พลิกชีวิต ผมเป็นคนรวยแล้ว

บทที่348 โรงแรมเคเอสโอ



บทที่348 โรงแรมเคเอสโอ

เมื่อได้ยินคำพูดของจันทร์ไชย รพีพงษ์ก็ตะลึง แล้วถาม: “พี่ บอกว่าเทือกเขากิสนาเป็นที่ที่ลึกลับไม่ใช่เหรอ แม้ว่าภรรยา ของคนคนนั้นถูกจับไป เขาก็น่าจะไม่รู้ว่าเทือกเขากิสนาอยู่ ที่ไหน?”

“เป็นเช่นนั้นจริงๆ เทือกเขากิสนาจะไม่ยอมให้คนธรรมดา รู้ว่าพวกเขาอยู่ที่ไหน ที่สำคัญคนส่วนใหญ่ ก็ไม่รู้ถึงการมีอยู่ ของเทือกเขากิสนา คนคนนี้ที่ฉันบอกกับนาย ก็เพียงเพราะ ความบังเอิญเท่า ถึงได้รู้ว่าภรรยาถูกคนของเทือกเขากิสนา จับตัวไป ก่อนหน้านั้น เขาคิดมาตลอดว่าภรรยาของเขาเสีย ชีวิตจากการประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์”

“สำหรับเขารู้ได้อย่างไรว่าเทือกเขากิสนาอยู่ที่ไหน เรื่องนี้ ฉันก็ไม่รู้ ฉันแค่ฟังเขาพูดเกี่ยวกับเรื่องเทือกเขากิสนา จาก คำพูดของเขาคาดเดาได้ว่าเขาอาจจะรู้ว่าเทือกเขากิสนาอยู่ ที่ไหนเท่านั้นเอง เขาจะรู้จริงหรือไม่จริง อันนี้ฉันก็ไม่ สามารถรับประกันได้ เพราะเรื่องที่ภรรยาของเขาถูกจับตัว ไป ประสาทของเขาผิดปกติไป ในสายตาของคนทั่วไป คน คนนั้นเป็นคนบ้าอย่างไม่ต้องสงสัย ดังนั้นสิ่งที่เขาพูดจะเป็น ความจริงหรือเปล่ายังคงต้องได้รับการตรวจสอบ นายก็อย่า เป็นเพราะสิ่งที่ฉันพูดวันนี้ ก็แน่ใจว่าเทือกเขากิสนาเป็น อย่างที่ฉันพูดมา”
เมื่อตอนที่จันทร์ไชยพูดใบหน้าแสดงความรู้สึกทำอะไรไม่ ถูก เห็นได้ชัดว่า แม้แต่เขา จะพูดถึงเรื่องเทือกเขากิสนา ก็ รู้สึกกดดันเล็กน้อย

“ตอนนี้คนคนนั้นอยู่ที่ไหน?”ไม่ว่าจันทร์ไชยจะบอกว่า ผู้คนนี้รู้หรือไม่รู้ ก็ยังมีเบาะแสอยู่บ้าง รพีพงษ์จะไปตรวจ สอบเป็นเรื่องธรรมดา

“ช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้ถ้าเขายังไม่เปลี่ยนสถานที่ น่าจะ ยังอยู่ที่เมืองบาสแตร์ ฉันบอกที่อยู่ของเขาให้นายได้ แต่ว่า นายอยากถามเอาค่าตอบจากเขาว่าเทือกเขากิสนาอยู่ที่ไหน มันไม่ง่ายอย่างนั้น เพราะเรื่องเกี่ยวกับภรรยาของเขา นิสัย ใจคอของคนคนนั้นเปลี่ยนไปมาก เทียบกับคนทั่วไป พูดได้ ว่าเข้าหาได้ยากมาก”จันทร์ชัย กล่าว

“เรื่องนี้ศิษย์พี่ก็ไม่จำเป็นต้องกังวล เพียงแค่บอกที่อยู่ให้ ฉัน แล้วที่เหลือฉันจะหาทางเองก็พอ”รพีพงษ์กล่าว

จันทร์ไชยก็มองไปที่รพีพงษ์อย่างจนใจ จากนั้นหยิบ กระดาษออกมา เขียนที่อยู่ของคนที่เขาพูดถึง และส่งให้รพี พงษ์

