส แตร์มีใครกล้าพูดกับฉันแบบนี้!”

“ไม่ว่าคุณจะเป็นลูกใครมาจากไหน ฉันก็เป็นคนที่เธอไม่มี สิทธิ์มาทำให้ขุ่นเคืองได้ อย่าคิดว่าฉันจะล้อเล่นกับเธอ”

น้ำเสียงของรพีพงษ์ค่อยๆแฝงด้วยพลังอำนาจ ปรากฏออ ร่าที่มองไม่เห็นออกมาอย่างช้าๆ ทำให้ไอศิรารู้สึกกดดัน แบบไม่อาจอธิบายได้
ไอศิรามองคนตรงหน้าด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย เธอไม่รู้ว่ามันเป็นอะไร มีสัญชาตญาณความกลัวอยู่ในใจ ราวกับว่าถ้าเธอพูดอีกคนๆนี้อาจจะฆ่าเขาทันที

ความกลัวที่มองไม่เห็นนี้ทำให้เธอไม่สามารถตะโกนพูด กับรพีพงษ์ต่อไปได้ และในขณะนี้ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร

ภารจายื่นมือออกไปรพีพงษ์ และพูดว่า “พี่รพีพงษ์ ไม่ ต้องไปสนใจเธอ เธอเป็นเพื่อนร่วมห้องของฉัน นิสัยอารมณ์ ก็อย่างนี้แหละ คุณจะพาฉันไปทานข้าวเย็นไม่ใช่เหรอ พวก เรารีบไปกันเถอะ”

เธอรู้ดีว่าภูมิหลังของตระกูลไอศิราไม่ธรรมดา ถ้ารพีพงษ์ ยังคงทะเลาะกับเธอต่อไป มันอาจทำให้เรื่องแย่ลง

จากนั้นรพีพงษ์ก็ละสายตาจากไอศิรา หันไปเปิดประตูรถ และเข้าไปนั่งพร้อมกับภารจา

จนกระทั่งทั้งสองคนเข้าไปในรถ ความรู้สึกที่น่ากลัวก็หาย ไปและเธอก็ตั้งสติขึ้นมา เธอมองไปที่รถซานตาน่าที่เก่าทรุด โทรม

ของรพีพงษ์ และเธอก็โกรธขึ้นมาทันที ”

“คนที่ขับรถเก่าแก่ทรุดโทรมแบบนี้ยังจะกล้ามาขู่ฉันอีก คงคิดว่าตัวเองเป็นคนมีอำนาจจริงๆเหรอ น่าโมโหจริงๆ ก็ แค่คนชั้น
ต่ำ ทำเป็นแสดง!” ไอศิราตะโกนออกมา รพีพงษ์ไม่สนใจเธอ และขับรถออกไปจากที่นี่

ไอศิรากระทืบเท้าตรงนั้น สองมีอกำหมัดแน่น แล้วหยิบ ก้อนหินจากพื้นขึ้น แล้วขว้างไปด้านหน้า แต่น่าเสียดายที่รถ ขับไป

ไกลแล้ว หินที่ขว้างออกไปก็ไม่เกิดอะไร

“ฝากไว้ก่อนเถอะ ไอ้บ้าสมควรตาย อย่าให้ฉันเจอแกอีก และภารจานางแพศยา ต่อไปถ้ามีฉันอยู่ เธอก็อย่าฝันจะได้

อยู่

มหาวิทยาลัยนี้!”

“คืนนี้พ่อของฉันจะไปร่วมงานเลี้ยงการกุศลของเฮียอธิ ชนม์ จากนั้นเขาจะร่วมมือกับเฮียอธิชนม์ จากนี้ไปอยู่ใน เมือง

บาสแตร์ตระกูลพัฒน์นรีกับเฮียอธิชนม์ก็จะมีความ สัมพันธ์ที่ดีต่อกัน อยู่ในเมืองบาสแตร์เฮียอธิชนม์ต้องการ

จัดการ

ใคร มันเหมือนของเล่น ตอนนั้นฉันจะให้พวกแกลิ้มรส โทษฐานที่ทำให้ฉันโกรธ
หลังจากรพีพงษ์พาภารจาออกจากมหาวิทยาลัย ก็ไปที่ ใจกลางเมืองบาสแตร์ไปที่ห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ เพื่อ

พาภรรยา

ทานมื้ออาหารสุดหรู

จะเห็นได้ว่าปกติภารจาไม่มีเงินส่วนเกินสำหรับใช้จ่ายใน สถานที่ดังกล่าว ดังนั้นเมื่อเธอมาถึงห้างสรรพสินค้า ใบหน้า