รพีพงษ์จ้องไปที่แผ่นกระดาษ จากนั้นก็รับมาเก็บไว้ใน เสื้อผ้าของตัวเอง มองไปที่จันทร์ไชยอย่างขอบคุณ และพูด ว่า: “นี้ถือว่าฉันเป็นติดค้างน้ำใจศิษย์พี่หนึ่งครั้ง ศิษย์พี่ ต้องการอะไรในอนาคต ฉันจะให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่”
“ทำไมแค่หนึ่งครั้งล่ะ มันควรจะเป็นสองครั้งนะ ครั้งนี้ฉัน ช่วยนายเอาตระกูลลัดดาวัลย์คืนมา หรือว่าก็ไม่นับเหรอ” จันทร์ชัย กล่าว

รพีพงษ์ก็หัวเราะ ไม่คาดคิดว่าศิษย์พี่ของตัวเองจะจริงจัง ขนาดนี้

แต่ว่าคำพูดของจันทร์ไชยก็ทำให้รพีพงษ์สงบลง แม้ว่าจะ ได้เบาะแสบางอย่างของเทือกเขากิสนา และทำให้เขามี ความหวังที่จะหาพ่อได้ แต่ตอนนี้ก็ไม่ใช่เวลาที่เขาควรจะมี ความสุข

ภารกิจเร่งด่วนในตอนนี้ คือการเอาตระกูลลัดดาวัลย์คืน มา เพียงแต่ต้องทำสิ่งนี้ก่อน เขาถึงจะมีโอกาสไปหาเทือก เขากิสนา ไม่อย่างนั้นตระกูลลัดดาวัลย์ยังอยู่ให้กำมือของ โยษิตาหนึ่งวัน รพีพงษ์ก็ไม่อาจวางใจได้แม้แต่วันเดียว

“จะไปตระกูลลัดดาวัลย์เมื่อไหร่?”จันทร์ใชยถาม

“พรุ่งนี้”รพีพงษ์กล่าว “เดี๋ยวฉันจะไปหาผู้ช่วยอีกคน วัน พรุ่งนี้ฉันจะส่งข้อความมาให้พี่ ถึงเวลานั้นพี่สามารถออก หน้าได้ก็พอ”

จันทร์ไชยพยักหน้า โดยไม่พูดอะไรมาก

ทั้งสองคุยกันสักพัก จนเกือบจะค่ำ และเมื่อรพีพงษ์ออก จากสำนักบูโตวงแสง
ผู้ช่วยอีกคนที่เขาพูดถึง ก็คือหอการค้าสมน. อยู่ในเกียว โตหอการค้าสมน.มีความแข็งแกร่งที่ไม่อ่อนแอไปกว่า ตระกูลลัดดาวัลย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านอิทธิพล ทางการค้า หากหอการค้าสมน.ต่อสู้กับตระกูลตระกูลลัดดา วัลย์อย่างเต็มที่ แม้ว่าตระกูลลัดดาวัลย์จะมีชื่อเสียงไปทั่ว เกียวโต ก็จะต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่อุปสรรคมากมาย

ถ้าหากว่ามีความช่วยเหลือของหอการค้าสมน. รพีพงษ์ จะยึดตระกูลลัดดาวัลย์คืนกลับมา ก็จะยิ่งมีความแข็งแกร่ง เพิ่มมากขึ้น

แต่สิ่งที่ทำให้เขาต่อต้านเล็กน้อยก็คือ เขาไม่อยากไปธีร ศานติ์ที่หอการค้าสมน. เพราะการไปที่นั่น หมายความว่า ต้องเจอกับจารุณี และนั่นจะเป็นสถานการณ์ที่ทำให้รพีพงษ์ ปวดหัว

ดังนั้นหลังจากเดินออกจากสำนักบูโดวงแสง รพีพงษ์ก็ หยิบโทรศัพท์มือถือออกมา และโทรหาธีรศานติ์ ต้องการ เรียกเขาออกมาเพื่อคุยเรื่องนี้

“ประธานธีรศานติ์ ตอนนี้คุณสะดวกหรือเปล่า ผมมาที่ เกียวโตแล้ว และต้องการจะพูดคุยเรื่องบางอย่างกับคุณ”รพี พงษ์กล่าว

น้ำเสียงของธีรศานต์กระตือรือร้นมาก โดยพูดว่า: “นาย มาที่เกียวโตแล้วเหรอ แล้วตอนนี้นายอยู่ที่ไหน เดี๋ยวฉันส่งคนไปรับนายนะ มาคุยที่ฉัน”

“อะแฮ่ม ผมว่าเราออกมาคุยข้างนอกดีกว่า ผมกลัว….” รพีพงษ์กระแอมเบาๆ

ก่อนที่เขาจะพูดจบเสียง ที่ตื่นเต้นของจารุณีก็ดังขึ้นที่อีก ด้านหนึ่งของโทรศัพท์: “พ่อค่ะ รพีพงษ์โทรมาหาพ่อใช่มั้ย ค่ะ ตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน? พ่อเอาโทรศัพท์มาให้หนู หนูจะคุย กับเขา”

สีหน้าของรพีพงษ์เคร่งเครียดทันที ยังไงก็คิดไม่ถึงธีร ศานติ์จะรับสายอยู่ข้างๆ จารุณี

“นี หยุดโวยวายได้แล้ว รพีพงษ์มาหาฉันเพื่อคุยธุระ สำคัญ”เสียงที่ทำอะไรไม่ถูกของธีรศานต์ดังขึ้นมา “รพีพงษ์ เอาแบบนี้ละกัน นายไปรอฉันที่หน้าโรงแรมเคเอสโอก่อน พวกเราไปคุยกันที่นั่น”

“ไปทำไม ให้เขามาที่บ้านเรา ครั้งนี้ฉันจะไม่ปล่อยให้ เขาหนีไปอีกแน่”จารุณีตะโกนเสียงขึ้นมา

รพีพงษ์รีบพูดขึ้นมาทันที: “ถ้าอย่างนั้นก็ที่โรงแรมเคเอส โอเถอะ ผมอยู่ไม่ไกลจากที่นั่น ไปรอคุณก่อน ทางที่ดีคุณ มาคนเดียวดีกว่า”

หลังจากพูดเสร็จ เขาก็รีบวางสายทันที โรงแรมเคเอสโออยู่ไม่ไกลจากจุดที่เขาอยู่ตอนนี้ประมาณห้ากิโลเมตร

รพีพงษ์ไม่ได้เดินไปตามถนนในเกียวโตมานานแล้ว ตอน นี้เป็นเวลาเย็น และไฟหน้าร้านค้าหลายแห่งก็สว่างขึ้นแล้ว และเมืองเกียวโตที่เจริญรุ่งเรืองก็เริ่มคึกคักมีชีวิตชีวาขึ้นมา

เพื่อให้รู้สึกถึงความเจริญรุ่งเรืองที่คุ้นเคยในอดีต รพี พงษ์ไม่ได้นั่งแท็กซี่ แต่ไปที่ริมถนนเพื่อสแกนจักรยานแชร์ริ่ง โดยตั้งใจว่าชมทิวทัศน์ริมถนนไป และจะรีบไปที่โรงแรมเค เอสโออย่างรวดเร็ว

ในช่วงไม่หลายปีที่ผ่านมา รพีพงษ์ก็รู้สึกประทับใจในการ ใช้จักรยานแชร์ริ่ง เมื่อก่อนตอนที่เขาไม่มีโอกาสขี่จักรยาน ไฟฟ้า ก็จะขี่จักรยานแชร์ริ่ง ซึ่งง่ายและสะดวก โดยไม่ต้อง กังวลเรื่องการจราจรติดขัด

ระยะทางห้ากิโลเมตร ใช้เวลาในการขี่จักรยานประมาณ ยี่สิบนาทีก็ถึง รพีพงษ์กำลังขี่พร้อมกับที่มองดูถนนทั้งสอง ด้านที่เปลี่ยนไปมาก ในใจก็รู้สึกทอดถอนใจ

จากนั้นไม่นาน รพีพงษ์ก็ขี่จักรยานไปที่ประตูทางเข้าของ โรงแรมเคเอสโอ โรงแรมเคเอสโอเป็นหนึ่งในโรงแรมที่ มีชื่อเสียงในเกียวโต การตกแต่งหรูหรา ในตอนกลางคืน ทั้งโรงแรมดูสวยงามวิจิตรตระการตา และด้านหน้าของ โรงแรมก็สะอาดมาก

รพีพงษ์ต้องการจอดรถจักรยานแซร์วิ่งไว้ข้างถนน ทันทีที่เขาล็อกจักรยานแชร์ริ่ง พนักงานต้อนรับสองคนที่ยืนเฝ้าอยู่ หน้าโรงแรมเคเอสโอก็ตะโกนใส่รพีพงษ์ “ไม่อนุญาตให้นำจักรยานแชร์ริ่งจอดไว้ที่นั่น รีบเข็นออก

ไปเดี๋ยวนี้นะ ส่งผลกระทบต่อด้านหน้าโรงแรมเรา”