ของ

เธอเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น

หลังจากรับประทานอาหารเสร็จ รพีพงษ์พาภารจาไปที่ตู้ เกมเพื่อเล่นเกม และพาเธอไปเล่นจับตุ๊กตา

ภารจาไม่เคยเล่นอะไรแบบนี้มาก่อน แม้ว่าจะมีค่าใช้จ่าย เพียงสิบบาทในการจับตุ๊กตา สำหรับภารจานั้น เงินสิบบาท

ก็

เพียงพอที่จะกินอาหารเช้า

เธอทนไม่ไหวที่จะต้องเสียเงินสิบบาทเพื่อจับตุ๊กตาซึ่งมี แนวโน้มว่าคงจับไม่ได้

รพีพงษ์ซื้อเหรียญเกมจำนวนมากให้กับภารจา ให้เธอเล่น ให้หนำใจ ถึงแม้สุดท้ายเหรียญหลายร้อยบาทจะจับตุ๊กตา ได้แค่

สามตัว แต่เมื่อเห็นภารจาสบายใจขึ้นไม่หน้านิ้่วคิ้วขมวดเหมือนก่อน รพีพงษ์รู้สึกว่าเงินนี้ใช้ได้คุ้มค่ามาก

หลังจากเล่นในห้างสรรพสินค้าสักพัก รพีพงษ์ก็พาภารจา ไปหาที่เงียบๆ และพูดคุยกับเธอเกี่ยวกับชีวิตใน มหาวิทยาลัย

รพีพงษ์ใต้ยินภารจาเล่าเรื่องชีวิตในมหาวิทยาลัยไม่ได้อยู่ สบาย ภารจาดูเหมือนจะใช้โอกาสนี้ ระบายความรู้สึกในใจ และพูดถึง

ความหดหูและอัดอั้นตันใจของเธอออกมาจนหมด

รพีพงษ์ทำตัวเป็นที่รองรับอารมณ์ เพื่อให้ภารจาระบาย อารมณ์ของเธอ

ใกล้ถึงเวลาค่ำ รพีพงษ์ถามภารจาว่าเขาอยากไปงาน เลี้ยงการกุศลกับเขาไหม ที่นั่นคงจะมีอาหารอร่อยๆมากมาย

ภารจาเป็นคนขี้อายเล็กน้อย เพราะเธอไม่เคยไปสถานที่ แบบนี้มาก่อน แต่รพีพงษ์บอกเธอว่าไปถึงก็สนใจแต่การกิน อย่าง

เดียว ไม่ต้องสนใจอย่างอื่น

ด้วยคำเชิญซ้ำๆจากรพีพงษ์ ภารจาจึงตอบตกลง รพีพงษ์ รู้สึกว่าชุดของภารจาไม่ค่อยเหมาะสำหรับงานเลี้ยง จากนั้น เลย

พาเธอไปซื้อเสื้อผ้าสวยๆไว้หลายชุด
ในเวลาประมาณสองทุ่ม รพีพงษ์พาภารจาไปงานเลี้ยง การกุศล เขาจอดรถรับส่งที่ลานจอดรถใกล้ๆ เมื่อเขาออกมา

ยามที่ลานจอดรถถามรพีพงษ์ว่าเขามาทำอะไรที่นี่ ต้องลง ทะเบียน

“ฉันมาร่วมงานเลี้ยงการกุศล” รพีพงษ์พูด

ยามก็หัวเราะทันที และพูดว่า “อย่าสร้างปัญหาเลยเพื่อน คนที่มาร่วมงานเลี้ยงการกุศลคืนนี้ ล้วนเป็นคนใหญ่คนโต

ใน

เมืองบาสแตร์ คุณเห็นรถหรูที่จอดอยู่ที่นั่นไหม เขา สามารถเข้าร่วมงานเลี้ยงนี้ได้ พวกเขาทั้งหมดจะต้องขับรถ แบบนั้นมา

คุณขับรถแบบไหนมา อย่ามาล้อเล่นนะ”

รพีพงษ์ยิ้มและพูดว่า “ฉันมาร่วมงานเลี้ยงนี้จริงๆ ฉันไม่

ได้โกหกคุณ”

ยามเห็นรพีพงษ์ยืนกรานที่จะพูดแบบนี้ ก็พูดอย่างจน ปัญญา ” โอเคๆๆ รู้ว่าคุณมาที่นี่เพื่อร่วมงานเลี้ยงค่ำคืนนี้ คุณยังคง