“ตาบอดเหรอ หน้าโรงแรมของเราไม่มีจักรยานแชร์ริ่งสัก คัน ของราคาถูกๆแบบนี้จะจอดที่พวกเราได้อย่างไร รีบเซ็น ออกไปเดี๋ยวนี้”

รพีพงษ์เหลือบไปมองสองคนนั้น แล้วพูดว่า: “เหอะ แต่ฉัน ล็อกไปแล้ว”

“ใครให้นายล็อก รีบเอาออกไปเดี๋ยวนี้ ยังไงก็จอดที่ตรง นี้ไม่ได้”

“นี่คือพื้นที่ที่จอดจักรยานไม่ใช่เหรอ ทำไมไม่จอดให้?” รพีพงษ์ถามกลับ

เมื่อพนักงานต้อนรับสองคนเห็นรพีพงษ์ถามกลับ พวกเขา ก็หงุดหงิดขึ้นมาทันที และเดินตรงไปหารพีพงษ์

“พื้นที่จอดจักรยานแล้วยังไงล่ะ นายไม่เห็นเหรอว่าที่นี่ ไม่มีจักรยานจอดอยู่เลยสักคัน นายไม่รู้สึกเหรอว่าจักรยาน แชร์ริ่งขยะแบบนี้จอดอยู่หน้าร้านอาหารเรา ทำคะแนนให้ กับร้านอาหารเรา”พนักงานต้อนคนหนึ่งมองไปที่รพีพงษ์ เหมือนเป็นคนปัญญาอ่อน
“นายรีบเอาขยะนี้ออกไปเดี๋ยวนี้นะ คนที่มาทานอาหารที่ พวกเราล้วนเป็นคนที่มีฐานะดีและเป็นคนใหญ่คนโต ถ้ารถ ของนายมีส่งผลกระทบต่ออารมณ์ของลูกค้า คนที่จะชวยคือ พวกเรา”พนักงานอีกคนเร่ง

เดิมทีรพีพงษ์ต้องการจะโต้เถียงกับพวกเขา แต่หลังจาก ที่คิดได้ หัวหน้าของพวกเขาน่าจะสั่งไว้ แล้วพวกเขาก็ทำตาม เรื่องที่กำหนดไว้ ก็ไม่ได้พูดอะไร ยกจักรยานแซร์ริ่ง โดยตรง และไปที่จุดที่จอดจักรยานอื่น

เมื่อพนักงานต้อนรับสองคนเห็นรพีพงษ์นำจักรยานแชร์รี่ งออกไป ถึงค่อยดูสุภาพ และหันกลับไปที่ประตูทางเข้าของ โรงแรม

“ยาจกที่ไม่มีประสบการณ์ เรื่องนี้แค่นี้ก็ไม่รู้ ไม่แปลก เลยที่ใช้ขี่จักรยานแซร์ริ่งตลอดชีวิต”หลังจากยืนกลับไป พนักงานต้อนรับคนหนึ่งหัวเราะเยาะเย้ย

พนักงานต้อนรับอีกคนพยักหน้า และพูดว่า: “ดูเหมือนนี่ เป็นครั้งแรกที่มาที่เกียวโต ไม่รู้ว่าเป็นคนบ้านนอกที่มาจาก ไหน ดูชุดที่เขาสวมใส่ ยังไม่ดีเท่าชุดพนักงานของเราเลย ช่างน่าสงสารจริงๆ”

หลังจากรพีพงษ์จอดจักรยานแชร์ริ่งที่อื่นแล้ว ก็เดินกลับ มาอีกครั้ง ยืนที่หน้าประตูทางเข้าโรงแรมเคเอสโอเพื่อรอธีร ศานติมา
พนักงานต้อนรับสองคนเห็นรพีพงษ์วิ่งมาอีกครั้งและยืน อยู่ที่ประตูทางเข้าร้านอาหาร ไม่รู้ว่าเขาต้องการทำอะไร แต่ ก็ไม่ได้สนใจเขา คิดว่าเขาไม่เคยเห็นความหรูหราของ โรงแรมคาร่า ดังนั้นจึงอยากดูอยู่ที่นี่นานหน่อย

แต่ห้านาทีต่อมา รพีพงษ์ยังคงยืนอยู่ที่นี่ไม่จากไป พนักงานทั้งสองคนก็ไม่พอใจเล็กน้อย

การเอาจักรยานแชร์ริ่งไว้ที่ประตูทางเข้า จะส่งผลกระทบ ต่อธุรกิจของพวกเขา มียาจกมายืนอยู่ที่ประตูทางเข้า จะส่ง ผลกระทบต่อธุรกิจที่นี่ด้วยเหมือนกัน

ทั้งสองเดินเข้าไปหารพีพงษ์อีกครั้ง และหนึ่งในนั้นก็พูด ว่า: “นายยังยืนอยู่ที่นี่อีกทำไม นายยืนอยู่ที่นี่มานานแล้ว ไม่ใช่ว่าต้องการจะทำอะไรกับโรงแรมของเรานะ?”