เป็นตัวเอกในงานนี้ รีบไปเร็วๆ อย่าขวางรถข้างหลังคุณ”

รพีพงษ์ไม่ได้พูดอะไร และพาภารจาไปยังโรงแรมที่จัด งานเลี้ยง “พี่รพีพงษ์ คุณมีอำนาจมาก แม้แต่เฮียใหญ่
อย่างคุณอธิชนม์ก็ปฏิบัติต่อคุณด้วยความเคารพ ทำไม คุณถึงทำตัวเรียบง่ายอย่างนี้? ภารจาถามอย่างสงสัย

“ผมทำตัวเรียบง่ายมากเลยเหรอ?” รพีพงษ์ถามอย่าง สงสัย

ภารจาพยักหน้าและพูดว่า “ฉันคิดว่าจากฐานะของคุณ ไม่ สมควรจะขับรถแบบนี้”

“สิ่งเหล่านี้เป็นแค่ของนอกกาย คนที่ไม่มีความสามารถ อะไร ก็จะหาวัตถุภายนอกเหล่านี้มาประดับบารมี” รพีพงษ์ พูดด้วย

รอยยิ้ม

ภารจาพยักหน้าอย่างครุ่นคิด รู้สึกว่าสิ่งที่รพีพงษ์พูดนั้น สมเหตุสมผล ดังนั้นดูเหมือนว่า รพีพงษ์นั้นจะเป็นคนที่มี

ความสามารถจริงๆ การพูดและการกระทำสิ่งต่างๆรู้สึก เป็นผู้เชี่ยวชาญจริง

ทั้งสองเดินไปที่ประตูของโรงแรมด้วยกัน พนักงานที่ตรวจ สอบบัตรเชิญเห็นรพีพงษ์และภารจา รีบพูดอย่างสงสัย” ขอโทษ

นะครับ ตรงนี้คือสถานที่จัดงานเลี้ยงการกุศล พวกคุณทั้ง สองอาจมาผิดที่ ถ้าพวกคุณอยากทานข้าวก็สามารถไปทาน
ตลาดฝั่งตรงข้ามได้”

รพีพงษ์ถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ ดูเหมือนว่าบางครั้ง ทำตัวเรียบง่ายเกินไปมันจะไม่ค่อยดีนัก “พวกเรามาที่นี่เพื่อร่วมงานเลี้ยงการกุศล” รพีพงษ์พูด

“ครับ? ถ้าเช่นนั้นคุณช่วยแสดงบัตรเชิญของคุณให้ผมดู ได้ไหม” พนักงานมองไปที่รพีพงษ์แล้วครุ่นคิด เห็นได้ชัดว่า เขาไม่

เชื่อว่าเขาจะมีคุณสมบัติที่จะเข้าร่วมงานเลี้ยงนี้

ในขณะนี้รพีพงษ์เพิ่งนึกได้ว่าเขาไม่มีบัตรเชิญ อธิชนม์ เชิญเขาด้วยวาจา

เขาจ้องไปที่พนักงาน และพูดว่า “รอสักครู่ ผมจะโทรศัพท์ คุณอธิชนม์เป็นคนเชิญผมมา และเขาไม่ได้ให้บัตรเชิญ”

เมื่อบริกรได้ยินคำพูดของรพีพงษ์ ทันใดนั้นเขาก็แสดง อาการดูถูก โดยคิดว่าคนนี้ช่างตอแหลเก่งจังเลย ยังบอกว่า

คุณอธิชนม์เป็นคนเชิญมา คนอย่างเขา คู่ควรที่จะเป็น เพื่อนของคุณอธิชนม์เหรอ?

“คุณอย่าพูดล้อเล่นเลย รบกวนแขกของเราเข้าไป คุณ ควรออกไปโดยเร็วที่สุด ถ้าคุณไม่มีบัตรเชิญ ใครเชิญคุณก็ ไม่ได้”
บริกรพูดอย่างไม่เกรงใจ

ในตอนนี้ ไอศิราก็มาถึงประตูของโรงแรมด้วย เขาเห็นรพี พงษ์กับภารจายืนอยู่ที่ประตู ก็นิ่งอึ่งไปชั่วขณะ จากนั้นก็เดิน

ตรง

มาอย่างรวดเร็ว


เพื่อการอัปเดตบทที่เร็วขึ้น กรุณาบริจาคสำหรับเว็บไซต์เพื่อซื้อบทใหม่! ขอขอบคุณ
THB

เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