รพีพงษ์ยิ้มให้พวกเขาสองคนเล็กน้อย และพูดว่า: “ฉันรอ คนอยู่ที่นี่ เดี๋ยวเพื่อนของฉันก็มาแล้ว ฉันจะเข้าไปพร้อมกับ เขา”

“เข้าไปเหรอ? ทำไมล่ะ นายยังอยากเข้าไปที่ในโรงแรม พวกเราอีก?”พนักงานต้อนรับมองไปที่รพีพงษ์ด้วยความ

ดูถูก

รพีพงษ์พูดว่า: “ทำไม? มีปัญหาอะไรเหรอ?”

พนักงานต้อนรับอีกคนหัวเราะทันที และพูดว่า: “นายนี้เป็นคนขี้โม้จริงๆเลยนะ นายรู้ไหมว่าทุกคนที่มาที่โรงแรม เรา สามารถพูดได้ว่าเป็นคนใหญ่คนโตที่ร่ำรวย นายคิดว่า นายมีเกียรติอะไร ถึงกล้าบอกว่านายจะมีเพื่อนเข้าไปพร้อม กับนาย?”

“รอเพื่อนของฉันมาคุณก็รู้เองแหละ”รพีพงษ์กล่าว

พนักงานต้อนทั้งสองหัวเราะเยาะ เห็นได้ชัดว่าไม่เชื่อใน สิ่งที่รพีพงษ์พูด

“ถ้าอย่างนั้นก็ปล่อยให้เขารออยู่ที่นี่ ดูสิว่าคืนนี้ เขาจะ เข้าไปมั้ย ถึงยังคนขายหน้าก็ไม่ใช่พวกเรา”พนักงานต้อนรับ พูด

ทั้งสองเดินกลับไปอีกครั้ง จ้องไปที่รพีพงษ์แล้วแสยะยิ้ม

หลังจากนั้นไม่นาน ชายหนุ่มที่สวมสูท และทรงผมที่ดูดี ดู แล้วอายุยี่สิบห้ายี่สิบหกปีก็เดินไปที่ประตูทางเข้าของ โรงแรมคาร่า เมื่อชายหนุ่มเห็นรพีพงษ์ยืนอยู่ที่หน้าประตู ก็ เดินไปยังพนักงานต้อนทั้งสองคน แล้วถามว่า: “คนคนนั้น เป็นอะไร ยืนอยู่ที่นั่นเพื่ออะไร?”

พนักงานต้อนรับทั้งสองเห็นชายหนุ่ม สีหน้าก็เปลี่ยนไป

ผู้มาเยือนคือลูกชายของเจ้าของโรงแรมเคเอสโอ ชื่อว่า กรภัทร์ ซึ่งเป็นหนึ่งในทายาทเศรษฐีผู้มีชื่อเสียงในเกียวโต เมื่อกี้กรภัทร์ได้รับโทรศัพท์จากพ่อของเขา โดยบอกว่าประธานหอการค้าสมน.จะมาทานอาหารเย็น กรภัทร์สนใจ จารุณีมานานแล้ว เขาไล่จีบจารุณีมาเป็นเวลานาน ดังนั้น ได้ยินว่าธีรศานติ์จะมาทานอาหาร จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่จะ ต้องมาต้อนรับด้วยตัวเอง

ถ้าหากว่าจารุณีก็สามารถมาด้วยกัน เขาก็สามารถทำตัว ดีๆ ใครจะไปรู้ว่าหอการค้าสมน.หมายความว่ายังไง ถ้า หากว่าเขาสามารถได้จารุณีมาอยู่ในมือ ไม่แน่หอการค้า สมน.ก็กลายเป็นของเขา แน่นอนว่าเขายินดีที่จะเสียเวลา กับจารุณี


เพื่อการอัปเดตบทที่เร็วขึ้น กรุณาบริจาคสำหรับเว็บไซต์เพื่อซื้อบทใหม่! ขอขอบคุณ
THB

เคล็ดลับ: คุณสามารถใช้แป้นคีย์บอร์ดซ้ายขวา A และ D เพื่อเรียกดูระหว่างบทต่างๆ